Skip to main content
sharethis

นักวิชาการชี้คนเสื้อแดงพยายามพูดเรื่องความเสมอภาค ความเป็นธรรมในสังคม ขณะที่ฝ่ายอำมาตย์กลับพยายามพูดว่าคนเสื้อแดงใช้ความรุนแรงถูกจ้างมา พูดจาไม่ไพเราะ เสนอให้ประชาชนทำหนังสือถึงรัฐบาลออกมารับผิดที่พยายามปลุกปั่นให้สังคมเกิดความหวาดกลัว

 

 

 
21 มี.ค. 53 - อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ถ.ราชดำเนิน เวลา 9.30 น. มีการจัดเสวนาวิชาการหัวข้อ “ทำไมต้องทำความเข้าใจการชุมนุมของคนเสื้อแดง” จัดโดยเครือข่ายองค์กรภาคประชาชน ประกอบไปด้วย เครือข่ายพิทักษ์เจตนารมณ์เดือนพฤษภา, กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอีสาน (กสส.), สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.),สหพันธ์นิสิตนักศึกษาภาคอีสาน (สนนอ.), สมัชชาสังคมก้าวหน้า, สหพันธ์เยาวชนอีสาน (สยส.), สถาบันเพื่อพัฒนาเยาวชนแห่งประเทศไทย (สยท.), สถาบันเพื่อพัฒนาเยาวชนประชาธิปไตย,องค์กรเลี้ยวซ้าย และสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน
 
วิทยากรนำเสวนาได้แก่ ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์,จีรพล เกตุชุมพล ภาควิชาประวัติศาสตร์ ม.รามคำแหง, พฤกษ์ เถาถวิล คณะศิลปศาสตร์ ม.อุบลราชธานี, ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ และอนุธร์ เดชเทวพร เลขาฯ สนนท. โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาประมาณ 50 คน
 
เสื้อแดงก็แค่วัวแค่ควายในสายตาของรัฐ
ประภาส ปิ่นตบแต่ง กล่าวว่า คนเสื้อแดงถูกมองในทฤษฎีถูกจูงวัวจูงควาย มองว่าการชุมนุมนั้นถูกจูงมา ขณะที่แกนนำเสื้อเหลืองบางคนมองว่าเสื้อแดงมาเที่ยวกทม.และได้เงินใส่กระเป๋าเท่านั้น และบางคนยังบอกว่า "คนพวกนี้เป็นคนชนบท เลวกว่าหมาข้างถนน" แต่หากมองให้ชัดเจนว่าสภาพในวันนี้เสื้อแดงได้เปลี่ยนไป เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของชนบทไม่เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา เป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังทางการเมือง ไม่มีความรุนแรง มาด้วยศักดิ์ศรี เพื่อเรียกร้องสิทธิทางการเมือง จากแต่ก่อนที่ถูกมองว่าเป็นแค่บุคคลภายนอก ขณะที่รัฐบาลพยายามสร้างเรื่องวัวควาย โดยไม่รับฟังความจริง ซึ่งจะทำให้ความขัดแย้งลงลึกไปอีก
 
คนจนทำอะไรก็ผิด
จีรพล เกตุชุมพล กล่าวว่า การต่อสู้ของคนเสื้อแดงมีผลมาจากความ ไม่ยุติธรรม ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมือง โดยอะไรที่ทำเหมือนกันคนจนกลับถูกดูถูก แต่คนรวยจะได้รับการยกย่อง อย่างเช่น คนจนกินเหล้าหาว่าเครียด คนรวยกินไวน์ขวดละหลายแสน บอกว่าหรู 
 
“จึงสะท้อนในการเรียกตัวเองว่า “ไพร่” ซึ่งเป็นสมบัติของมูลนายทำให้เหมือนวัว เหมือนควายไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร ทั้งที่เสรีภาพเป็นความสำคัญของความเป็นมนุษย์ที่สุด วันนี่เสื้อแดงยังแคร์ความรู้สึกรัฐ และชาวกรุงฯเพื่อมาชุมนุม แต่หากต่อไป รัฐและชาวกรุงไม่แคร์ ต่อข้อเรียกร้องของเขา ระวังว่าคนเสื้อแดงก็จะไม่แคร์พวกคุณบ้าง เรื่องอาจจะลุกลามและไปหาลาวหรือเวียดนามหรือไม่ในเมื่อไม่มีใครแคร์เขา” อ.จากรามคำแหงระบุ 
 
รากหญ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง สังคมต้องยอมรับในสิทธิ-เสียงคนจนเสียที
พฤกษ์ เถาถวิลกล่าวว่า จากการได้เก็บข้อมูลจากคนเสื้อแดงในจังหวัดอุบลฯ พบว่าหลังจากเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มเสื้อแดงกลับขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการไปเปิดโรงเรียน นปช. พบว่ามีคนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเป็นผู้นำชาวบ้านที่มีเสียงในสังคม ซึ่งในภาคเหนือและอีสานคงมีสภาพไม่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม การชุมนุมครั้งนี้ใน กทม.ที่รัฐบาลพยายามบอกว่ามีการจับใส่รถ และมาเที่ยว กทม.นั้นไม่เป็นความจริง 
“พวกเขามีเจตจำนงทางการเมืองหากไม่พอใจ ดังนั้นหากไม่มีอะไรติดไม้ติดมือคงไม่กลับแน่นอน หากกลับไปด้วยวิธีอย่างอื่นเรื่องก็ไม่จบ และอย่างเลวร้ายหากกลับไปเพราะถูกรัฐใช้ความรุนแรงจะทำให้เกิดกลียุค เพราะคนที่มาเป็นคนที่มีเสียงในสังคมในหมู่บ้าน” พฤกษ์ กล่าว
 
พฤกษ์ กล่าวอีกว่า แต่ก่อนชาวบ้านไม่มีที่ยืนในสังคม เพราะถูกทางราชการควบคุม เป็นผู้ที่ถูกทำให้โง่-จน-เจ็บ เพราะภาครัฐมากำกับ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงในการกระจายอำนาจ ทำให้คนไม่มีเสียงกระโดดขึ้นมาบนเวทีจากผู้เลือกกลายเป็นผู้เล่น และแย่งพื้นที่กับคนชั้นกลาง แล้วทำให้คนชั้นล่างไม่อยากจะลงแล้ว ซึ่งเขาอยากจะบอกว่าถึงเวลาที่สังคมจะต้องยอมรับเสียงของคนกลุ่มนี้ที่ออกมาเสียงร้องสิทธิของพวกเขา
 
“คนกลุ่มนี้พยายามพูดเรื่องความเสมอภาค ความเป็นธรรมในสังคมซึ่งเป็นพื้นฐานหลักของประชาธิปไตย ขณะที่ฝ่ายอำมาตย์ กลับพยายามพูดว่า คนกลุ่มนี้ใช้ความรุนแรง ถูกจ้างมา พูดจาไม่ไพเราะ ทั้งที่พวกเขากำลังพูดความจริง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องทบทวนมุมมองใหม่” พฤกษ์ ระบุ 
 
รัฐต้องรับผิดชอบฐานประโคมข่าวความรุนแรง
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ กล่าวว่า วันนี้กลุ่มคนเสื้อแดงทำให้เห็นแล้วว่าการเรียกร้องไม่ใช้ความรุนแรง และเรื่องจำนวนคนนั้นมีมากเป็นความจริง ดังนั้นอยากเสนอให้ มีหนังสือไปถึงรัฐบาลเพื่อให้ออกมารับผิดที่ตลอด 1-2เดือน ที่พยายามปลุกปั่นให้สังคมเกิดความหวาดกลัวจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทั้งที่ตลอดการชุมนุมเกือบ 10 วัน ไม่มีเหตุการณ์อย่างที่ถูกกล่าวหา
 
“หลังจากการต่อสู้ของคนเสื้อแดงนั้น ทางรัฐบาลจะปรับเปลี่ยนการชี้แจงต่อสังคมในรูปแบบใหม่ ว่าต่อไปเสียงส่วนใหญ่ไม่ใช่สิ่งสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย พร้อมทั้งจะไม่สอนเรื่องความยุติธรรม และความเท่าเทียมในสังคมด้วย แต่จะปรับเปลี่ยนวิธีคิดในสังคมใหม่คือ ต้องมีศีลธรรมและฟังการสั่งสอนของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ให้คิดแต่ส่วนร่วม อยู่อย่างพอเพียงไม่ต้องเรียกร้องอะไรมาก อย่ามีอำนาจมากเกินไป” นักวิชาการอิสระระบุ
 
นักศึกษาชี้คนเมืองไม่เข้าใจทำไมถึงต้องมีประชาธิปไตย
อนุธีร์ เดชเทวพร กล่าวว่า อคติต่อคนจนมีมานานแล้ว เป็นรากที่ผูกติดกับเรื่องเงิน การศึกษา ย้ำคนเมืองยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีประชาธิปไตย เพราะคนเมืองแทบไม่ต้องเรียกร้องอะไรก็มีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงหน้า แตกต่างจากคนชนบท ที่แทบจะเรียกร้องจากใครไม่ได้เลย
 
“ผมว่ามันเกิดจากการที่คนยังไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องมีประชาธิปไตย คนเมืองแทบไม่ต้องร้องขออะไรก็มีทุกสิ่งทุกอย่าง คนรากหญ้า/ชนบท กว่าจะได้อะไรสักอย่างมันยาก จนกระทั่งมีนโยบายประชานิยมเข้ามา มันทำให้รู้สึกว่าเสียงของเขามีความหมาย คนเลยไม่เข้าใจว่าเสื้อแดงมาทำอะไร”
 
สุดท้ายมีการอ่านแถลงการณ์ “ทางออกวิกฤตการเมืองไทย รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องยุบสภา คืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน” ของกลุ่มภาคประชาชนนำโดยเครือข่ายพิทักษ์เจตนารมณ์เดือนพฤษภา โดย อนุธีร์ เดชเทวพร
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net