Skip to main content
sharethis

สภาพเหตุการณ์ในบ้านเมืองที่มีกลุ่มผู้ชุนนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาคืนอำนาจให้แก่ประชาชน ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.แดงทั่วแผ่นดิน ซึ่งกระแสสังคมในขณะนี้กำลังมองว่า จะมีเหตุการณ์ความขัดแย้งใดที่จะนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ แล้วรัฐบาลจะจัดการกับปัญหาความรุนแรงนั้นอย่างไร หรือใครจะเป็นฝ่ายเริ่มใช้ความรุนแรงเพื่อสนองความต้องการของตัวเองก่อนกัน

แต่ก็มีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่รอคำตอบและไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงในสภาพความขัดแย้งของสังคม กลุ่มคนกลุ่มนี้มีความคิดที่ไม่ต้องการเกิดความรุนแรงไม่ว่าจะมาจากฝ่ายไหนก็ตาม จึงได้รวมตัวกันและปฎิบัติภารกิจต่างๆ เพื่อให้สังคมรู้ว่ายังมีกลุ่มที่ฝักฝ่ายแนวทางแบบสันติวิธี

 

15 มีนาคม 2553
18.30 น.

ลมเย็นๆ พัดโชยมาพร้อมกับไอเย็นเล็กๆ แสงแดดที่ล่วงโรยราไปตามช่วงเวลาเพื่อบ่งบอกถึงช่วงจังหวะในที่พนักงานตามบริษัท ลูกจ้าง คนงาน กรรมกร จะได้เบียดเสียดและแข่งขันกันเองเพื่อจะได้ไปถึงจุดหมายที่ได้จากมาในตอนเช้า เสียงการจราจรบริเวณสี่แยกปทุมวันที่ฟังดูอึดอัดประกอบกับเสียงรถไฟฟ้าบีทีเอสทำให้เสียงจากวิทยาศาสตร์กลบเสียงจากธรรมชาติเสียหมดสิ้น

แต่สิ่งทีผิดไปจากเดิมคือ ณ ลานกว้างบริเวณศูนย์ศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ตรงข้ามกับห้างมาบุญครองได้มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งประมาณ 80 คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่โดยเรียกตัวเองว่า กลุ่มเครือข่ายสันติ มารวมตัวกันเพื่อจุดเทียนสันติ แสดงออกถึงความต้องการให้สังคมเกิดสันติ ซึ่งผู้ร่วมงานที่เป็นคณะกรรมการและผู้มีชื่อเสียงต่างก็มาร่วมจุดเทียนด้วย เช่น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล นางสาว รสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา และพระไพศาล วิสาโล

 

18.54 น.

เสียงการจราจรแม้จะไม่สามารถทำลายได้ แต่เสียงดนตรีจากวงจีวันก็มากพอที่จะสร้างบรรยากาศแห่งความสันติตั้งแต่เริ่มงาน โดยเนื้อหาเพลงจะเน้นให้เห็นถึงความสามัคคีและสถาบันหลักของชาติ และเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับมือสีขาวที่เป็นมือแห่งความสร้างสรรค์ ส่วนมือสีดำหมายถึงมือแห่งการทำลาย แต่อย่างไรก็ขอให้จับมือกันไว้เพื่อความสันติ

19.10 น.
หลังจากวงดนตรีได้เล่นเพลงสุดท้ายเสร็จ พิธีกรในงานก็กล่าวเปิดงาน “สติ สันติ สันติภาพ” โดยพิธีกรได้เชิญชวนให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมานั้นมาสร้างสันติสุขในภาวะที่บ้านเมืองวิกฤติ ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากคนทั่วไปไม่น้อย โดยหลายคนขอนั่งฟังร่วมไปกับกลุ่มคน แต่ก็มีหลายคนยังสงสัยว่า “นี่คืองานอะไรเหรอคะ”

โดยพิธีกรได้กล่าวผ่านไมค์ว่า เสียงของคนทุกคนมีความหมายเท่ากัน และเรียกร้องให้ใช้กล้องวงจรปิดCCTVติดทั่วจุดต่างๆ ที่เป็นจุดใหญ่และมีความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรง นอกจากนี้พิธีกรยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จำนวนผู้ที่ต้องการสันติวิธีมีมากกว่าจำนวนผู้ที่ต้องการให้เกิดความรุนแรง แต่เสียงของแนวทางสันติวิธีไม่มีโอกาสได้นำเสนอเพราะสื่อทั่วไปมักไม่ค่อยสนใจ

พิธีกรได้ตอบข้อสงสัยของสื่อบางคนที่ถามว่าทำไมต้องใช้เทียนสีเหลือง พิธีกรก็ตอบว่า สีเหลืองเป็นวัฒนธรรมทางศาสนาที่ใช้เทียนสีเหลืองในการประกอบพิธี เรียกร้องมวลชนอย่าตีความ เพียงแค่เรื่องสี

19.20 น.

พิธีกรให้ผู้เข้าร่วมยืนขึ้นแล้วแถลงกำหนดว่า ให้จุดเทียนส่งต่อไปทีละคน จะใช้เวลาในการตั้งจิตอธิษฐานไม่เกินสิบนาทีเพื่อส่งความรู้สึกที่ดีแก่ตัวเองและคนรอบข้าง โดยมีพระไพศาลนำบทภาวนา เมื่อตั้งจิตอธิษฐานเสร็จแล้วก็จะมีการแจกกระดาษเพื่อให้ผู้เข้าร่วมเขียนข้อความหรือคำอธิษฐานลงไปในกระดาษแห่งนี้เพื่อให้คนทั่วไปได้รับรู้ถึงไมตรีจิต

กิจกรรมในขณะนี้เริ่มเป็นที่สนใจแก่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาและคนที่ยืนดูอยู่บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสนามกีฬาแห่งชาติจะทำให้จำนวนคนมาร่วมเยอะขึ้น เมื่อพิธีกรพูดถึงสิ่งที่จะต้องดำเนินการต่อไปเสร็จแล้ว ก็ยื่นไมค์แก่พระไพศาล ท่านก็ได้กล่าวนำก่อนเริ่มบทภาวนาว่า ให้เราน้อมใจสงบ ดับความร้อนรุ้มในใจของทุกคน ซึ่งทุกคนล้วนเชื่อมโยงซึ่งกันและกันผ่านเส้นใยที่มองไม่เห็น มีทั้งดีและไม่ดี แต่พวกเรามาด้วยสายใยแห่งรัก จึงสามารถเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เพื่อนโลภโลก ขอให้ทุกคนใช้ธรรม เพื่อกำจัดกิเลสทั้ง 3 อัน ได้แก่ โลภ โกรธ หลง

พระไพศาล วิสาโล ได้กล่าวให้ผู้เข้าร่วมตั้งสติเป็นที่มั่นเพื่อหนทางแห่งปัญญาและไมตรี แล้วให้ตั้งจิตอธิษฐานว่าต้องการให้เกิดอะไรขึ้นต่อไปในสังคมไทย จึงเริ่มบทสวดภาวนา โดยมีเสียงกระดิ่งเล็กๆ เป็นตัวกำหนดจังหวะ

19.39 น.
แม้ว่าจะมีเสียงของสายลม รวมถึงเสียงรถที่กำลังวิ่งแข่งกันในสี่แยกปทุมวัน แต่เหล่านี้มิอาจจะทำให้ผู้ร่วมงานจุดเทียนสันติหลุดจากความตั้งใจอันแน่วแน่ได้เลย ต่างตั้งจิตอธิษฐานเพื่อใช้ส่องทางในความมืดภายในจิตใจคน ต่างตั้งจิตอย่างแน่วแน่ที่ต้องการให้เกิดสันติและขจัดความคิดที่ไม่ดีของคนที่มองความต่างเป็นศัตรูให้หมดสิ้นไปจากสังคม เหมือนดั่งเปลิวเพลิงเล็กๆ บนเทียนแม้จะมีลมพัดมาไหวๆ ก็ไม่สามารถดับวูบลงได้เพราะความแน่วแน่ที่ต้องการจะส่องสว่างในช่วงที่มีแต่ความมืดมิด กลุ่มผู้เข้าร่วมยังคงนั่งด้วยใจสงบ สิ่งที่ได้ยินคงเป็นแค่เสียงกระดิ่งกำหนดจังหวะและเสียงภายในใจของตัวเองท่ามกลางบรรยากาศแห่งความเคลื่อนไหวในสังคมเมืองยามค่ำคืน

 

19.49 น.

หลังจากกำหนดจิตตั้งเป็นสมาธิเสร็จแล้ว ทางผู้จัดงานได้แจกกระดาษใบเล็กๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เขียนคำอธิษฐานโดยยังไม่ต้องดับแสงเทียน และคำอธิษฐานนั้นต้องเป็นรูปธรรมที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ เมื่อเขียนเสร็จก็ให้แต่ละคนนำมาติดไว้บนกระดานแผ่นหนึ่งที่ทางผู้จัดได้เตรียมไว้ให้แล้ว เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนการรับรู้คำอธิษฐานของแต่ละคน โดยจากการสังเกตผู้รายงานพบว่า คำอธิษฐานส่วนมากจะมีลักษณะที่ต้องการให้เกิดความสามัคคีในชาติ ต้องการความสงบสุข และอื่นๆ ที่มีลักษณะไม่ต่างไปสิ่งที่สังคมในเมืองหลวงเรียกร้องอยู่

 

20.00 น.
เมื่อมีการเขียนเสร็จแล้ว ทางพิธีกรได้เชิญให้ผู้เข้าร่วมบางคนได้ออกมาพูดสิ่งที่เขาเขียนลงไปในคำอธิษฐานว่าต้องการให้เกิดอะไรขึ้นในสังคมหลังจากนี้ไป

พลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาลกล่าวว่า ขอให้คนไทยในแผ่นดินนี้และแผ่นดินอื่นบนโลก ให้สร้างสรรค์หรือทำสิ่งได้ด้วยความมีสติ ขอให้คิดแบบคนที่มีความเจริญรุ่งเรื่อง

นางสาวโสพิศ บุญเยี่ยม จากเครือข่ายเยาวชนศึกษาสันติวิธีกล่าวว่า เราจะมีสติเพราะสติจะนำไปสู่ปัญญา และผลของมันจะทำให้เกิดสันติ

ตัวแทนจากกลุ่มนักศึกษาใส่ใจไทยกล่าวว่า อยากให้คนไทยเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นมา ต้องมีสติ มีหลักการเหนือเหตุผล อยากให้รัฐบาลทำอะไรเพื่อคนทั้งหมด ไม่ใช่แค่คนกลุ่มเดียว

อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล กล่าวว่า ไม่มีการเรียกร้องหรือการชุมนุมได้ที่ไม่เกิดการสูญเสีย แต่สังคมทุกวันนี้พอหรือยังสำหรับความรุนแรงที่เกิดจากการชุมนุม อยากให้ทุกคนอดทนอดกลั้น เพราะทุกอย่างจะเดินหน้าต่อไปได้ ประเทศสูญเสียมามากพอแล้ว อยากให้ช่วยกันประคับประคองไม่ให้คนไทยฆ่ากันเอง

 

20.13 น.
หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมนี้ ทางพิธีกรได้ให้กลุ่มผู้เข้าร่วมมาร้องเพลงสุดท้ายก่อนที่จะจากลากัน โดยเนื้อหาเพลงในท่อนสุดท้ายว่า “สานสันติในใจของเราด้วยใจบริสุทธิ์” เมื่อร้องเพลงเสร็จแล้วก็เป็นอันปิดกิจกรรม “จุดเทียนสันติ สติ สันติ สันติภาพ” ครั้งนี้ แต่ อ.ปริญญาได้กล่าวผ่านไมค์เชิญชวนว่าให้ผู้เข้าร่วมอย่าเพิ่งกลับบ้าน อยากให้มาหารือร่วมกันว่าภารกิจหรือกิจกรรมที่จะทำในครั้งต่อๆ ไป จะเป็นไปในรูปแบบใดเพื่อแสดงให้สังคมรับรู้ พร้อมทิ้งท้ายให้ผู้ที่สนใจเข้าไปที่เว็บไซต์ของทางเครือข่าย

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net