Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

*ชื่อบทความเดิม: เก็บตกข้อถกเถียง “ว่าด้วยจริยธรรมของรัฐกรณีหวยออนไลน์: อะไรคือจริยธรรมที่ชนชั้นปกครองมองไม่เห็น”

เมื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศแสดงจุดยืนต่อต้านนโยบาย หวยออนไลน์ โดยให้เหตุผลว่า “ไม่เห็นด้วยกับนโยบายใดๆ ที่จะนำสิ่งผิดกฎหมายมาทำให้เป็นสิ่งถูกกฎหมาย” และเน้นย้ำว่าหากไม่สามารถมีมาตรการควบคุมไม่ให้เยาวชนมาหลงมัวมัวในอบายมุขนี้ได้ ย่อมไม่สามารถปล่อยให้มีอบายมุขมามอมเมาเยาวชนอนาคตของชาติเพิ่มอีก จุดยืนของนายกรัฐมนตรีได้รับการขานรับจากนักกิจกรรมสังคมแนวครอบครัว และชุมชนนิยมที่มองว่าสาเหตุแห่งความเสื่อมทุกอย่างของสังคมเริ่มต้นจากการที่มนุษย์มัวไปหลงใหลกับโชคชะตาในหวย แทนที่จะก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน ประหยัด อดออม มัธยัสถ์ และ พอเพียง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สาเหตุแห่งความจนและด้อยพัฒนาของประเทศเกิดจาก การที่เหล่าคนจนทั้งหลายดันโง่ไปซื้อหวย โดยมีรัฐบาลไร้จริยธรรมสนับสนุนการพนันอย่างแพร่หลายในประเทศ ในบทความนี้เราจะพิจารณาว่าสำหรับสังคมไทยแล้ว รัฐบาลไร้จริยธรรมที่สนับสนุนอบายมุขมีใครบ้างและคนจนผู้โง่เขลาอันหลงใหลในอบายมุขไม่เป็นอันทำงานคือใครในสังคมไทยเรา

เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน สำหรับประเทศเมืองพุทธและพร่ำสอนเรื่องจริยธรรมตั้งแต่ระดับชั้นประถม จนถึงคำโฆษณาของนักการเมืองและผู้มีอำนาจในรัฐ อันต่อต้านอบายมุขและเรื่องผิดศีลธรรมทั้งปวง ประเทศอันเปี่ยมด้วยจริยธรรมแห่งนี้ มีสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นรัฐวิสาหกิจที่ส่งรายได้เข้ารัฐ เป็นอันดับสี่ของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด (เป็นรองแค่ กฟผ. ทีโอที. กสท. เท่านั้น) และสำหรับช่วงไตรมาสปลายปีที่ผ่านมา รายได้จากรัฐวิสาหกิจสาขาอุตสาหกรรม 2.2 พันล้านบาท เป็นรายได้จากโรงงานยาสูบแห่งประเทศไทย 2 พันล้านบาทและเป็นของนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ 2 ร้อยล้านบาทเท่านั้น กล่าวคือหากพิจารณาตามตรรกะของจริยธรรมอันงดงามของประเทศนี้ ย่อมพบกับความขัดแย้งเพราะรัฐบาลไทยกลับเป็นพ่อค้ายาเสพติดและเจ้ามือหวยรายใหญ่ที่สุดไป

ยิ่งกว่านั้นสำหรับเด็กนักเรียนทั่วไปที่เรียนเศรษฐศาสตร์ตามหลักทุนนิยมในวิชา สังคมศึกษา ตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือออก ย่อมมีความแคลงใจว่าเหตุใดประเทศที่แสนจะน่าสงสารขาดดุลการค้า ผลิตสินค้าชิ้นส่วนอุตสาหกรรมราคาถูก สินค้าเกษตรก็โดนแย่งชิงไปแปรรูปซะหมด ถูกรังแกโดยประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และยังถูกตีตลาดเกษตรโดยประเทศเพื่อนบ้าน ธุรกิจส่งออกใดๆก็ไม่ได้ใหญ่โตขนาดที่จะได้เปรียบเกินดุล น่นอนว่าไม่มีคำอธิบายใดๆที่เป็นเหตุเป็นผลตามตรรกะเศรษฐศาสตร์สู่หัวเด็กๆของเรา นอกเสียจากคำอธิบายพร่ำเพรื่อว่าด้วยบุญบารมี พระเสื้อเมืองทรงเมืองปกปักรักษาสยามประเทศ หรือความสามัคคี อุดมสมบูรณ์ในน้ำมีปลาในนามีข้าว น้อยคนนักที่จะอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่าการที่รัฐทุนนิยมอย่างไทยที่ขาดดุลการค้ามาโดยตลอดยังคงอยู่รอดตามตรรกะทุนนิยม เป็นเพราะดุลบริการ และค่าจ้างแรงงานไทยที่ไปทำต่างประเทศ ไม่เกินเลยไปนักที่จะบอกว่า ประเทศไทยอยู่รอดในโลกทุนนิยมได้ ด้วยกรรมกรและโสเภณี กรณีหลังเหมือนเป็นการตบหน้านักกิจกรรมแนวครอบครัวที่พยามชูประเพณีอันดีงามของไทย งานวิจัยของนักวิชาการระดับโลกอย่าง จิม กลาสแมน เมื่อปี 2000 รายงานว่ามีคนไทยกว่า 2.8 ล้านคนที่อยู่ในธุรกิจการค้าประเวณี

เอาเป็นว่าผมใช้พื้นที่ 2 ย่อหน้าเพื่อจะแสดงให้ผู้อ่านเห็นว่า รัฐบาลไทย นอกจากเป็นเจ้ามือหวย พ่อค้ายาเสพติด แล้วยังอยู่รอดได้ด้วย โสเภณีและการส่งออกแรงงานไปเสี่ยงตายยังต่างประเทศ คำถามมีอยู่ว่า รัฐบาลไทยมีพฤติกรรมแบบนี้มานานเท่าไรแล้ว หากท่านนายกอภิสิทธิ์ จะยืนยันว่าไม่มีนโยบายทำของ ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมให้ถูกกฎหมายเยี่ยงรัฐบาลก่อน เช่นนั้นลองมาพิจารณาว่ามีรัฐบาลใดบ้างที่เคยทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมให้ถูกกฎหมายและกลายเป็นของถูกศีลธรรมในท้ายสุด

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีเศษประเทศไทยหาได้มีรูปร่างแบบนี้ ประเทศไม่มีการรวมศูนย์อำนาจ อาณาเขตไม่ชัดเจน มีการแข่งขันอำนาจระหว่างเชื้อพระวงศ์ด้วยกัน ขุนนาง หรือกระทั่งชาติตะวันตกก็ดูเป็นภัยคุกคามอำนาจส่วนกลาง ทั้งนี้ชาติตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษเล็งเห็นต้นทุนที่มากโดยไม่จำเป็นในการยึดครองสยามประเทศ จึงอาศัยความชำนาญการของคนจีนในสยามในเรื่องการทำธุรกิจในการลงหลักปักฐานประกอบธุรกิจในสยามประเทศมากกว่าจะคิดยึดอำนาจรัฐอย่างจริงจัง

ด้วยอัจฉริยภาพของรัชกาลที่ 5 ได้ทรงเล็งเห็นว่าการที่จะมีอำนาจปกครองประเทศเบ็ดเสร็จได้และเป็นรัฐสมัยใหม่แบบชาติตะวันตกนั้น พระองค์จำเป็นต้องมี “ทุน” หลังจากยกเลิกระบบไพร่ทาส ตัดกำลังเหล่าขุนนางแล้วสิ่งที่พระองค์ต้องการคือการควบคุมสัมปทานของคนจีนในราชอาณาจักรทั้งหมด โดยธุรกิจสำคัญที่พระองค์เห็นเป็นแหล่งรายได้ในการสร้างความมั่นคงแก่อาณาจักร คือ “ฝิ่น” ดังนั้นรัฐสยามเริ่มแรกจึงถูกสร้างขึ้นมาจากควันฝิ่น ควบคู่กับการสร้างความเป็นปึกแผ่นของประเทศพระองค์ตั้งกองทหารสมัยใหม่ ซึ่งแน่นอนที่สุดไม่ได้มีไว้เพื่อสู้กับอังกฤษและฝรั่งเศส (เพราะคงสู้ไม่ได้) หน้าที่ของกองทหารสมัยใหม่ของไทยคือการปราบกบฏ ผู้มีบุญอีสาน กบฏเจ็ดพระยาแขก ซึ่งโดยมากแล้วมีชนวนจากความยากจนของประชาชนที่ไม่มีรายได้ที่เป็นตัวเงินพอที่จะเสียภาษีให้กับรัฐสยามสมัยใหม่

รัชกาลที่ 5 ยังเป็นผู้ริเริ่มการออกล็อตเตอรีโดยรัฐบาล ซึ่งเดิมกระทำโดยคนจีนซึ่งได้รับสัมปทาน ระบบสัมปทานทำให้รัฐได้รายได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย การออกล็อตเตอรีเองย่อมนำรายได้สู้ท้องพระคลังได้ครบถ้วนไม่เสียรายทาง โดยล็อตเตอรีฉบับแรกออกในวันพระราชสมภพของพระองค์ ย่างเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์ยกเลิกหวย กข ซึ่งคล้ายๆ หวยใต้ดินปัจจุบันที่เอกชนเป็นผู้ดำเนินการเองและจ่ายรางวัลตามเลขท้ายของสลากรัฐบาล พระองค์ยังออกสลากพิเศษเพื่อระดมเงินประชาชนเพื่อส่งทหารหาญไปพลีชีพใน “พระราชสงคราม” ที่ยุโรปพร้อมกันนั้นก็ยังออกสลาก 1 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนกองกำลังชาติ-กษัตริย์นิยมอย่าง “เสือป่า” ซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อคานอำนาจกับข้าราชการสมัยใหม่ที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศและมีความอดทนต่อความฟุ่มเฟือยและเหลวแหลกของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์น้อยลงทุกที

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลทำหน้าที่ในการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลอย่างเต็มตัวและเป็นแหล่งผลประโยชน์มหาศาลของนักการเมือง ปี พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ขุนพลผู้จงรักภักดีได้เข้าดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ความมั่งคั่งของนายพลผ้าขาวม้าแดงจากการควบคุมสำนักงานสลากฯ มาพร้อมๆกับความความมั่นคงของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เขารื้อฟื้นขึ้นมาสร้างความชอบธรรมการปกครองอันเต็มไปด้วยการฉ้อฉล การกดขี่ผู้ใช้แรงงาน และผู้ต่อต้านทางการเมืองของเขาซึ่งขยายตัวสูงขึ้นตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่เขารับคำสั่งจากสหรัฐอเมริกาอันสร้างความเหลื่อมล้ำยากจนมากขึ้นในพื้นที่ชนบทนำสู่การอพยพเป็นแรงงานรับจ้างที่ คับแค้น หัวรุนแรงเขตเมือง

สลากกินแบ่งรัฐบาลยังคงเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาลทหารอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ.2523 ในสมัยของ พลเอก เปรมฯ เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลได้ชูประเด็นด้านจริยธรรม ต่อต้านการคอรัปชัน รวมถึงการรณรงค์ว่าด้วยความเป็นไทยอันดีงาม (อันกระทำต่อเนื่องจากรัฐบาลขวาตกขอบตั้งแต่สมัยเหตุการณ์ 6ตุลา 2519) กระนั้นเองหากคนที่มีอายุ 30-40 ปีในปัจจุบัน คงรู้จักกับ “สลากคุ้มเกล้า” อันเป็นสลากการกุศลอันมีลักษณะพิเศษ ที่ประชาชนสามารถไปซื้อสลากใช้เหรียญขูดเลขสลากและลุ้นรางวัลได้ทันที การซื้อสลากคุ้มเกล้าเป็นไปอย่างแพร่หลาย สำหรับคนทั่วไปและมีปริมาณการซื้อมหาศาลตั้งแต่เยาวชน จนถึงคนชรา โดยรายได้นำเข้ามูลนิธิกองทัพอากาศ เพื่อสร้างโรงพยาบาลภูมิพล โดยมีวลีเด็ดสำหรับผู้ที่ไม่ถูกรางวัลว่า “ขอบคุณจ้ะที่ร่วมทำบุญ” ถ้าเปรียบเทียบแล้วอัตราการมอมเมาของสลากคุ้มเกล้า ในสมัยพลเอกเปรมฯ คงไม่มากน้อยกว่าการมอมเมาของหวยออนไลน์ที่นายกอภิสิทธิ์เป็นกังวลอยู่แน่แท้

การถกเถียงเรื่องจริยธรรมและการมอมเมาของการเสี่ยงโชคอยู่ในขบวนการภาคประชาชนไทยมีมานานแล้ว แต่หลังจากบทบาทของชนชั้นกลางที่มากขึ้นตามลำดับ รวมถึงการสร้างสายสัมพันธ์ของรัฐบาลเผด็จการทหารและระบบราชการกับเหล่าชนชั้นกลางที่ขยายตัวขึ้นจากการเติบโตเศรษฐกิจช่วงทศวรรษ1980 (พ.ศ. 2523) แนวโน้มสำคัญที่ชนชั้นกลางรวมถึงขบวนการภาคประชาสังคมที่พวกเขามีความเกี่ยวข้องด้วย มีแนวโน้มที่จะมองว่าความยากจน และปัญหาต่างๆในประเทศเกิดจากความขาดความรู้ของชาวบ้านเกี่ยวกับการใช้ชีวิต ทำให้เขาตกอยู่ในวังวนความยากจน รวมถึงความไร้จริยธรรมของผู้ปกครอง ดังนั้นแนวโน้มถัดมาคือพวกเขาเริ่มจะปฏิเสธประชาธิปไตยที่มาจากประชาชนชั้นล่าง เพราะมันไม่ได้การันตีว่าจะสามารถนำมาซึ่งผู้ปกครองที่มีจริยธรรม (ตามแบบที่พวกเขาเข้าใจ) และหากสังคมได้ผู้ปกครองที่ผ่านการคัดสรรว่ามีจริยธรรมที่ดีงามครบถ้วนแล้ว แต่ปัญหาต่างๆยังไม่สามารถแก้ไขได้ พวกเขาก็จะโยนภาระทั้งหมดนี้ให้เป็นปัญหาทางเทคนิคของประชาชนรากหญ้าล้วนๆ เป็นวัฒนธรรมอันด้อยพัฒนาของคนจนในประเทศ ที่โง่จน และเจ็บซ้ำไปซ้ำมา

ชนชั้นกลางมักดูแคลนว่าการที่คนจนทั้งในเมืองและชนบท มีชีวิตที่ย่ำแย่เพราะวิถีชีวิตของพวกเขาเอง ไม่ว่า จะเป็นเรื่อง การซื้อหวย เล่นการพนัน ตีไก่ กินเหล้าเมายา สังสรรค์เฮฮา การไม่มีชีวิตที่พอเพียงไปกู้หนี้ยืมสิน หรือกระทั่งการใช้ยาฆ่าแมลง-ปุ๋ยเคมีในไร่นาของตนเอง ก็เป็นการผูกชีวิตกับวัฏจักรความชั่วร้ายด้วยตัวของพวกเขาเองทั้งสิ้น

นี่เป็นเหตุผลของเหล่านักบุญผู้ปลดปล่อยทั้งหลาย ในการให้เหตุผลว่าควรยกเลิกการมอมเมาและควบคุมการซื้อหวยของประชาชน รณรงค์ให้ความรู้ว่าการกินเหล้าทำให้ชีวิตพวกเขาเลวร้ายขนาดไหน รวมถึงความโง่เขลาของชาวบ้านที่ไม่รู้จักชีวิตที่พอเพียง สำหรับบางคนมองว่าการนำเงินจากสลากมาเป็นรายได้ของประเทศเป็นการเอาเปรียบคนจนเพราะสลากโดยมากเป็นรายได้จากคนยากคนจน (ที่ถูกมอมเมา) คำกล่าวในย่อหน้าข้างต้นหาได้ผิดทั้งหมด หากแต่เป็นคำกล่าวที่ละเลยมุมมองที่ว่า ความยากจนหาใช่ปัญหาจากการใช้ชีวิตของพวกเขาเท่านั้นโดยจะพิจารณาเป็นข้อๆดังนี้

1.ทุกคนในประเทศนี้รู้ดีว่า หวยไม่ใช่สาเหตุเดียวของความยากจน เช่นเดียวกับเหล้า และวิถีชีวิตอื่นๆ ของชาวบ้าน คนรวยเล่นการพนันปริมาณมากมายมหาศาลตามบ่อนที่ถูกกฎหมาย และผิดกฎหมาย หลายคนร่ำรวยจากการพนันโดยอ้อมเช่นเจ้าของค่ายมวย หรือฟาร์มม้าแข่ง คนเหล่านี้ได้รับการยกย่องจากสังคมชั้นสูง เช่นเดียวกัน คนรวยก็มีวิธีหาความสุขมากมายและกินเหล้าที่ราคาแพงกว่าคนจนกินหลายร้อยหลายพันเท่า แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่จนลงแม้แต่น้อย

2.ดังนั้นการซื้อหวยแล้วนำสู่ความยากจนจึงเป็นมายาภาพ ในชีวิตจริงคงมีชาวบ้านไม่ถึงร้อยละ 5 ที่มีชีวิตยากจนเพราะการร่ำสุรา ซื้อหวย รอคอยโชคชะตาอันเป็นภาพเดียวกับที่พวกชนชั้นกลางต้องการเห็น สำหรับกรรมกรในเขตเมืองแล้ว ค่าจ้างขั้นต่ำ 140-203 บาท ไม่ว่าพวกเขาจะซื้อหวยเดือนละ 100 บาท จะกินเหล้าขาวขวดละ 40 บาทกัน 4-5 คน หรือไม่ พวกเขาก็ยังจนอยู่ดี ชนชั้นกลางและแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมักพูดถึงเรื่องการออม แต่การออมเงินหลักร้อยหลักพันของคนจนในประเทศ ที่ไร้หลักประกันใดๆในสังคม จะมีประโยชน์อะไร ยามที่เขาเจ็บป่วย หรือต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ลูกหลาน หรือนายจ้างปลดพวกเขาออกเมื่อพวกเขาแก่เกินไป รัฐบาลเคยเข้ามาดูแลพวกเขาหรือไม่ ขณะที่พวกนายทุน คนรวยนั่งเสวยสุขจิบไวน์ และเข้าบ่อน หมดเป็นหมื่น เป็นแสนกลับไม่มีความยากจนลงแม้แต่น้อย พวกเขายังขูดรีดคนจนจนอิ่มหนำและมีชีวิตที่สุขสบายตลอดเวลา

3.แม้รายได้จากสำนักงานสลากฯจะมาจากการซื้อปริมาณมหาศาลจากคนในประเทศซึ่งแน่นอนที่สุดว่า โดยมากเป็นคนจน ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าประเทศนี้ “คนส่วนใหญ่เป็นคนจน” ค่าดัชนี Gini ของคนประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 0.41 ย่ำแย่กว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่อยู่ประมาณ 0.3 และประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีอย่างในเขตยุโรปเหนือที่อยู่ที่ประมาณ 0.2 ประเทศที่มีค่า Gini สูงกว่าไทยโดยมากเป็นประเทศที่ทุรกันดารหรืออยู่ในสภาพสงครามกลางเมือง กล่าวคือประเทศไทยเต็มไปด้วย “คนมีจนเหลือเฟือ” และ “คน จนที่ขาดแคลน” หากถามย้อนกลับไปสำนักงานสลากฯ เป็นหน่วยงานรัฐหน่วยงานเดียวหรือไร ที่ขูดเลือดขูดเนื้อกับคนยากจน-คงไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน เพราะรายได้หลักของประเทศซึ่งมาจากภาษีอากร ในนั้นร้อยละ 60 มาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นภาษีที่ได้จากการบริโภค และแน่นอนที่สุดว่าเป็นภาษีที่จ่ายโดยคนยากคนจน ทุกครั้งที่ชนชั้นล่างซื้อของ พวกเขาจ่ายภาษีให้กับรัฐบาล ด้วยตรรกะเดียวกันกับการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล หากว่ากันตามตรงแล้วสำหรับประชาชนชนชั้นล่างทั่วไปการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล ยังมีความหวังว่าจะได้อะไรกลับคืนมากกว่า คอยให้รัฐบาลซึ่งคอยแต่ปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นสูงจะจัดสรรนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่พวกเขาสักครั้งหนึ่งให้สมกับภาษีจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับรายได้ของพวกเขา

บทสรุปที่ดูจะรวบรัดคือ มายาภาพที่ว่าความยากจนเกิดเพราะการใช้ชีวิตของชาวบ้านหรือการซื้อหวย เป็นเพียงนิยายที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อให้การขูดรีดในระบบดูชอบธรรมขึ้น แม้รายได้ปริมาณมหาศาลจากสลากกินแบ่งรัฐบาลจะมาจากคนจน แต่ภาษีทางอ้อมที่กินส่วนแบ่งสูงกว่ารายได้ใดๆทั้งปวงของประเทศก็มาจากคนจนเช่นเดียวกัน หากจะกล่าวว่าควรยกเลิกสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือหวยทุกชนิด ก็เห็นควรว่าควรยกเลิกภาษีทางอ้อมเช่นเดียว และหากคนรวยในสังคมต้องการพิสูจน์ว่าตนมีจริยธรรมสูงส่งกว่าชาวบ้านที่ซื้อหวย รัฐบาลสมควรที่จะเก็บภาษีทางตรงอัตราก้าวหน้าจากผู้มีรายได้สูงและนักธุรกิจเงินล้านทั้งหลาย เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่โยนความผิดให้กับคนยากจนว่าพวกเขาจนเพราะวิถีชีวิตของพวกเขาเองหาใช่เพราะการขูดรีดเอาเปรียบของคนร่ำรวยในสังคม

ประเด็นสำคัญที่สุดที่อยากเน้นย้ำ ว่ารัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่รัฐบาลแรกที่นำสิ่งผิดกฎหมายมาทำให้ถูกกฎหมาย หากแต่เป็นการกระทำต่อเนื่องที่ได้ระบุไว้แล้วตั้งแต่การสร้างรัฐไทย หากนายก อภิสิทธิ์ จะถามไถ่ถึงเรื่องจริยธรรม ก็เห็นสมควรอย่างยิ่งที่จะวิจารณ์เรื่องราวประวัติ ของ หวย และฝิ่นในเมืองไทยที่สร้างความมั่งคั่งให้กับสถาบันหนึ่ง โดยนำมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างถอนรากถอนโคนเพื่อความเจริญทางปัญญาต่อไป

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net