13 ม.ค. 52 - หลังจากกรมการจัดหางานของไทย หมดสัญญากับองค์การแรงงานอพยพระหว่างประเทศ (International Organization for Migration: IOM) ในการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล เมื่อเดือนกันยายนปี 2552 ที่ผ่านมา กรมการจัดหางานจึงได้ประกาศรับจดทะเบียนการเป็นคู่ค้าระหว่างบริษัทจัดส่งแรงงานไทย ในช่วงวันที่ 29 ต.ค.– 29 พ.ย.52 ซึ่งกรมการจัดหางานกำหนดรับจดทะเบียนการเป็นคู่ค้าในสัดส่วนผู้รับอนุญาตจัดหางานอิสราเอล 1 รายต่อผู้รับอนุญาตจัดหางานไทยไม่เกิน 3 ราย โดยระบุว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาการเอาเปรียบและหลอกลวงแรงงาน

 

โดยรายชื่อคู่ค้าระหว่างบริษัทจัดส่งแรงงานไทยไปอิสราเอล ที่กรมการจัดหางานประกาศมา 3 ครั้ง (11, 25 , 30 ธ.ค. 2552)  มีดังนี้

ทั้งนี้สื่อของอิสราเอลรายงานเกี่ยวกับกรณีนี้ว่านายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของไทย ได้ส่งจดหมายถึง นาย Eli Yishaiรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอิสราเอล ระบุว่ารัฐบาลไทยกำลังเพิ่มการควบคุมตรวจตราบริษัทจัดหางานที่นำคนไทยไปทำงานในภาคเกษตรที่อิสราเอล โดยมีเพียง 7 บริษัทจาก 42 บริษัทที่จัดนำคนไทยไปทำงานภาคเกษตรที่อิสราเอลเท่านั้นที่ได้รับการต่อสัญญาจากกระทรวงแรงงานของไทย

จากข้อมูลของกรมการจัดหางานพบว่าในปี 2552 (ข้อมูลถึงเดือน พ.ย. 2552) มีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานในอิสราเอลแล้ว 2,600 คน รวมมีแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในอิสราเอล ประมาณ 4 หมื่นคน ส่วนใหญ่ทำงานภาคการเกษตรมากที่สุด ร้อยละ 95 ของจำนวนแรงงานต่างชาติในอิสราเอลกว่า 1.3 แสนคน รองลงมา คือ ด้านงานบริการและร้านอาหาร ส่วนค่าแรงขั้นต่ำที่แรงงานได้รับ ประมาณ 3.8 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งแรงงานจะสามารถทำงานในอิสราเอลได้ 5 ปี

 

สำหรับแรงงานต่างชาติในอิสราเอล ประกอบด้วย ฟิลิปปินส์ 24% ไทย 21% โรมาเนีย 13% จีน 10% ปัจจุบันมีบริษัทจัดหางานส่งแรงงานไทยไปทำงานอิสราเอล 48 บริษัท เป็นบริษัทจัดหางานเพื่อภาคเกษตร 42 บริษัท ดูแลคนชรา 3 บริษัท และภาคก่อสร้าง 3 บริษัท สำหรับปีเมื่อปีที่แล้วไทยมีโควตาแรงงานภาคเกษตรในอิสราเอล 27,500 คน โดยปัจจุบันนี้มีแรงงานในภาคเกษตรนี้ 23,000 คน