ชื่อบทความเดิม "เขตปกครองพิเศษในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน"
ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ปัจจุบันมีการปกครองที่มีการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่นอยู่จำนวน 157 เขตการปกครอง ซึ่งคิดเป็น 65% ของพื้นที่ประเทศ และมีประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองรูปแบบพิเศษนี้กว่า 190 ล้านคน (ไม่นับรวมเขตปกครองอิสระคือเกาะไต้หวัน) รูปแบบของเขตปกครองพิเศษในจีนนั้นแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบคือ
- เขตปกครองตนเองของชนกลุ่มน้อย (Autonomy area) มีจำนวน 155 เขต ที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี 1984 โดยแบ่งเป็นเขตปกครองตนเองเป็นระดับต่างๆ คือ
- เขตปกครองตนเองระดับมณฑล ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 เขต คือ
- เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน
- เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยเกอร์
- เขตปกครองตนเองกวงสีจ้วง
- เขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุย และ
- เขตปกครองตนเองธิเบต
- เขตปกครองตนเองระดับจังหวัด 30 เขต กระจายอยู่ในมณฑลต่างๆ รวมถึงอยู่ในเขตปกครองตนเองระดับมณฑลด้วย เช่น เขตปกครองตนเองคนไทในจังหวัดสิบสองปันนา ของมณฑลยูนนาน หรือเขตปกครองตนเองหุยในจังหวัดชางจี๋ ของมณฑลปกครองตนเองซินเจียงอุยเกอร์
- เขตปกครองตนเองระดับอำเภอมีจำนวน 120 เขต กระจายอยู่ในมณฑลต่างๆ ที่มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ บางอำเภออาจมีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่หนาแน่น 2 ชนเผ่าพอๆ กัน ก็จะจัดเป็นเขตปกครองตนเองร่วมกัน เช่นเขตปกครองตนเองชนเผ่าหยีและหุยในอำเภอต้าหลี่ มณฑลยูนนาน เป็นต้น
- เขตปกครองตนเองระดับมณฑล ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 เขต คือ
- เขตบริหารพิเศษ (Special Administrative District) ภายใต้กฎหมายพื้นฐาน (The Basic Law) จำนวน 2 เขต คือ
- เขตบริหารพิเศษฮ่องกง
- เขตบริหารพิเศษมาเก๊า
การกระจายอำนาจแบบเขตบริหารพิเศษนั้นจะเป็นการกระจายอำนาจที่แท้จริงในเกือบทุกมิติของการปกครอง รัฐจีนเรียกว่าเป็นการปกครองแบบ หนึ่งประเทศสองระบบ เป็นการปกครองตนเองโดยมีอำนาจสูงสุดอยู่เขตบริหารพิเศษ
หนึ่งประเทศสองระบบหมายถึง ในประเทศจีน ดินแดนใช้ระบบสังคมนิยม แต่ในเขตบริหารพิเศษใช้ระบบทุนนิยม และไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายใน 50 ปี ยกเว้นเฉพาะอำนาจในด้านการรักษาความมั่นคงทางทหาร และการต่างประเทศเท่านั้นที่จะขึ้นกับรัฐบาลกลาง
ส่วนรูปแบบการปกครองตนเองของชนกลุ่มน้อยนั้นแม้ว่ารัฐธรรมนูญจะเขียนให้มีการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นในทุกมิติเช่นกัน แต่อำนาจในการบริหาร การปกครองที่สำคัญทั้งหลายต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการถาวรสภาประชาชนแห่งชาติหรือได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติก่อน จึงจะมีผลบังคับใช้
ซึ่งหากเราย้อนกลับไปศึกษาดูประวัติการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ เราก็จะไม่พบว่า มีความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกลาง กับผู้ปกครอง หรือตัวแทนสภาประชาชนที่เป็นชนกลุ่มน้อย ก็เพราะว่ามีการวางตัวแทนผู้บริหารปกครอง หรือตัวแทนสภาประชาชนมาก่อนแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ หรือผู้ที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลนั่นเอง
อย่างไรก็ตามความสงบกว่า 60 ปี ที่เกิดขึ้นในเขตของชนกลุ่มน้อย 55 ชนเผ่าก็มาจากการที่รัฐมีนโยบาย ยอมรับในภาษา และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของชนกลุ่มน้อย ไม่สร้างชาติให้เป็นรัฐนิยมหรือรัฐเอกนิยมในสังคมพหุวัฒนธรรม เหมือนกับรัฐบาลสาธารณรัฐของจอมพลเจียงไคเช็ค
ความสำเร็จในการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ส่วนหนึ่งก็มาจากความช่วยเหลือของชนกลุ่มน้อยโดยมีข้อตกลงร่วม เช่นเขตการปกครองตนเองมองโกเลียในซึ่งก่อตั้งโดยพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1947 ก่อนการล่มสลายของรัฐบาลเจียงไคเช็คถึง 2 ปีเศษ ความสำเร็จของการปฏิวัติของประธานเหมา เจ๋อ ตุง ส่วนหนึ่งจึงมาจากการมีนโยบายที่วางอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในสังคมพหุวัฒนธรรม
ดังนั้นจะเห็นได้จากกฎหมายรัฐธรรมนูญของจีนได้บัญญัติอย่างให้เกียรติกับชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มค่อนข้างมาก เช่นเขตปกครองตนเองสามารถออกกฎหมายหรือระเบียบที่ใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อย หนึ่งหรือหลายภาษาเพื่อใช้ในการปฏิบัติราชการได้
หน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจในเขตปกครองตนเองต้องมีข้าราชการหรือพนักงานที่เป็นชนกลุ่มน้อยในสัดส่วนที่เหมาะสม และมีสิทธิพิเศษในการรับเข้าทำงานก่อนผู้อื่น เป็นต้น
ส่วนการกระจายอำนาจของเขตปกครองตนเองที่ไม่สมบูรณ์ก็คือการกระจายอำนาจในมิติของการจัดการทรัพยากรนั้นรัฐยังไม่เปิดโอกาสให้ชนกลุ่มน้อยได้บริหารจัดการกันเอง อีกทั้งการที่รัฐยังมีการจำกัดสิทธิบางประการของการนับถือศาสนา ทำให้เป็นสาเหตุหลักของความไม่สงบในมณฑลซินเจียงและธิเบต เพราะประชาชนในสองมณฑลนี้มีต่างมีความศรัทธาในศาสนาที่ตนนับถือ
ส่วนมณฑลซินเจียงนั้นจะแตกต่างจากธิเบต คือซินเจียงเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์มาก เช่นเป็นแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ที่สุดของจีน เป็นแหล่งถ่านหินคุณภาพดีจำนวนมหาศาล อีกทั้งยังเป็นแหล่งปลูกฝ้าย ข้าวโพด ดอกน้ำมัน (Rapeseed) ที่สำคัญของจีน
ทรัพยากรพลังงานในซินเจียงจึงเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศของจีน รัฐจึงใช้นโยบายอพยพคนฮั่น (คนจีนแท้) เข้าไปในซินเจียงจำนวนมากเพื่อสร้างความสมดุลกับคนพื้นเมืองจนทำให้ปัจจุบันคนจีนฮั่นในซินเจียงมีสัดส่วนของประชากรที่ใกล้เคียงกับคนพื้นเมือง อาศัยอยู่ในเขตเมืองมีรายได้สูงกว่าคนพื้นเมือง คนในพื้นที่ก็ยังคงดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความยากจน
ถึงแม้รัฐบาลจีนจะพยายามแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการบรรจุแผนพัฒนาซินเกียงในแผนพัฒนาประเทศหลายแผน แต่ทว่าการกระจายรายได้มักจะให้โอกาสให้กับชาวฮั่นที่อพยพเข้าไปมากกว่าคนพื้นเมือง
ความไม่สมดุลของการกระจายรายได้ก็ยังคงเป็นปัญหาต่อไปเพราะอำนาจการปกครองที่สำคัญก็เป็นของเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์มณฑลซึ่งเป็นชาวฮั่นและยังมีปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้เกิดขบวนการต่อสู้ด้วยอาวุธ “องค์การปลดปล่อยเตอร์กิสถานตะวันออก" (East Turkistan Liberation Organization : ETLO) ทำการต่อสู้เพื่อต้องการปลดปล่อยซินเจียงให้เป็น รัฐอิสลามแห่งเตอร์กิสถานตะวันออก (Islam Eastern Turkistan Republic)
ส่วน เหตุจลาจลทางเชื้อชาติ เมื่อต้นเดือน ก.ค.2009 “เมืองอุรุมฉี” เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองซินเกียงของจีน จนเกิดเหตุจลาจลและปะทะนองเลือดระหว่าง “ชนกลุ่มน้อยชาวอุยเกอร์” กับ “ชาวจีนฮั่น” เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 184 คน และบาดเจ็บอีกกว่าพันคน
ก่อนการปะทะ ชาวอุยเกอร์หลายร้อยคนชุมนุมกันอย่างสงบ เรียกร้องให้มีการสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของชาวอุยเกอร์ 2 คนและบาดเจ็บ 118 คนในปัญหาการทะเลาะวิวาทกันระหว่างคนงานฮั่นกับคนงานชาวอุยเกอร์ ที่โรงงานผลิตของเล่นใน มณฑลกวางตุ้งเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2009
แต่การชุมนุมอย่างสงบก็บานปลายกลายเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งใหญ่ของประเทศ โดยทางการจีนอ้างว่าผู้ชุมนุมชาวอุยเกอร์เป็นฝ่ายสร้างความวุ่นวาย แต่ต้นเหตุที่แท้จริงก็คือการที่รัฐไม่จัดการลงโทษกับอาชญากรและผู้กระทำผิดในมณฑลกวางตุ้งอย่างยุติธรรมและรวดเร็ว และเหตุการณ์ดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจในประสิทธิภาพและความยุติธรรมในการดำเนินงานของรัฐ
ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาจีนจึงใช้นโยบายกระจายอำนาจให้ชนกลุ่มน้อยปกครองตนเองได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจจะเหมาะสมกับชนกลุ่มน้อยที่มีความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมกับคนฮั่นไม่มากนัก แต่อาจไม่เหมาะกับชนกลุ่มน้อยในมณฑลซินเจียงและธิเบต เพราะประชาชนในสองมณฑลนี้มีความแตกต่างทั้งภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม กับชาวฮั่น ทำให้ปัญหาความขัดแย้งยังคงอยู่
รัฐจีนยังไม่กล้าหาญพอที่จะกระจายอำนาจให้มากกว่านี้ จีนจึงต้องเร่ง ยกระดับความสำคัญของเศรษฐกิจซินเจียงและวัฒนธรรมท้องถิ่น ด้วยการส่งเสริมบทบาทให้ชาวมุสลิมในซินเจียง เป็นศูนย์กลางของจีนในการร่วมมือ และติดต่อกับประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization : SCO) ซึ่งเป็นองค์การความร่วมมือของประเทศในภูมิภาคเอเชียกลาง ที่จีนและรัสเซียร่วมกันก่อตั้งกับประเทศคาซัคสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กิซสถาน และอุซเบกิสถาน ซึ่งล้วนเป็นประเทศมุสลิมทั้งสิ้น
จีนอาศัยลักษณะพิเศษของชาวซินเกียงที่มีเชื้อสาย ภาษา และศาสนา เหมือนคนในประเทศเอเชียกลางให้เป็นประโยชน์ ในการร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยฟื้นฟูการค้าชายแดน และส่งเสริมให้มณฑลซินเจียง เป็นเขตอุตสาหกรรมผลิตอาหารฮาลาล ส่งออกไปยังประเทศใกล้ๆ ในเอเชียกลาง รวมทั้งส่งเสริมให้ซินเจียงมีบทบาทในการติดต่อด้านการค้า และการลงทุนกับอิหร่าน และประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลางโดยหวังว่าจะทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ทำให้ลดปัญหาความรุนแรงในเขตปกครองตนเองลงได้ระยะหนึ่งชั่วคราว หากแต่รากเหง้าของปัญหาก็ยังคงอยู่
หากหลายประเทศที่ประสบปัญหาในการปกครองท้องถิ่นลักษณะคล้ายกับจีน จะนำปัญหาของจีนไปเป็นกรณีศึกษาเพื่อประยุกต์ใช้ ก็อาจทำให้ปัญหาในประเทศของตน บรรเทาลงได้ไม่น้อย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)