วันนี้ (23 พฤศจิกายน) เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนชาวบ้านปกากะเญอจากริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอน กลุ่มนักศึกษา ภาคประชาสังคมกลุ่มต่างๆ ทั้งองค์กรสิ่งแวดล้อม องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และเครือข่ายสลัม 4 ภาค รวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือลงนามโดย 189 องค์กรทั่วประเทศไทย และประชาชน 1,580 รายชื่อต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขอให้ระงับการสร้างเขื่อนฮัตจีซึ่งคาดว่าจะเป็นเขื่อนแรกที่ถูกผลักดันให้สร้างบนลำน้ำสาละวิน
กลุ่มชาวบ้านได้ผลัดกันกล่าวปราสัยถึงกรณีปัญหาการก่อสร้างเขื่อนบนลำน้ำสาละวินที่จะส่งผลต่อวิถีชีวิต และมีการชูป้ายและป้ายผ้าแสดงจุดยืนต่อกรณีการก่อสร้างโครงการดังกล่าว อาทิ “คนไทยไม่เอาเขื่อนสาละวิน” “อภิสิทธิอย่าเชื่อ กฟผ.ฆ่าพี่น้องไทยพม่า” “กฟผ.พึ่งพลังงานพม่า พึ่งเผด็จการ” “กฟผ.ฆ่าประชาชน” และข้อความภาษาพม่า “อย่าสร้างเขื่อนบนน้ำตาประชาชน” จากนั้นได้มีการแสดงบทบาทสมมุติที่แสดงถึงการล้มตายของผู้คนกลุ่มต่างๆ จากการก่อสร้างเขื่อนบน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการให้การสนับสนุนโครงการก่อสร้างเขื่อนที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และทำลายวิถีชีวิตสองฝั่งลำน้ำสาละวิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่มีการชุมนุม ไม่มีการติดต่อประสานงานจากในทำเนียบที่จะส่งตัวแทนนายกรัฐมนตรีมารับจดหมายและรับทราบข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม
นายมนตรี จันทวงศ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ และนักวิจัยของโครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคแม่น้ำโขง (TERRA) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการติดต่อประสานงานไปยังนายกรัฐเพื่อมอบจดหมายขอให้ระงับโครงการเขื่อนไฟฟ้าฮัตจี แต่มีการผ่านเรื่องต่อไปยังรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน และจากรัฐมนตรีได้ผ่านเรื่องไปให้ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สุดท้ายจึงได้ส่งรองผู้ว่าฯ คนหนึ่งมารอรับจดหมายอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล และเรียกให้ชาวบ้านไปยื่นจดหมายให้ ซึ่งเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ เนื่องจาก กฟผ.ถือเป็นคู่กรณีโดยตรงกับประชาชน และเป็นคนที่จะดำเนินการสร้างเขื่อนฮัตจีเอง
ในส่วนของข้อห่วงใยต่อการสร้างเขื่อนในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้ไทย นายมนตรีกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีไฟฟ้าล้นเกินจากที่ใช้อยู่จริงถึงร้อยละ 35-40 ซึ่งถือว่ามากเกินพอแล้ว และในกรณีการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศก็ประสบปัญหามาแล้วในกรณีที่ประเทศพม่าหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างกระทันหันหลายครั้งในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยไม่ทราบเหตุผล การสร้างเขื่อนฮัตจีเพื่อเป้าหมายในการนำไฟฟ้าเข้าสู่ระบบอีกกว่า 1,200 เมกะวัตต์ ยิ่งทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาพลังงานจากพม่ามากขึ้น
การที่ กฟผ.ผลักให้ไทยพึ่งพาไฟฟ้าจากเขื่อนในพม่า ถูกจับตามองในฐานะโครงการที่สุ่มเสี่ยงกับความไม่แน่นอน และเสี่ยงกับภาพพจน์ของไทยในการร่วมกับรัฐบาลทหารพม่า ขับไล่ กดขี่ประชาชนออกไปจากพื้นที่สร้างเขื่อน โดยเฉพาะในขณะนี้ มีประชาชนมากกว่า 3,500 คน ต้องถูกขับไล่จากพื้นที่สร้างเขื่อนฮัตจี ไหลทะลักเข้ามาเป็นแรงงานในเขตประเทศไทยแล้ว และการละเมิดสิทธมนุษยชนจะยิ่งมากขึ้น หากเขื่อนฮัตจียังคงถูกผลักดันอย่างเต็มที่ และรัฐบาลยังมีแนวโน้มจะเห็นด้วยกันกับ กฟผ.ดังที่เป็นอยู่
นายมนตรีกล่าวด้วยว่า การมายื่นจดหมายในวันนี้ต้องการให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นฝ่ายการเมืองได้รับทราบปัญหาและร่วมตัดสินใจ แต่ก็ต้องแสดงความเสียใจที่นายกฯ ไม่มีสปิริตมากพอที่จะมารับจดหมายจากประชาชนที่ร่วมลงชื่อกว่า 1,500 รายชื่อ ส่วนการดำเนินการต่อไปทางเครือข่ายจะทำการยื่นจดหมายและรายชื่อผู้ร่วมสนับสนุนต่อ ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และหน่วยงานที่ให้ความสนใจ
จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้ร่วมกันเผาพวงหรีดจำลองที่มีชื่อ กฟผ. บริษัทชิโนไฮโดร ประเทศจีน และกรมไฟฟ้าพลังน้ำ กระทรวงพลังงานไฟฟ้า สหภาพพม่า ซึ่งเป็น 3 กลุ่มที่จะร่วมกันสร้างเขื่อนฮัตจี และรูปภาพใบหน้าของนายกรัฐมนตรี และนายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รวมทั้งนายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่ ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนนายสมบัติ ที่จะครบวาระในวันที่ 17 ธ.ค.นี้
“ประชาชนใช้ชีวิตริมน้ำสาละวิน ทรัพยากรธรรมชาติของสาละวินมีความหมายกับชีวิตพวกเราที่สุด ถ้าแม่น้ำสาละวินเปลี่ยนแปลงไป เราคงอยู่ไม่ได้” นายไพโรจน์ พนาไพรสกุล ชาวบ้านบ้านท่าตาฝั่ง ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบหากมีการก่อสร้างเขื่อนฮัตจีกล่าว
ด้านนายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ในฐานะประธานมูลนิธิการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ประเทศไทย กล่าวว่า การสร้างเขื่อนบนลำน้ำใหญ่มีความสำคัญในภูมิภาค การจัดการน้ำที่จะมีการดำเนินการในวันนี้ต้องมองอย่างเป็นระบบ เพราะแม้จะสร้างในประเทศหนึ่งผลกระทบก็จะส่งผลถึงอีกประเทศหนึ่งได้ ในส่วนของเขื่อนฮัตจีบนลำน้ำสาละวิน เรื่องการศึกษาผลกระทบของชุมชน เท่าที่ทราบ มีการศึกษาผลกระทบเพียง 4 หมู่บ้านในเขตพม่า โดยจำนวนไม่แน่นอน แต่ผลกระทบในไทยยังไม่มีผลการศึกษาที่ชัดเจน ส่วนในเรื่องสิทธิมนุษยชน การสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าในพม่าจะมีปัญหาในเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง นอกจากนี้ในเรื่องการผลิตพลังงานไฟฟ้าเพิ่ม ประเทศไทยยังไม่มีความต้องการในปัจจุบัน การผลิตเพิ่มจะยิ่งเป็นการผลักภาระให้ผู้ใช้ไฟในประเทศไทยผ่านค่าเอฟที
“ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็อยากให้ยกเลิกโครงการ แต่ในมุมวิชาการเราคิดว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่มีความชัดเจน น่าจะให้มีการชะลอหรือยุติการดำเนินการใดๆ ไว้ก่อน ณ วันนี้” นายหาญณรงค์แสดงความเห็น
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมได้สลายตัวจากบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อเวลาประมาณ 11.30 น.โดยกลุ่มชาวบ้านปกากะเญอได้เดินทางต่อไปยังโรงแรมรอยัลริเวอร์เพื่อมอบหนังสือให้กับ ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี สมาชิกคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในเวลา 15.00 น.
กลุ่มชุมชนนักกิจกรรมภาคเหนือ รวมตัวแถลงเจตนารมณ์ คัดค้านเขื่อนสาละวิน
ในวันเดียวกัน เวลา 11.00 น. ทีสำนักงานชุมชนคนรักป่า อ.เมือง จ.เชียงใหม่ กลุ่มชุมชนนักกิจกรรมภาคเหนือ รวมตัวกันแสดงเจตนารมณ์คัดค้านโครงการก่อสร้างเขื่อนฮัตจีบนแม่น้ำสาละวิน ร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวบ้านและภาคประชาสังคม
นายวิมล ดินุ ตัวแทนกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้อ่านคำประกาศเจตนารมณ์ หยุดการสร้างเขื่อนฮัตจี ปลดปล่อยแม่น้ำสายสุดท้ายแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เป็นอิสระ เป็นภาคภาษาไทย หลังจากนั้น นางสาวรสรินทร์ สุจริตพินิจ ตัวแทนกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้อ่านคำประกาศเจตนารมณ์เป็นภาคภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างความเข้าใจในเจตนารมณ์ที่แท้จริง อย่างทั่วถึงทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย