Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis
 
 
ทำไมคุณทักษิณจึงตอบรับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ยกย่องคุณทักษิณว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเสมอดั่ง ออง ซาน ซูจี?
 
หากย้อนมองภูมิหลังของเขา เราจะไม่แปลกใจเลย
 
คุณทักษิณนั้นเป็นบุคคลที่มีคุณลักษณะ (Character) ที่โดดเด่นคือ “ทำทุกอย่างไม่ว่าจะถูกหรือผิดเพื่อให้บรรลุจุดหมายที่ตนต้องการ” เอาแค่ตัวอย่างบางตอน เช่น เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคมในยุคที่ รสช.เรืองอำนาจ ซึ่งเราได้ทราบต่อมาว่า พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ประธาน รสช.ในขณะนั้นที่มีส่วนช่วยอย่างสำคัญให้ทักษิณได้สัมปทาน มีทรัพย์สินกว่า 3,000 ล้านบาท
 
พูดตรงๆ คือคุณทักษิณตีสนิทกับอำมาตย์ หรือใช้อำมาตย์เป็นเครื่องมือเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ภายหลังขัดแย้งกับอำมาตย์ คุณทักษิณก็แสดงบทของนักประชาธิปไตยที่เป็นหัวหอกในการโค่นอำมาตยาธิปไตยด้วยการเปิดโปง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” 
 
ในขณะที่เมื่อแรกเข้าสู่การเมืองคุณทักษิณเลือกสังกัดพรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นพรรคการเมืองน้ำดีที่โจมตีนักการเมืองน้ำเน่าอย่างรุนแรง แต่เมื่อพรรคพลังธรรมไม่อาจส่งให้ถึงฝั่งฝันได้ คุณทักษิณก็ตั้งพรรคไทยรักไทยกวาดต้อนอดีต ส.ส.น้ำเน่า หรือพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด เข้ามาอยู่ในสังกัดอย่างหนาแน่น โดยมีเจ้าพ่อวังน้ำเย็นอย่าง นายเสนาะ เทียนทอง เป็นประติมากรปั้นคุณทักษิณให้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้สำเร็จ
 
จากนั้นเพื่อให้อยู่ในอำนาจยาวนานที่สุด คุณทักษิณก็ทำทุกอย่าง เช่น ควบรวมพรรคหรือให้พรรคการเมืองอื่นๆ ยุบรวมเข้ามาอยู่ภายใต้ชายคาของไทยรักไทย การแทรกแซงองค์กรตรวจสอบและวุฒิสภา การแต่งตั้งนายทหาร ตำรวจรุ่นเดียวกับตนเอง และหรือญาติของตนเองให้มีตำแหน่งคุมกำลังในกองทัพ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น
 
แต่เมื่อถึงเวลาเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองคุณทักษิณกลับเทขายหุ้นชินคอร์ปฯ ไอทีวี และสัมปทานดาวเทียมไทยคมให้ต่างชาติ โดยการขายหุ้นกว่าเจ็ดหมื่นล้านไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว และขายในช่วงเวลาที่แก้กฎหมายขยายเปอร์เซ็นการถือหุ้นของชาวต่างชาติได้สำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน
 
สิ่งที่คุณทักษิณกระทำหลังจากได้ให้สัญญาประชาคมก่อนมาเป็นนายกฯ ว่า “ผมรวยพอแล้ว ชีวิตที่เหลือต้องการทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน” และหลังการประกาศ “สงครามกับคอร์รัปชัน” นั้น ผลช่างตรงกันข้าม เพราะการกระทำต่างๆ ข้างต้นนั้นสะท้อนความงกที่ไม่รู้จักพอ และสงครามกับคอรร์รัปชันก็จบลงด้วยมหกรรมคอร์รัปชันจนนำมาสู่การเดินขบวนประท้วงของประชาชนเรือนแสน และการรัฐประหารในที่สุด
 
แล้ววันนี้คุณทักษิณก็เลือกที่จะอยู่ข้างกัมพูชา หรือเลือกใช้กัมพูชามาอยู่ข้างตนเอง ในสถานการณ์ความขัดแย้งทั้งระหว่างไทย-กัมพูชา และระหว่างทักษิณ-กับรัฐบาลประชาธิปัตย์ อำมาตย์ และคนเสื้อเหลือง ทั้งๆที่รู้แก่ใจว่าการเลือกดังกล่าวอาจเสี่ยงต่อการทำลายความร่วมมือทางเศรษฐกิจของรัฐและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ หรือแม้กระทั่งเกิดสงครามระหว่างประเทศก็ตาม
 
จึงยิ่งชัดเจนว่าไม่มีอะไรที่คุณทักษิณทำไม่ได้เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตนต้องการ แต่ประเด็นปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณทักษิณเท่านั้นคือตัวปัญหา ปัญหาอยู่ที่ประชาธิปไตยในบ้านเราตกอยู่ในมือของ “คนอย่างทักษิณ” มานาน และจะยังเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน
 
เพราะความจริงคือทุกฝ่ายที่ปฏิเสธคุณทักษิณ ต่างก็เป็น “คนอย่างทักษิณ” ทั้งนั้น คือเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างไม่ว่าถูกหรือผิดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตนต้องการ เช่น ทำรัฐประหารเพื่อประชาธิปไตย ใช้สถาบันกษัตริย์ทำลายศัตรูทางการเมือง อยู่ในสถานะที่กฎหมายห้ามยุ่งการเมืองก็เข้ามายุ่งอย่างไร้ยางอาย โจมตีทักษิณว่าโกหก คอร์รัปชัน ฝ่ายตนก็ทำอย่างเดียวกัน ฯลฯ
 
นี่อาจเป็นคำตอบว่า ทำไมคุณทักษิณจึงกล้าเสี่ยงที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อบรรลุเป้าหมาย แม้กระทั่งเลือกอยู่ข้างต่างชาติหรือใช้ต่างชาติมาอยู่ข้างตัวเอง เพราะจริงๆ แล้วคุณทักษิณอาจประเมินแล้วว่า คนไทยชอบ “คนอย่างทักษิณ” หรือไม่มีตัวเลือกอื่นในทางการเมืองนอกจากต้องเลือกคนอย่างทักษิณ
 
และเมื่อสังคมนี้หนีไม่พ้นคนอย่างทักษิณ ทางชนะคือเป็นคนอย่างทักษิณให้มันสุดๆไปเลย ไม่ต้อง “เหนียม” อีกต่อไป
 
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เป็นคนอย่างทักษิณเช่นกัน จะเห็นได้จากการยอมจูบปากกับเนวินไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และการดำเนินนโยบายแบบยอมงอไม่ยอมหักกับพรรคร่วมรัฐบาล เช่นการให้เช่ารถเมล์ 4,000 คัน และอื่นๆ แต่คุณอภิสิทธิ์เป็นคนอย่างทักษิณแบบดัดจริตว่าตนเองไม่ได้เป็น เมื่อเจอกับคนอย่างทักษิณแบบไม่ต้องดัดจริต คุณอภิสิทธิ์จึงต้องตกอยู่ในฝ่ายตั้งรับที่เจียนจนจะถูกเขี่ยตกเวทีเข้าไปทุกที
 
ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศที่กำลังลามไปเป็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ จึงเป็นภาพสะท้อนของปัญหาประชาธิปไตยในมือคนอย่างทักษิณ ทุกฝ่ายคือคนอย่างทักษิณ แม้แต่ตัวเราเองที่อ้างว่าไม่สังกัดสีใดฝ่ายใดก็อาจเป็นคนอย่างทักษิณด้วยเช่นกัน
 
สังคมเราต้องการประชาธิปไตยที่พ้นไปจากเงื้อมมือคนอย่างทักษิณ แต่เราก็ไม่มีทางขจัดคุณทักษิณหรือคนอย่างทักษิณให้หมดไปได้ วิธีคิดตามแผนบันไดสี่ขั้นที่เชื่อว่าไม่มีคุณทักษิณคนเดียวปัญหาทุกอย่างก็จบ เป็นวิธีคิดที่หลอกตัวเองสุดๆ เพราะพวกที่คิดเช่นนี้ก็คือคนอย่างทักษิณที่ดัดจริตว่าตนเองไม่ได้เลวอย่างคุณทักษิณทั้งนั้น
 
ทางออกคือเราต้องทำความเข้าใจ “คนอย่างทักษิณ” ให้ชัดเจน แล้วร่วมกันคิดว่าจะวางระบบการเมืองอย่างไรที่จะกำจัดจุดอ่อนและส่งเสริมจุดแข็งของคนอย่างทักษิณได้ เลิกพูดว่าระบบเลือกตั้งไม่เหมาะกับสังคมไทย แต่ต้องให้ความไว้วางใจประชาชน
 
ให้ประชาชนได้มีสิทธิเลือกและเรียนรู้ จนสามารถพัฒนาไปสู้การสร้างพลังอำนาจของภาคประชาชนในการกำกับตรวจสอบ และใช้คนอย่างทักษิณให้ตอบสนองต่อประโยชน์สุขของส่วนรวมมากที่สุด
 
หรือกระทั่งประชาชนสามารถสร้างสรรค์ประชาธิปไตยด้วยตนเอง ให้เป็นประชาธิปไตยที่พ้นไปจากเงื้อมมือของคนอย่างทักษิณ!

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net