ภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดิน ภาษีมรดกอัตราก้าวหน้า มันถึงเวลาแล้ว..

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ปัจจุบันเราเสียภาษีทางอ้อมกว่า 70% และเสียภาษีทางตรงเพียง 30% ภาษีทางอ้อมนั้นเก็บผ่านฐานการบริโภค คือ ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ซึ่งเป็นการเก็บภาษีทางอ้อมที่ผลักภาระให้คนจนส่วนใหญ่เป็นผู้แบกรับภาษี ท่ามกลางความเหลื่อมล้ำทางสังคมมหาศาลและการกระจายรายได้ที่แย่มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลกนี้ เรามีมนุษยน์ผู้จิบไวน์ขวดละแสน และชาวนาที่ต้องขายควายกว่า 10 ตัวกว่าจะเทียบเท่าน้ำทิพย์สีแดงขวดนั้น ไม่ผิดที่เราเกิดมาต่างกัน แต่นั่น มันไม่เป็นธรรมเลยสักนิด!!

ไม่ผิด ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ได้แบกรับการพัฒนา ไม่ผิด ถ้ามูลค่านั้นมาจากส่วนเกินทางสังคม ไม่ผิด ถ้ารายได้ที่มากขึ้นนั้นมาจากหยาดเหงื่อแรงงานและการลงทุนที่ใช้ความสามารถ หากแต่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐ ทรัพย์สินที่สั่งสมเพิ่มขึ้นจากการรีดมูลค่าจากคนสังคม สมควรแบ่งปันคืนสู่สังคม โดยให้รัฐจัดการในส่วนเสี้ยวหนึ่งเพื่อการพัฒนาสังคม สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และความสะดวกปลอดภัยของชีวิต.. แน่นอนรายได้ที่เพิ่มขึ้น ย่อมมาจากการกอบโกยจากสังคมส่วนหนึ่ง การคืนบางส่วนเพื่อไปพัฒนาแก้ไขปัญหาย่อมเป็นหน้าที่พลเมืองที่ดีมีคุณภาพของรัฐ และรัฐต้องเป็นรัฐที่ดีด้วยเช่นกัน ในการใช้ส่วนนั้นกลับไปพัฒนาสังคม ตลอดจนคุณภาพชีวิตและสวัสดิการที่ดีจากรัฐ

พลเมืองในยุโรป โดยเฉพาะประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ยินดีจ่ายภาษีส่วนเกินนี้คืนให้รัฐ แน่นอน ในอัตราก้าวหน้าจากทรัพย์สินและรายได้ที่งอกเงย เพราะแต่ละคนก็เอาประโยชน์ที่งอกเงยนั้นมาจากสังคมไม่เท่ากัน ความเป็นธรรมจึงเกิดขึ้นจากโครงสร้างภาษีที่เป็นธรรมนี้ และรัฐบาลก็นำภาษีที่เก็บได้มาพัฒนาสังคม จนผลิตผลของทรัพย์สิน ที่ดินและมูลค่าของการลงทุนต่างๆ งอกเงยขึ้นมาเป็นดอกผลตอบแทนคืนสู่พลเมืองอีกระลอกหนึ่ง แน่นอน ผลพวงนี้เชื่อมต่อกันและทุกคนก็ยินดีที่จะจ่ายภาษีเหล่านี้ หลายครอบครัวยินดีที่จะจ่ายเงินมากกว่าอีกครอบครัวหนึ่งซึ่งมีรายได้น้อยกว่า เพียงเพื่อจะให้ลูกของตนเข้าโรงเรียนที่เดียวกัน เหตุผลเดียวก็คือเพื่อให้ลูกหลานของตนได้เรียนรู้และอยู่ใน “สังคม”

ในอเมริกา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์ท บุช ผู้พ่อ เคยเสนอให้ยกเลิกเก็บภาษีมรดก เพื่อเดินทางเสรีนิยมสุดขั้ว ให้การแข่งขันและการผลิตของทุนมุ่งกำไรเต็มที่โดยไม่ต้องเอาสังคมเป็นภาระ ปรากฎว่านายทุนชั้นนำของสหรัฐต่างออกมาคัดค้าน หลายคนเห็นว่าพวกเขากอบโกยมาจากคนกว่า 200 ล้านคนในสหรัฐย่อมสมควรคืนกลับให้สังคมบ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็เพื่อให้สังคมที่เขาอยู่ดีขึ้น และมันทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเราดีขึ้นด้วย เข้าทำนองภาษิตที่ว่า “หากคนอ้วนแบ่งอาหารให้คนผอม ชีวิตเขาจะยืนยาวทั้งคู่”

ระหว่างที่ทรัพย์สินงอกเงยขึ้น มาจากการคุ้มครองจากรัฐในรูปแบบนิติบุคคล แน่นอน เราจ่ายภาษีเพียงบางส่วน ให้แก่รัฐ แต่สังคมที่โอบอุ้มดูแลอยู่ล่ะ เราได้เสียภาษีสังคมหรือไม่ สิ่งแวดล้อมที่เสื่อมสลายลงทีละน้อยๆ ล่ะ เราได้จ่ายภาษีสิ่งแวดล้อมที่เสียไปอย่างคุ้มค่าหรือไม่ มีใครเคยคิดบ้างว่า เรายังคงหายใจในอากาศร่วมกัน เรายังคงหายใจบนพื้นที่ส่วนรวมอยู่ ไม่น้อยก็มากชีวิตเรากึ่งหนึ่งยังเป็นของส่วนรวม

ภาษีทรัพย์สิน คือภาษีทางตรงที่เราจ่ายให้แก่รัฐและสังคมระหว่างที่มีชีวิตอยู่ และแน่นอน ภาษีมรดก คือการจ่ายส่วนเกินที่ปลายทางนั่นเอง ส่วนเกินที่เราสะสมมาจากมูลค่าที่สังคมโอบอุ้ม เราไม่ได้มันมาจากสูญญากาศ ดังนั้น เราจ่ายภาษีคืนสังคมเผื่อเหลือเผื่อขาดแน่นอน มันจึงพอกพูนงอกเงยขึ้นเป็นกองมรดกให้แก่ลูกหลาน การจ่ายคืนส่วนเกินบางส่วนให้แก่สังคมปลายทางนี้ จึงเป็นอัตราก้าวหน้าเช่นกันเพื่อความเป็นธรรมทางสังคม

ในสหภาพยุโรปเกือบทุกประเทศเก็บภาษีมรดกอัตราก้าวหน้า รวมถึงญี่ปุ่นและอเมริกาด้วย มีทั้งปันส่วนหนึ่งเข้ารัฐบาลกลางและส่วนหนึ่งเข้าท้องถิ่น มีทั้งภาษีการให้และการรับ จากกองมรดกและหรือจากการรับมรดกก็ตามรูปแบบที่แต่ท้องที่ไป

ในประเทศไทย ซึ่งมีปัญหาความเหลื่อมล้ำมหาศาล คนรวยพากันคัดค้านการปฏิรูปภาษีเพื่อความเป็นธรรมทางสังคมมาโดยตลอด แต่ก็เป็นที่น่ายินดี ที่รัฐบาลดำริว่าจะผลักดันภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในเร็วๆ นี้ เพราะมันถึงเวลาแล้วจริงๆ !!! และในอนาคตภาษีมรดกจะตามมาเยียวยาบาดแผลและรอยร้าวของความยากจน ที่เกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและนโยบายที่ไม่เป็นธรรม มาตลอดกว่า 50 ปี

กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้เก็บนี้ นอกจากเป็นมาตรการสำคัญในการปฏิรูประบบภาษีที่ดิน และสามารถพัฒนาโครงสร้างทางการคลังเพื่อนำไปสู่ภาวการณ์กระจายรายได้ที่ดีขึ้นได้ ยังเป็นการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยในระยะยาวอีกขั้นหนึ่ง เพราะเป็นรายได้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดสรรทรัพยากรและกระจายการพัฒนาสาธารณูปโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน เนื่องเพราะประเทศไทยยังไม่มีภาษีที่จัดเก็บจากฐานทรัพย์สินที่แท้จริงเช่นนี้ นอกจากฐานรายได้ คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และฐานการบริโภค คือ ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ซึ่งเป็นการเก็บภาษีทางอ้อมที่ผลักภาระให้คนจนส่วนใหญ่เป็นผู้แบกรับภาษีดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงสร้างภาษีที่ไม่มีความเป็นธรรม แม้ว่าในอดีตถึงปัจจุบัน เราจะมีการเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ แต่ก็ไม่ได้เก็บจากมูลค่าของทรัพย์สินอย่างแท้จริง เพราะเป็นการคำนวณภาษีบนฐานรายได้ โดยคำนวณจาก “ค่ารายปี” หรือค่าเช่าที่เจ้าของได้รับในแต่ละปี ถ้ามีการออกกฏหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะเป็นภาษีทางตรงที่เก็บจากฐานทรัพย์สินที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้เป็นอัตราก้าวหน้าในเชิงการถือครองมูลค่า แต่ก็เป็นอัตราก้าวหน้าในเชิงการใช้ประโยชน์ หากมีการปล่อยที่ดินไว้รกร้างว่างเปล่าก็จะเก็บภาษีมากขึ้น หากเป็นที่ดินที่ทำประโยชน์เชิงพานิชย์ก็จะมีอัตรามากกว่าพื้นที่เกษตรกรรมทั่วไป อย่างไรก็ตาม ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้เน้นในเรื่องของการกระจายการถือครองที่ดิน โดยตรง และคนจนจำนวนมากไม่มีที่ดินทำกิน ดังนั้น กระทรวงการคลัง ควรมีนโยบายที่จะป้องกันไม่ไห้ที่ดินหลุดมือจากเกษตรกรไปสู่นายทุน โดยเพิ่มมาตรการการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าที่มากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่รกร้างไม่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และนโยบาย “โฉนดชุมชน” เพื่อเป็นการสร้างการยอมรับการครอบครองที่ดินทำกินและที่ดินอยู่อาศัยของผู้ที่ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่แท้จริง และเป็นมาตรการในการให้ชุมชนมาจัดการที่ดินร่วมกัน เพื่อให้ที่ดินสามารถคงอยู่กับคนในชุมชนได้อย่างยั่งยืนต่อไป รวมถึง ควรมีมาตรการกันรายได้ของภาษีที่ดินส่วนหนึ่งตั้งเป็น “ธนาคารที่ดิน” เพื่อเป็นหลักประกันให้คนจนที่ไม่มีที่ดินทำกิน มีโอกาสในการเข้าถึงที่ดิน

นอกจากนี้ หากเป็นไปได้ในระยะอันใกล้ หรืออาจเป็นนโยบายสังคมระยะยาว ควรมีนโยบายการปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ เพื่อการกระจายการถือครองที่ดินอย่างจริงจัง โดยการรื้อฟื้นปรับปรุง พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งมีการจำกัดการถือครองที่ดินไม่เกิน 50 ไร่ และห้ามคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน แต่มายกเลิกในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2503 ยกเลิกการจำกัดการถือครองที่ดิน เพื่อส่งเสริมให้เอกชนได้แสวงประโยชน์จากทรัพยากรโดยไม่มีมาตรการรองรับ จนโครงสร้างการจัดการทรัพยากรโดยเฉพาะที่ดินเปลี่ยนแปลงไปจนเกิดปัญหาการสะสมที่ดินขึ้น โดยรัฐบาลและกระทรวงการคลังอาจร่วมกันปฏิรูปกฎหมายดังกล่าวให้ทันสมัยขึ้น โดยมีมาตรการจำกัดการถือครองเพิ่มขึ้นไม่เกิน 200 ไร่ ตามความจำเป็น เป็นต้น ซึ่งจะสนับสนุนนโยบายการเก็บภาษีที่ดินฯ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออาจจะปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ให้ครอบคลุมมาตรการดังกล่าว เพราะหากรัฐบาลไม่มีนโยบายเรื่องนี้ เกษตรและชาวนาไทยอาจจะกลายเป็นเพียงแรงงานในท้องไร่ที่เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ของนายทุนข้ามชาติในอนาคต ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว ยังเป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2552 มาตรา 85 ที่บัญญัติว่า รัฐมีหน้าที่กระจายการถือครองอย่างเป็นธรรม และดำเนินการให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างทั่วถึงโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่น

อย่างไรก็ดี ประเทศไทย ควรมีนโยบายการเก็บภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้า ทั้งจากสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์เหมือนภาษีทรัพย์สินในต่างประเทศ ไม่ใช่จากอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียวตามที่บัญญัติไว้ในร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจะเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมในระยะยาว รวมถึงการเก็บภาษีมรดกอัตราก้าวหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสังคม และเป็นหลักประกันด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ตามสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ เพื่อให้รัฐและท้องถิ่น นำมาใช้ในการพัฒนาสาธารณูปโภคและสวัสดิการทางสังคม เช่น การขนส่งมวลชนสาธารณะ การศึกษาและการสาธารณะสุข เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพปลอดพ้นจากความอดอยากแร้นแค้น โดยเฉพาะชนชั้นล่างทางสังคม ซึ่งหากภาษีที่รัฐเก็บมา ใช้จ่ายไปในกลุ่มที่เป็นกลุ่มรายได้ระดับล่างมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะทำให้เกิดการกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกันมากขึ้น ซึ่งจะสามารถลดช่องว่างของคนในสังคมได้มากยิ่งขึ้น

มันถึงเวลาแล้วที่คนรวยจะต้องไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันแต่อ้างอิงว่าตนเองและสังคมจะเสียประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้ การแข่งขันเสรีจะสะดุด หรือวิกฤติเศรษฐกิจจะตามมา นอกจากเป็นอวิชชาของพ่อค้าคนธรรพ์จอมปลอมแล้ว ทุกคำที่ท่านอาจคัดค้าน ก็ล้วนแต่ส่งสาส์นของความเห็นแก่ได้ไม่รู้จบ หากคนอ้วนไม่สนใจคนผอม ความขัดแย้งก็ไม่มีวันสิ้นสุดและสะดุดเสรีนิยมสุดขั้วลงทุกครั้งด้วยความรุนแรงทางสังคม ความมั่นคงของมนุษย์ไม่อาจละเลยลืมเลือนต่อส่วนรวม สังคมจะขับเคลื่อนกงล้อไปสู่อารยะธรรมใหม่ได้ ก็เมื่อเราสละไวน์รสดีขวดละแสน เป็นน้ำทิพย์ชุบชีวิตเพื่อนมนุษยน์ที่แร้นแค้นใกล้ตาย จากโครงสร้างที่เขาไม่สามารถเข้าถึงมาเป็นสังคมเศรษฐกิจที่เราร่วมกันออกแบบได้ เพื่อมาร่วมใช้ชีวิตร่วมกันและพัฒนาสังคมต่อไป

The World is our Country, the Humanity is our Homeland…
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท