Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ประเทศไทยมีระบบสวัสดิการพื้นฐานด้านสุขภาพสำหรับประชาชนทุกคนมาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว บัตรทอง รักษาโดยไม่ต้องจ่าย ณ จุดบริการ สามารถครอบคลุมคนกว่า 47 ล้านคน เมื่อนับรวมกับสวัสดิการข้าราชการ 6 ล้านคน ประกันสังคม 10 ล้านคน จนถึงวันนี้คนไทยเกือบทุกคนมีหลักประกันสุขภาพ อีกเพียงจำนวนหนึ่งซึ่งคือคนไทยที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ชนพื้นเมือง คนไทยพลัดถิ่นที่ยังอยู่ระหว่างการรับรองสถานะบุคคล รวมถึงคนที่มีปัญหาเรื่องการแจ้งเกิด คนไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คนเร่ร่อนที่ไม่มีใครรับรองสถานภาพได้ที่ยังไม่อาจขึ้นทะเบียนรับสิทธิบัตรทอง เป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่สามารถจัดการได้ ทั้งนี้ เนื่องจากอคติต่อคนเหล่านี้ การวิตกกังวลเกินกว่าเหตุว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย ที่รัฐไทยไม่ควรใส่ใจให้ความช่วยเหลือจัดสรรงบประมาณให้

ขณะที่ในทางปฏิบัติในโรงพยาบาลแนวตะเข็บชายแดน โรงพยาบาลที่ต้องดูแลคนเร่ร่อน คนไร้หลักแหล่ง ก็ต้องให้บริการรักษาคนเหล่านี้เมื่อเจ็บป่วยมารับการรักษา โดยต้องแบ่งปันงบประมาณมาจากค่าใช้จ่ายรายหัวในระบบหลักประกันสุขภาพที่มีจำกัดให้การช่วยเหลือดูแลกันไป แต่ผู้รับบริการเหล่านี้ก็ได้รับแรงกดดันอย่างมาก โดยโรงพยาบาลจะเรียกเก็บเงินก่อน หากไม่มีให้จริงๆ ก็ให้ทำสัญญาเป็นหนี้ หรือปฏิเสธการรักษาไว้ก่อน จนกว่าจะมีการเจรจาต่อรองจากคนไข้ หากคนไข้คนใดกลัว ไม่กล้าต่อรองก็จะเสี่ยงต่อการไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นหนี้การรักษาทั้งทางตรงกับโรงพยาบาล หรือการไปกู้ยืมมาจ่ายค่ารักษา นับว่าเป็นความไม่ก้าวหน้าของระบบหลักประกันสุขภาพในประเทศไทย ที่ยังจัดการดูแลคนเหล่านี้ไม่ได้

ส่วนความก้าวหน้าของระบบบัตรทองที่เกิดขึ้น คือการเพิ่มค่าใช้จ่ายรายหัวขึ้นในแต่ละปี โดยเฉพาะ 2 ปีล่าสุด ที่รัฐบาลอนุมัติเพิ่มขณะที่ลดงบประมาณหรือจำกัดในส่วนงานอื่นๆ มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์สำคัญคือ การรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง จากเดิมที่ไม่คุ้มครองต้องจ่ายเงินเอง โดยเริ่มเมื่อ 1 มกราคม 2551 ที่ผู้ป่วยไตวายทุกรายที่พร้อมจะรักษาด้วยการล้างไตด้วยตนเองทางช่องท้องทั้งผู้ป่วยเดิมและใหม่ จะได้รับการรักษาฟรีทุกราย ผู้ป่วยรายใหม่หากต้องการใช้เครื่องฟอกไตต้องจ่ายเงินเอง ยกเว้นคนที่แพทย์ระบุว่าล้างทางช่องท้องไม่ได้ ต้องใช้เครื่องจะได้รับการรักษาฟรีด้วย

ส่วนผู้ป่วยรายเดิมก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ที่ล้างไตด้วยเครื่องฟอกไตอยู่แล้ว และต้องใช้ระบบนี้ต่อไป หรือไม่ประสงค์มาใช้วิธีล้างทางช่องท้อง ระบบหลักประกันสุขภาพช่วยค่าใช้จ่ายในการฟอกครั้งละ 1,000 บาท (1 ใน 3) ส่วนผู้ป่วยจ่ายเอง 500 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ ทางระบบบัตรทอง พยายามเจรจาขอซื้อบริการจากโรงพยาบาลในราคาครั้งละ 1,500 บาท ซึ่งในช่วงแรกได้รับแรงต้านจากกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่ยอมเข้าร่วมให้บริการด้วยเหตุผลว่าทำให้เสียราคาที่เคยเก็บได้ถึง 2,000 บาทจากข้าราชการ และประกันสังคม อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านมา 6 เดือนเริ่มมีโรงพยาบาล คลีนิก เอกชนเข้ามาร่วมบริการมากขึ้น ในราคา 1,500 บาท แต่ก็ยังไม่มากพอ มีผู้ป่วยไตวายอีกจำนวนมากที่ต้องร่วมจ่ายมากกว่า 500 บาทต่อครั้ง เพราะทางโรงพยาบาลเรียกเก็บมากกว่า 1,500 บาท แต่ระบบหลักประกันสุขภาพจ่ายให้ได้ 1,000 บาท ส่วนเกินทั้งหมด ประชาชนผู้ป่วยไตต้องรับภาระเอง สถานการณ์นี้อยู่ในระหว่างสร้างแรงจูงใจและประสานให้โรงพยาบาล คลินิกต่างๆ ยอมให้บริการมากขึ้น เป็นความก้าวหน้าแบบจำกัด ต้องติดตามต่อไป

สิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่อาจไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง แต่เป็นส่วนสำคัญสำหรับคนที่ประสบปัญหา เช่น กรณีข่มขืน ผู้หญิงต้องได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (ในเวลา 72 ชั่วโมงหรือ 3 วัน) และยาต้านไวรัสเอชไอวีต่อเนื่อง 1 เดือนเพื่อป้องกันการรับเชื้อเอชไอวี ทันทีทุกราย มียาเหล่านี้อยู่ในโรงพยาบาล แต่ผู้ปฏิบัติมักไม่ใส่ใจและผลักภาระให้ผู้เสียหายดำเนินการซื้อหามาเอง เรื่องนี้ประชาชนต้องช่วยกันบอกต่อและขอใช้สิทธินี้ทันที เพราะเรื่องเหล่านี้ช้าไม่ได้ ผู้ถูกข่มขืนทั้งเพศหญิงและเพศอื่นๆ ต้องได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวี ทันทีเหมือนกัน

ในส่วนการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้พยายามสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วยการร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพในพื้นที่ โดยเป็นการร่วมจ่ายเงินเข้ากองทุนระหว่าง กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และงบประมาณจากท้องถิ่นตามจำนวนรายหัวประชากรในพื้นที่นั้นๆ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หนึ่งมีประชากร 15,000 คน เป็น อบต.ขนาดกลาง กองทุนหลักประกันสุขภาพจ่ายเข้ากองทุนหลักประกันสุขภาพ อบต.จำนวน 37.50 บาทต่อหัว รวมเป็น 562,000 บาท ทาง อบต.สมทบ ร้อยละ 20 ของงบจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เท่ากับ 112,500 บาท จะทำให้ในปีนั้น กองทุนหลักประกันสุขภาพตำบลนี้มีจำนวนรวม 675,000 บาท สำหรับใช้ในการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกัน ส่งเสริม สนับสนุนดูแลสุขภาพของตนในระดับชุมชน

การดำเนินงานเริ่มมาได้ 3 ปีแล้ว มีทั้งกองทุนที่ดำเนินกิจกรรมหลากหลาย กองทุนที่ยังไม่ได้ทำอะไรเท่าไร อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขาดไปคือการรับรู้ของประชาชน ชาวบ้านในตำบล และการเข้ามีส่วนร่วมกำหนดทิศทางการส่งเสริมป้องกันโรคที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของชุมชนยังไม่เป็นจริง เรื่องเหล่านี้ยังขาดการสร้างการรับรู้ให้ประชาชน และยังขัดแย้งกันระหว่างงานนี้ควรเป็นงานของใครระหว่างหน่วยงานสาธารณสุข หรือให้ประชาชนทำกันเอง นับเป็นความท้าทายของระบบหลักประกันสุขภาพ ที่มีวิสัยทัศน์ว่า ประชาชนเป็นเจ้าของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตาม พรบ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในระบบบัตรทองยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพมาตรฐานบริการ เนื่องจากหลายสาเหตุ อาทิ บุคลากรผู้ให้บริการยังแยกผู้รับบริการตามแหล่งทุนที่เป็นผู้จ่ายเงิน คือ ข้าราชการ ประกันสังคม จ่ายเอง และบัตรทอง ทั้งที่หน้าที่ของบุคลากรคือการดูแลรักษา ไม่ต้องสนใจว่าใครคือเจ้าภาพจ่ายเงิน และควรให้บริการในมาตรฐานเดียวกัน ไม่ควรเรียกร้องให้คนไข้ใช้ยานอกบัญชียาหลักอย่างที่มักจะใช้กับข้าราชการ เพราะบัญชียาหลักแห่งชาติเป็นบัญชียาที่ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาได้จัดทำอย่างมีหลักวิชาการและมีการแก้ไขปรับปรุงอยู่เสมอ ทั้งนี้ เพื่อควบคุมงบประมาณราคายาให้เหมาะสม แต่การมีระบบหลักประกันสุขภาพก็ทำให้คนเข้าถึงบริการมากขึ้นและทำให้บุคลากรต้องทำงานมากขึ้น บางสถานบริการบุคลากรไม่เพียงพอ ยังไม่มีการกระจายบุคลากรให้สอดคล้องกับปริมาณคนรับบริการ ซึ่งถือว่ายังเป็นปัญหาใหญ่ของระบบหลักประกันสุขภาพ

ประเทศไทยอยู่ในระหว่างสร้างหลักประกันให้กับประชาชนด้วยระบบรัฐสวัสดิการ ทั้งสวัสดิการรักษาพยาบาล สวัสดิการชราภาพ และสวัสดิการเรียนฟรี ซึ่งยังต้องพิสูจน์ความสามารถในการจัดระบบการเงินการคลังที่ยุติธรรม รวมถึงการจัดการบริหารอย่างโปร่งใส ที่ชุมชนประชาชนต้องตรวจสอบสิทธิของตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะได้รัฐบาลไหนมาบริหารประเทศ นี่คือสวัสดิภาพระยะยาวที่สมควรทำอย่างยิ่ง
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net