Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

การเมืองใหม่ตามแนวคิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดูเหมือนจะมีจุดยืนที่ประกาศออกมาชัดเจนอยู่ 3 เรื่องหลักๆ คือ

 

1. เป็นการเมืองที่มุ่งปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้ดำรงอยู่คู่สังคมไทย หรือยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ว่า สังคมไทยควรปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพระมหากษัตริย์ทรงดำรงสถานะเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทย

 

2. เป็นการเมืองที่มุ่งขจัดการทุจริตคอรัปชัน หรือเป็นการเมืองที่โปร่งใสตรวจสอบได้ เพิ่มอำนาจการตรวจสอบของภาคประชาชน เป็นการเมืองที่ได้นักการเมืองที่เป็นคนดีมีคุณธรรมจริยธรรมมาปกครองบ้าน เมือง

 

3. เป็นการเมืองที่มีกระบวนการให้ได้มาซึ่ง ผู้แทนปวงชน ที่มีคุณสมบัติเป็นผู้แทนของปวงชนจริงๆ เช่น ผู้แทนที่เป็นตัวแทนของคนในสาขาอาชีพหรือภาคส่วนต่างๆของสังคม

 

แนวทางผลักดันให้เกิดการเมืองใหม่ดังกล่าวของพันธมิตรฯ เท่าที่เปิดเผยต่อสาธารณะ คือ

 

1) ตั้งพรรคการเมืองเพื่อสร้างมิติใหม่ทางการเมืองในระบบรัฐสภา นั่นคือเป็นการเมืองที่นักการเมืองเป็นคนดีมีคุณธรรมจริยธรรม ปลอดจากการทุจริตคอรัปชัน หรือการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง อย่างที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า พรรคการเมืองของพันธมิตรจะเป็นเสมือนหมู่บ้านศีล 5 ในดงโจร

 

2) รักษามวลชนและผนึกแนวร่วมของการเมืองภาคประชาชนเพื่อเสริมพลังตรวจสอบให้เข้มแข็ง

 

หากการดำเนินตามแนวทางทั้งสองบรรลุผลภาพอนาคตสังคมไทยที่มีการเมืองใหม่ในสายตาของพันธมิตรฯ (ประมาณว่า) คือ สังคม ที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีนักการเมืองที่มีคุณธรรมจริยธรรม ปลอดการทุจริตคอรัปชัน การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งควบคู่กับความเข้มแข็งของการเมืองภาคนักการเมือง ที่มีผู้แทนปวงชนมาจากประชาชนทุกภาคส่วนจริงๆ

 

ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสังคมไทย ผู้เขียนขอแลกเปลี่ยนกับฝ่ายเรียกร้องการเมืองใหม่ ดังนี้

 

ประเด็นแรก ดูจากการกระทำของพันธมิตรฯในเรื่องการชูวาทกรรม ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อปลุกกระแสมวลชนเท่าที่ผ่านมาไม่ได้สะท้อนความเป็นการเมืองใหม่แต่อย่าง ใด แต่เป็นการเมืองอนุรักษ์นิยมสุดขั้วที่นำสถาบันกษัตริย์มาแบ่งแยกผู้คนในปะ เทศเป็นฝักฝ่ายอย่างไร้ความรับผิดชอบ (เช่น เพียงแค่คนที่ซื้อหนังสือพิมพ์บางฉบับที่พันธมิตรไม่เอาด้วยก็ถือว่าพวกเขา ไม่เอาสถาบันกษัตริย์แล้ว เป็นต้น)

 

นอกจากนี้การสร้างวาทกรรม ทหารของพระราชา ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้อเรียกร้องให้เพิ่ม พระราชอำนาจ (เช่น การแต่งตั้ง ผบ.เหล่าทัพควรเป็นพระราชอำนาจเท่านั้น) ทำให้น่าสงสัยว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะอยู่เหนือระบอบประชาธิปไตยหรือ อย่างไร หรือประเทศนี้จะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์

 

ในระบอบประชาธิปไตยเราไม่อาจจินตนาการถึง พระราชอำนาจ ที่อยู่เหนือ ฉันทานุมัติ หรือ อำนาจของประชาชน ไม่อาจจินตนาการถึงกองทัพหรือข้าราชการซึ่งกินภาษีของประชาชนแต่ไม่ใช่ ผู้รับใช้ประชาชน หรือไม่ใช่ผู้พิทักษ์ป้องหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค

 

ที่ สำคัญการที่พันธมิตรฯ ประณามนักวิชาการหรือประชาชนฝ่ายที่เรียกร้องให้ปรับปรุงกฎหมายหมิ่นพระบรม ราชานุภาพซึ่งยืนยันหลักการความเสมอภาคและความโปร่งใสที่ว่า ในสังคมประชาธิปไตยทุกสถาบันต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าการเมืองใหม่ของพันธมิตรไม่ใหม่จริง (เพราะเป็นการเมืองที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความมีเสรีภาพและความเสมอ ภาคมากขึ้น)

 

ประเด็นที่สอง การชูการเมืองที่ความโปร่งใสตรวจสอบได้ ถ้าหมายถึงการสร้างระบบการเมืองที่โปร่งใสตรวจสอบได้ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้า (เน้น ถ้า) เป็นการชูคนดีมีคุณธรรมจริยธรรม หรือชู คนดี ให้เหนือ ระบบที่ดี อาจมีเป็นปัญหาตามมา

 

เวลาที่เราพูดถึง คนดีในทางการเมือง เราอาจต้องนิยามให้ชัดเจนว่าหมายถึง คนที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง และกระทำการต่างๆตามหรือพิทักษ์ปกป้องหลักการ กติกา อุดมการณ์แห่งระบอบการเมืองการปกครองนั้นๆ (ซึ่งคนดีเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับว่าจะกินอาหารมื้อเดียว มังสวิรัติ หรืออาบน้ำวันละ 5 ขัน หรือไม่) ดังนั้น ระบบการเมืองจึงเป็นตัวกำหนดคนดีในทางการเมือง

 

การ เรียกร้องคนดีในทางการเมืองจึงไม่ใช่การเรียกร้องหาคนดีที่สิ้นกิเลส หรือคนที่อ้างศาสนาอ้างศีลธรรมเพื่อสร้างเครดิตให้กับตนเอง (การอ้างศาสนาในทางการเมืองควรอ้างหลักการของบางคำสอนในทางศาสนาว่าสนับสนุน หลักการทางการเมืองอย่างไร เช่น หลักธรรมาธิปไตยสนับสนุนหลักประชาธิปไตยอย่างไร เป็นต้น ไม่ควรอ้างศาสนาเพื่อแบ่งแยกว่าคนนั้นคนนี้หรือฝ่ายนั้นฝ่ายนี้เป็นคนดีหรือ ไม่ดี)

 

ถ้า เรายึดระบบที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการอยู่ร่วมกัน ผลที่ตามมาก็คือ ไม่ว่าคนที่มีภาพเป็นคนดีหรือมีภาพเป็นคนไม่ดี ถ้าทำผิดกติกาเดียวกันเขาย่อมถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน แต่ถ้าเรายึดคนดีเหนือระบบที่ดีผลที่ตามมาคือคนที่มีภาพเป็นคนดีหรือมีภาพ เป็นคนไม่ดีถ้าทำผิดกติกาเดียวกันจะได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกัน

 

และ อาจเลยเถิดไปถึงว่าคนที่เรายกย่องกันว่าเป็นคนดีนั้นอาจอยู่เหนือการตรวจสอบ เพราะความเชื่อที่ว่าเขาเป็นคนดีเขาย่อมไม่ทำผิด (หรือแม้แต่เขาทำผิดเราก็อาจมองข้ามไปเฉยๆ) หรือาจเลยเถิดไปจนกระทั่งว่า ฝ่ายที่ถือว่าพวกตนเป็นคนดีมีคุณธรรมจริยธรรมอาจทำตัวเป็น อภิสิทธิชนทางศีลธรรม เที่ยวตัดสินถูก-ผิดแทนสังคม และวางเงื่อนไขต่างๆกดดันให้สังคม เลือกข้าง อย่างไม่เคารพเสรีภาพทางความคิด เป็นต้น

 

ประเด็นสุดท้าย การเมือง ที่ได้ผู้แทนปวงชนที่เป็นผู้แทนของปวงชนจริงๆเป็นอุดมคติของระบอบ ประชาธิปไตย แต่จะใช้วิธีการอย่างไรจึงจะทำให้อุดมคตินั้นเป็นจริงย่อมเป็นเรื่องที่ถก เถียงกันได้ (ด้วยเหตุผล)

 

ระบบ การเลือกตั้งแบบ 1 คน 1 เสียง โดยพิจารณาความเป็นผู้แทนของปวงชนจากนโยบายของพรรคการเมืองหรือนักการเมือง เป็นวิธีตรงไปตรงมาและง่ายในทางปฏิบัติ เพียงแต่จะทำอย่างไรให้การทุจริตเลือกตั้งลดลงได้เป็นประเด็นที่สังคมต้อง ตระหนักร่วมกัน และเป็นเรื่องที่เราต้องเคารพต่อการใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจของประชาชน

 

หมายเหตุสำคัญ คือ ประเด็นหลักของการวิเคราะห์เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ ที่ว่า นักการเมืองในการเมืองเก่าเลว การเมืองใหม่ต้องการนักการเมืองที่เป็นคนดี เป็นประเด็นเก่าแก่และแคบ ปัญหาที่ควรเป็นประเด็นหลัก เช่น ความเป็นธรรมทางสังคม มีการพูดถึงน้อยมาก และแนวทางขับเคลื่อนการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ ที่ดำเนินมาบนหลักการที่ว่า เป้าหมายหรือผลสัมฤทธิ์สำคัญเหนือวิธีการ ก็เป็นแนวทางแบบเดียวกับแนวทางของการเมืองเก่าที่พันธมิตรฯ ประณาม

 

ผู้เขียนจึงจินตนาการไม่ออกว่า การเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ จะเปลี่ยนสังคมไทยไปสู่อนาคตที่ดีกว่าได้อย่างไร โดยเฉพาะจะสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรมมากขึ้นได้อย่างไร!

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net