Skip to main content
sharethis

"สนธิ ลิ้มทองกุล" ปฏิเสธบทความคมชัดลึกเรื่องจองหัวหน้าพรรค-แกนนำจอง ครม. ย้ำพรรคจะตั้งหรือไม่ขอให้ประชาชนตัดสินใจ ได้ 10 เสียงก็ดีใจแล้ว หวังเป็นหมู่บ้านถือศีล 5 กลางหมู่โจร ชม "มาร์ค" ดีคนเดียว ก่อนอัดประชาธิปัตย์ร่วมเนวินตั้งรัฐบาล คือทิ้งอุดมการณ์ไปแสวงหาอำนาจ ไม่ยืนข้างสหายร่วมรบ แถมด่าลับหลัง เปรียบพันธมิตรฯ เหมือนคนใช้ถูกถีบหัวส่ง

บทความคมชัดลึกอ้างวางตัว “สนธิ” นั่งหัวหน้าพรรคพันธมิตรฯ แกนนำจองรัฐมนตรี

ตามที่ยศวดี หงษ์ทอง เขียนบทความในคอลัมน์ขยายปมร้อน ตอน เม้าท์ “การเมืองใหม่” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึกเมื่อ 20 พ.ค. อ้างว่า พรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้วางตัวบุคคลที่จะนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ทั้งหมดแล้ว หลังประเมินว่า การตั้งพรรคการเมืองพันธมิตรฯ จะได้เสียง ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 100 เสียง จะทำให้พรรคการเมืองอื่นทั้งภูมิใจไทย รวมใจไทยชาติพัฒนา ชาติไทยพัฒนา ประชาธิปัตย์ เข้ามาร่วมตั้งรัฐบาล และพรรคจะใช้คำขวัญว่า “ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ”
 
บทความ ยังอ้างว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะเป็นหัวหน้าพรรค ถูกวางให้เป็นนายกรัฐมนตรี ประพันธ์ คูณมี เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ และมีนายสำราญ รอดเพชร ก็เป็นรองนายกรัฐมนตรี ส่วนนายสุริยะใส กตะศิลา จะเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเข้ามาดูแลสื่อ นอกจากนี้ยังปรากฏรายชื่อบรรดาแกนนำเป็นรัฐมนตรีด้วย ทั้งนายเทิดภูมิ ใจดี นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย นายสุรพงษ์ ชัยนาม นายคำนูณ สิทธิสมาน นายสุวัตร อภัยศักดิ์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ และแม้แต่นายศรัณยู วงษ์กระจ่าง (อ่านบทความที่นี่)
 
 
สนธิชี้คมชัดลึกถ้าไม่ถูกหลอกก็เจอวางยา
ทำให้ในวันเดียวกัน นายสนธิให้สัมภาษณ์ทาง ASTV เมื่อ 20 พ.ค. โดยปฏิเสธข่าวที่ปรากฏในบทความดังกล่าว โดยนายสนธิกล่าวว่า ถ้าเป็นคนของคมชัดลึกก็แสดงว่าถูกเขาหลอกแล้ว ถ้าเป็นคนข้างนอกก็แสดงว่าเป็นบทความที่ถูกวางยาเอาไว้ ที่ผมประหลาดใจคือ คุณสุดเขตน่าจะดูบทความนี้สักนิดหนึ่ง ไม่ควรให้ออกมาเลยเพราะว่ามันเว่อร์มาก
 
นาย สนธิกล่าวต่อว่า จริงๆ แล้วพูดตรงๆ ว่า เรายังไม่ได้คุยกันเลย ยังไม่ได้สนทนาธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่ว่าเราตั้งปุจฉา วิสัชนาว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราขอประชาชน แค่นี้
 
 
ยันยังไม่คิดเรื่องพรรค เพราะถ้าทำชีวิตเปลี่ยน เพราะเป็นคนทุ่มสุดตัว
ผู้ สื่อข่าวถามต่อว่า ถ้ามีพรรคพันธมิตรคุณสนธิจะมีบทบาทอย่างไร แกนนำพันธมิตรผู้นี้กล่าวว่า ผมก็ยังไม่มีท่าทีตรงนี้ ให้เวลาผมสักนิดหนึ่ง ผมยังคิดอะไรไม่ตก เพราะว่าถ้าการที่จะทำพรรคนี้คือการลงทุนระยะยาว งานหนัก ชีวิตผมเปลี่ยนไปหมด และผมถอยไม่ได้ คุณก็รู้ว่าเวลาทำอะไรแล้ว ผมทุ่มสุดตัว เพราะฉะนั้นชีวิตของผม ถ้าเกิดมีพรรคขึ้นมาแล้ว สมมติว่าผมต้องไปทำทางด้านนั้น ผมก็ต้องสร้างพรรคเพื่อให้มันดีเป็นตัวอย่าง เป็นการเมืองใหม่จริงๆ และก็ต้องทุ่มเท ยึดถือในอุดมการณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
 
เพราะ ฉะนั้นแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของผมมาก จริงๆ แล้วผมยังไม่ได้คิดอะไรเลย หลายคนถามผม หลายคนพูดตลอดเวลา พูดถึงผม โดยที่ไม่มีใครมาถามผมสักคำ วันนี้คุณมาถามผม ผมก็ตอบได้ว่า ผมยังไม่มีท่าทีอะไรทั้งสิ้น ผมปล่อยใจให้กลางๆ เพราะว่าการที่จะไม่รับก็ได้ ผมก็มีบทบาทที่ผมต้องทำอยู่แล้ว แต่การที่จะรับมันก็หมายความว่าเป็นภารกิจใหม่ที่มันไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่เรื่องที่จะทำทำกันเล่นๆ แค่ปีสองปี เพราะว่าถ้าพรรคนี้จะเกิดขึ้นไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะคนเพียงสองคน หรือนายทุนสามสี่คนเอาเงินมากองกัน แล้วซื้อตัว ส.ส. มา ไม่ใช่
 
ที่ มันจะเกิดขึ้นได้ ก็เกิดขึ้นได้เพราะในกรณีเดียวเท่านั้นเองก็คือว่าประชาชนซึ่งเป็นพันธมิตร ส่วนใหญ่เขาต้องการ เมื่อเขาต้องการแล้ว เราพูดตลอดเวลาว่า แกนนำพันธมิตรจะฟังพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเอาอย่างไรก็ เอากัน นายสนธิกล่าว
 
 
ย้ำชัดบทความจงใจทำลายพันธมิตรฯ ยันไม่เกี่ยวข้องเรื่องตั้งพรรคเพราะเพิ่งพักฟื้น
วันเดียวกัน สนธิ ยังให้สัมภาษณ์ขนาดยาว กับผู้สื่อข่าว ASTV อีก ว่า ข่าวเชิงวิเคราะห์ของคมชัดลึกที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาว่าพันธมิตร ตั้งพรรคแล้ว ผมจะเป็นนายกฯ ตั้งคนโน้นคนนี้ ผมได้รับทราบจากพรรคพวกกัน คุณปานเทพ (ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์) เอย ก็เล่าให้ฟัง ความเห็นของผม ผมไม่อยากพูดอะไรแรง ผมสงสารคนเขียนข่าว ผมคิดว่าโดยเจตนาแล้วเขาคงอยากจะแสดงออกว่าเขาได้ข่าวพิเศษออกมา แต่ดูประเภทเนื้อข่าวแล้ว หนึ่งเขาถูกหลอก สองคนที่หลอกนั้น จงใจหลอกเขาเพื่อที่จะทำลายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
 
ตั้งแต่ผมโดนยิงวันที่ 17 เมษายน จนกระทั่งวันนี้ ผมไม่ได้ออกไปทำอะไรทั้งสิ้นเลย ผมได้แต่พักผ่อน เพราะยังอยู่ในช่วงพักฟื้นอยู่ ร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่อย่างมากๆ การที่จะมาตั้งพรรคอะไรนั้น ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวในขณะนี้
 
 
พรรคจะตั้งหรือไม่ ประชาชนตัดสินใจ ยันไม่เหมือนพรรคใดในไทย
สิ่ง ที่พันธมิตรและแกนนำทำก็คือ เราพูดตลอดเวลาว่า การจะตั้งพรรคหรือไม่ตั้งพรรคนั้น ไม่ใช่อำนาจสิทธิขาดอยู่ที่เรา เป็นเรื่องของประชาชนจะต้องตัดสินใจ ว่าเขาอยากได้พรรคการเมืองหรือเปล่า เราพูดตลอดเวลาว่า ถ้าเขาไม่อยากได้ก็ไม่ตั้ง ถ้าเขาอยากได้ก็ค่อยตั้งกัน ส่วนจะตั้งนั้น ตั้งกันอย่างไร ผมไม่รู้ เพราะผมไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง รอวันที่ 24-25
 
ข่าว คราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือให้สัมภาษณ์ หรือว่าเนชั่นสุดสัปดาห์ มาบอกว่าผมจะเป็นหัวหน้าพรรค พี่น้องเอ๊ย ผมยังไม่มีท่าทีตรงนี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าการที่จะเดินเข้าไปสู่วงการการเมืองนั้น มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ เพราะว่าถ้าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะตั้งพรรคนั้น มันต่างกับพรรคการเมืองทุกๆ พรรคในประเทศไทย แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เหมือน เพราะทุกพรรคเกิดขึ้นเพราะคนเพียงไม่กี่คน
 
 
อัดประชาธิปัตย์เกิดเพราะอำมาตย์ปกป้องตัวเองจากเหตุ 2475 พรรคอื่นตั้งเพราะนายทุน
พรรค ประชาธิปัตย์ในอดีตเกิดขึ้นเพราะว่ากลุ่มอำมาตยาธิปไตย รวมตัวกันตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเพื่อปกป้องสถานภาพของตัวเอง จากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ส่วนพรรคอื่นๆ ตั้งขึ้นมานั้นตั้งเพราะนายทุน คนอยากแสวงหาอำนาจนั่งคุยกัน 4-5 คน คนนั้นลงคนละ 100 ล้าน แล้วก็มีไปไถเงินนายทุนมา แล้วก็เอาเงินนั้นไปซื้อ ส.ส.มา
 
ส่วน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ถ้าจะเกิดขึ้นเพราะประชาชนเรียกร้องให้เกิดขึ้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นของภาคประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เป็นของแกนนำ 4-5 คน ด้วยเหตุนี้ผมคิดว่าประเด็นเพียงแค่นี้คนเขียนข่าวเชิงวิเคราะห์ยังไม่ เข้าใจ ก็แสดงว่ารับงานเขามาเต็มๆ
 
 
ได้ 10 เสียงก็ดีใจแล้ว ถือเป็นหมู่บ้านถือศีล 5 กลางหมู่บ้านโจร
ผม คิดว่าสิ่งซึ่งเขาเลยเถิดไปถึง อ้างว่าผมจะเป็นนายกฯ หรือว่าคนโน้นจะเป็นรัฐมนตรี ไม่รู้เขาเอาข่าวมาจากไหน ก็แค่พรรคเรายังไม่รู้ว่าจะตั้งไม่ตั้ง และจะมาคุยได้อย่างไรว่าคนโน้นจะเป็นนายกฯ และผมก็ไม่คิดว่าการตั้งพรรคอันนี้ สมมติว่าตั้งจริง ตั้งเสร็จแล้ว เลือกตั้งเสร็จจะเป็นแกนนำรัฐบาล ผมไม่คิด ผมคิดว่าถ้าเขาตั้งพรรคกันจริง ได้ 10 เสียงก็ดีใจแล้ว
 
ถ้าถามต่อว่าได้ 10 เสียงแล้วตั้งทำไม มันก็คือการแสดงออกถึงจริยธรรมทางการเมือง หรือว่าเป็นหมู่บ้านศีล 5 ในท่ามกลางหมู่บ้านที่มีโจรทั้งนั้น ผมคิดว่าประเด็นตรงนี้ต่างหากที่เราต้องการแสดงออกว่า การเมืองใหม่สามารถจะเริ่มได้
 
 
อัดประชาธิปัตย์ร่วมเนวินตั้งรัฐบาลคือทิ้งอุดมการณ์ไปแสวงหาอำนาจ ชมมาร์คดีคนเดียว
ทีนี้ ผมมีความคิดของผมเช่นนี้ ถ้าผมเดาไม่ผิด คนที่ให้ข่าว ก็คือคนของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปไตยในขณะนี้เป็นพรรคที่ผมเริ่มคิดว่าใช้ไม่ได้จริงๆ ทุกอย่างโยนนายกฯ อภิสิทธิ์ ซึ่งมีคุณงามความดีแบกเอาไว้อยู่คนเดียว แต่ตัวเองนั้นยังคงดำรงการลักษณะจิตใจคับแคบอยู่เหมือนเดิม ไม่เคยเห็นหัวคนอื่น ไม่เคยทำงานมวลชนจริงๆ พรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธตลอดเวลา แล้วก็หลีกเลี่ยงการแสดงออกว่าเป็นพวกเดียวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย
 
จน วันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมจะต้องหลีกเลี่ยง ทำไมถึงไม่กล้า เดี๋ยวอ้างว่า คนโน้นก็จะมาโจมตี คนนี้ก็จะมาโจมตีว่าไม่เป็นกลาง คำว่าเป็นกลางในทางการเมืองไม่มี มันมีแต่ ถูก กับ ผิด นะครับ ถ้าประชาธิปัตย์ต้องการยืนอยู่บนความถูกต้องการไปร่วมสังฆกรรมกับพรรคอย่าง คุณเนวิน พึ่งพาการเมืองน้ำเน่า พรรคร่วมรัฐบาลเพื่อมาจัดตั้งรัฐบาล ก็เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ทิ้งอุดมการณ์ตัวเองไปนานแล้ว เพียงเพื่อแสวงหาอำนาจเท่านั้นเอง
 
 
เปรียบเป็นการพายเรือให้โจรนั่ง สมรู้ร่วมคิดการโกงชาติบ้านเมือง
แล้วการตัดสินใจ การที่จะไปกู้เงินมาเป็น 8 แสนล้าน 9 แสน ล้าน ทีแท้ก็คือการกู้เงินมาเพื่อใช้ในโครงการของการโกงกินของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ได้เป็นการทำอะไรเพื่อที่จะให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นการจ้างงานอะไรบ้าบอคอแตกเลย ก็คือว่า ต่อเนื่องโครงการถนนไร้ฝุ่นของพรรคภูมิใจไทย หรือว่าเอาไปใช้จ่ายในเรื่องของรถเมล์ 4,000 คันก็ยังดีหน่อยที่รถเมล์ 4,000 คันก็ต้องส่งกลับไปให้พิจารณาใหม่ แต่คุณก็พนันกับผมได้สิ เมื่อเขาส่งมาอีก 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาในอนาคตข้างหน้า เขาก็ต้องผ่านให้
 
เพราะ ว่าในการตั้งบอร์ดการบินไทย บอร์ดบริหารนั้น ขนาดคุณกรณ์ จาติกวณิช ดิ้นรนที่จะเอาตัวของตัวเอง เอาคนที่มีคุณภาพเข้าไปแก้ปัญหาการบินไทย ยังโดนกลุ่มพรรคคุณเนวิน ทุบโต๊ะบอกว่าต้องเอาอย่างนี้ คุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) ก็วิ่งตีนขวิดเลย มาขอร้องบอกว่าเพื่อเห็นแก่พรรคร่วมรัฐบาล เพราะฉะนั้นแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะแก้ตัวตรงนี้กับประชาชนอย่างไร นี่มันยิ่งกว่าพายเรือให้โจรนั่ง โจรนั่งแล้วโจรร่วมปล้น แล้วคนพายเรือก็เอาหน้าไปไว้อีกทาง สมรู้ร่วมคิดในการโกงชาติ โกงบ้าน โกงเมือง
 
วัน นี้พรรคประชาธิปัตย์วางแผนว่าตัวเองจะอยู่ และหวังว่า จะสามารถควบคุมเนวินได้ หรือว่าหวังว่าเมื่อเลือกตั้งใหม่แล้ว ตัวเองก็สามารถที่จะมีเสียงมากขึ้น
 
 
ไม่กล้ายืนข้างสหายร่วมรบที่บาดเจ็บล้มตายให้ ปชป. เป็นรัฐบาล แถมลับหลังด่าพันธมิตรฯ
แต่ ทางการเมืองเขาก็ไปจับมือกันกับ เนวิน ชิดชอบ ว่าให้เนวินบุกอีสานนะ เขาบุกใต้ เพราะฉะนั้นการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถ้าประชาชนเขาจะตั้งพรรค คนที่เดือดร้อนที่สุด คือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ชอบอ้างอยู่ตลอดเวลาว่าเสียงของมวลชนนั้นทับซ้อน กัน ก็คือว่า มีคน 100 คนของพรรคที่สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เขาก็อ้างว่ามีอยู่ 50-60 คน ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ ถ้า 50-60 คน เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ต้องกลัวสิ ถ้าพรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกิดขึ้น 100 คน ก็แบ่งไปสิ 60 คน ของเราได้ 40 คน เราก็พอใจแล้ว แต่นี่ผมเพียงแต่ยกตัวอย่างให้ฟังนะฮะ
 
ไม่ ยอมที่จะยืนอยู่บนข้างความถูกต้อง ไม่กล้าพอที่จะยืนอยู่ข้างมิตรข้างสหายที่รบมาให้ บาดเจ็บล้มตายกัน เพียงเพื่อให้พวกคุณเป็นรัฐบาล ลับหลังก็เที่ยวด่าพันธมิตรฯ ตลอดเวลา คนในพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็น ส.ส.ที่เนรคุณบางส่วน ไม่เข้าใจการเมือง
 
 
พึ่งประชาธิปัตย์ไม่ได้ ‘สุเทพ’ ไม่ยอมให้เปลี่ยนผู้สอบสวนคดี น้อยใจไม่มอบกระเช้า
ผม จะเรียนให้ทราบว่าการที่พันธมิตรฯ เขามีความรู้สึกว่าเขาต้องมีพรรคก็เพราะว่าประชาธิปัตย์ทำตัวเช่นนี้ ถ้าประชาธิปัตย์ยืนอยู่บนความถูกต้อง ยืนอยู่ข้างเรา เข้าใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้อง ผมไม่เชื่อว่าพันธมิตรฯ อยากจะตั้งพรรค พันธมิตรฯ นอกจากจะไม่ตั้งพรรคแล้ว ยังต้องระดมพลพรรคให้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เลยแม้แต่นิด เดียว
 
แม้ กระทั่ง ในตอนแรกสุด ที่ขอเปลี่ยนตัวผู้สอบสวน กรณีที่บุกสนามบิน หรือกรณีบุกทำเนียบ โดยที่บอกว่าคนที่มาสอบสวนเรานั้นเป็นปฏิปักษ์กับเรา คุณสุเทพยังไม่ยอม ยังไม่ยอม ผมนี้โดนยิงเจียนตาย คุณสุเทพก็ใจดำไม่เคยเลยแม้กระทั่งส่งกระเช้าหนึ่งกระเช้ามาเยี่ยม
 
 
เปรียบพันธมิตรฯ เหมือนคนใช้ที่ถูกถีบหัวส่ง จึงไปสร้างบ้านใหม่อยู่
เพราะ ฉะนั้นแล้ว ผมมองเห็นได้ชัดเลยว่า ด้วยเหตุอันนี้ พอพันธมิตรฯ เขามีความรู้สึกว่า เขาเหมือนคนใช้ในบ้าน เวลาจะให้เขาทำงานบ้าน ล้างบ้านเพื่อให้ได้อยู่บ้านที่ดีๆ มีศักดิ์มีศรี พอได้อยู่บ้านที่ดีๆ ก็ถีบหัวส่งเขา ถ้าอย่างนั้นแล้วคนใช้ก็ไม่อยู่บ้านหลังนี้แล้ว เขาก็ไปสร้างบ้านหลังใหม่อยู่ พอไปสร้างบ้านหลังใหม่อยู่ก็กลัว ใช่ไหมฮะ
 
ผม คิดว่าปัญหาในขณะนี้ คือปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์ พยายามที่จะปล่อยข่าวทำลายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังไม่มีการประชุมเลยว่าเราจะเอาพรรคหรือไม่เอาพรรค เราจะรอให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ยังไม่มีการพูด ผมเองก็พักฟื้นอยู่ตลอดเวลา จู่ๆ โผล่มา รู้ว่าผมจะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นแล้วเกมอันนี้มันตื้นเกินไป มันตื้นเกินไป
 
 
ให้พันธมิตรฯ จับตาคมชัดลึก ถ้าซ้ำรอยไทยรัฐ-มติชน ก็อย่าสนับสนุน
ที่ ผมเสียใจคือ ผมเคยคิดว่าคมชัดลึก เป็นหนังสือพิมพ์ที่ใช้ได้ แต่ปรากฏว่าเขียนข่าวเชิงวิเคราะห์ออกมาแบบนี้ ผมเริ่มจะต้องทบทวนว่าบทบาทของคมชัดลึกแล้ว แท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร ผมอยากให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจับตาดูหนังสือพิมพ์คมชัดลึกให้ ดีๆ ว่าจะไปซ้ำรอยกับไทยรัฐ หรือมติชนหรือเปล่า ถ้าซ้ำรอยกับไทยรัฐ หรือมติชน เครือเนชั่นทั้งหลายเราก็อย่าไปสนับสนุนเขา เพราะขนาดผมนี้ไม่รู้เรื่องอะไร พำนักพักรักษาตัวอยู่ดีๆ ก็กล่าวหาว่าผมจะไปเป็นนายกฯ สุริยะใสจะเป็นรัฐมนตรีบ้าง คุณเทิดภูมิ คนโน้นคนนี้บ้าง
 
ผมไม่อยากจะพูดว่ามันบ้าไปแล้ว แต่จริงๆ มันบ้าไปจริงๆ นะ
 
เพราะ ฉะนั้นแล้วก็เลยอยากจะฝากเรียนพ่อแม่พี่น้องให้ทราบว่า ข่าวที่ออกไปจากคมชัดลึกนั้นเป็นข่าววาง รับงานมา แล้วคนที่มอบงานมาก็หนีไม่พ้นพลพรรค พรรคประชาธิปัตย์นั่นเองละครับ
 
 
เคยให้สัมภาษณ์แนวคิดตั้งพรรคต้องทำการเมืองใหม่ระยะยาว ไม่หวังร่วมรัฐบาล
ก่อนหน้านี้ เมื่อ 14 พ.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โทรศัพท์มาแสดงเห็นผ่านรายการ “คนในข่าว” ดำเนินรายการโดยนายเติมศักดิ์ จารุปราณ ทาง ASTV คืนวันที่ 14 พ.ค. ถึงแนวคิดในการจัดตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า
 
ผม อยากฝากข้อคิดนิดหนึ่ง ผมจะไม่อ้างตรรกะว่าควรจะมีพรรคหรือไม่ควรมีพรรค แต่ผมจะให้ท่านผู้ชมที่กำลังฟังรายการอยู่ได้คิดนิดหนึ่ง จริงๆ แล้วถ้าจะเกิดพรรคการเมืองขึ้นมา มันเป็นการลงทุนในเรื่องปัญญา และลงแรงในเรื่องของการที่จะนำไปสู่เป้าหมายคือการเมืองใหม่ มันเป็นเรื่องระยะยาว มันไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ที่จะต้องมาตัดสินกันว่าลงครั้งนี้แล้วจะมีส่วน ร่วมรัฐบาลหรือเปล่า ลงครั้งนี้แล้วได้เท่าไหร่ ถ้าได้ไม่มากก็ไม่มีประโยชน์ ทุกอย่างต้องเริ่มจากหนึ่ง
 
ถ้าหากเราไม่มีอารมณ์ร้อน เราค่อยทำค่อยไป ถึงแม้ว่าจะมีเสียงเข้ามา ผมก็ยังมั่นใจว่าพรรคพันธมิตรฯ 40-60 เสียงมี อย่างน้อยที่สุด ส.ส.สัดส่วนน่าจะได้เยอะ ผมคิดว่าลำพังถ้าได้ 40-60 เสียง ถึงไม่ได้ร่วมกับใคร แต่ถ้าวัตรปฏิบัติ และพฤติกรรมของ ส.ส.พรรคพันธมิตรฯ อยู่ในอุดมการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่แตกแถว แล้วก็ความมุ่งมั่นในการสร้างจริยธรรมทางการเมือง แล้วก็ศีลธรรมของคนซึ่งเข้าไปเป็น ส.ส. ในพรรคพันธมิตรฯ นั้น ตลอดจนการพูดจาที่มีสาระ อุดมการณ์ เป้าหมาย และก็สามารถเปรียบเทียบระหว่างบุคลากรของพรรคพันธมิตรฯ กับบุคลากรของพรรคอื่นซึ่งแก่งแย่งชิงอำนาจกัน ในขณะที่บุคลากรของพรรคพันธมิตรฯ นั้น ถ้าสามารถแสดงออกถึงการทำงานเพื่อส่วนรวม โดยที่ไม่ได้เอาประโยชน์ของส่วนตัวเป็นตัวตั้ง ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านหรืออยู่เฉยๆ ข้อเปรียบเทียบตรงนี้ มันจะออกสู่สาธารณชน และก็ประเด็นหลายประเด็นซึ่งพรรคการเมืองที่ได้รับทุนมาจาก กลุ่มทุนใหญ่ๆ ไม่กล้าต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีก หรือไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับพวกน้ำเมา พวกเหล้า หรือการต่อสู้กับสิ่งซึ่งประชาชนถูกกดขี่ขูดรีดโดยระบบทุน แต่ว่าพรรคการเมืองไม่กล้าสู้ให้เขา เพราะว่ารับเงินเขา
 
 
สนธิเปรียบพรรคพันธมิตรฯ เหมือนคนถือศีลในหมู่บ้านโจร ย่อมเป็นที่กล่าวขวัญ
ผม คิดว่าในที่สุดแล้ว ข้อเปรียบเทียบตรงนี้อุปมาอุปไมยเหมือนในหมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่ง แล้วทุกบ้านเป็นโจรหมด แต่ว่ามีบ้านหลังหนึ่งถือศีลห้า ประพฤติปฏิบัติดี ผมเชื่อว่า หมู่บ้านอื่นๆ ก็ย่อมได้รับข่าวคราวที่ดี ก็เห็น ก็มีข้อเปรียบเทียบ ผมคิดว่าความอดทน แล้วก็ถ้าไม่มองระยะสั้น มองระยะยาวไปเรื่อยๆ แล้วก็ยึดมั่นในอุดมการณ์จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวคนซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรคเข้าใจตรงนี้ โอกาสของการซึ่งพรรคพันธมิตรฯ เอาการเมืองใหม่ เอาน้ำดีเข้าไปผสมน้ำเสีย แล้วก็ขยายส่วนน้ำดีขึ้นไปเรื่อยๆ
 
แล้ว อย่างที่คุณพิภพ (ธงไชย) พูดเรื่องพรรคกรีน ในที่สุดแล้วพรรคอื่นๆ เมื่อเห็นมีการเปรียบเทียบเห็นเด่นชัด เพราะขณะนี้พรรคการเมืองในสภา คือถ้าพรรคโน้นเป็นกุ๊ยพรรคนี้ก็เป็นกุ๊ยได้ แต่ถ้าเกิดทุกพรรคหยาบ ทุกพรรคใช้ความที่ไม่มีมารยาทหรือไม่เป็นสุภาพบุรุษ แต่พรรคพันธมิตรเป็นพรรคเดียวที่ใช้ความเป็นสุภาพบุรุษได้ ในที่สุดแล้วมันก็จะบังคับให้หลายๆ พรรค เริ่มหันกลับมามองดูตัวเอง และตรงนี้ก็คือจุดเปลี่ยน ตรงนี้คือการเข้าไปข้างใน เพื่อเอาการเมืองใหม่ใส่เข้าไปในการเมืองเก่า
 
ถึง แม้จะได้เสียงไม่กี่เสียงและไม่จำเป็นต้องร่วมรัฐบาล ผมก็ถือว่าถ้ายืนหยัดในอุดมการณ์ตรงนี้ได้อย่างมั่นคง ถาวรและต่อสู้เพื่อส่วนรวมได้ ผมคิดว่าวัตรปฏิบัติของพรรคนี้จะเป็นตัวอย่างเหมือนบ้านที่สวดมนต์ก่อนนอน และทำวัตรเช้าตอนเช้า แล้วก็ปฏิบัติถือศีลห้า ไม่โกงไม่กิน ไม่กลั่นแกล้งใคร แล้วก็มีวาจาที่สุภาพนอบน้อม มันย่อมเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่บ้านซึ่งล้วนแล้วแต่มีคนหยาบด้วยกัน ผมคิดว่าถ้าทำได้เพียงแค่นี้ต้องก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากมายแล้ว
 
 
กกต. ไม่ยอมให้จดทะเบียนชื่อ “พรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
สำหรับความคืบหน้ากรณีการจดทะเบียนตั้งพรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น วานนี้ (21 พ.ค.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า กกต. มีมติไม่ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตยที่มี นางภานุมาศ พรมสูตร หัวหน้าพรรคได้ยื่นขอต่อกกต.ทั้งนี้เนื่องจากการตรวจสอบของฝ่ายวิจัยและ พัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมืองพบว่า นางรุ่งรัตน์ เป็นกระโทก สมาชิกพรรคของผู้ร่วมขอจัดตั้งพรรคฯ มีชื่อปรากฏเป็นสมาชิกพรรคมหาชน และเมื่อพิจารณาชื่อพรรคที่เป็นภาษาอังกฤษและชื่อย่อภาษาอังกฤษก็คล้ายหรือ ซ้ำกับพรรคประชาภิวัฒน์ ที่ถือว่าขัดกับมาตรา 9 วรรคสอง พ.ร.บ.พรรคการเมือง 50 ที่ห้ามไม่ให้ชื่อพรรคการเมือง ซ้ำ พ้อง หรือมีลักษณะคล้ายคลึงกับชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายของผู้จดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองอื่น หรือของพรรคการเมืองที่ได้จดแจ้งไว้ก่อนตามมาตรา 12 หรือของพรรคการเมืองที่ถูกยุบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
 
นอกจาก นี้เลขาธิการฯ กกต.ยังระบุตรวจสอบพบข้อบังคับพรรคพันธมิตรฯหลายข้อขัดต่อพ .ร.บ.พรรคการเมือง จึงเห็นชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองสั่งไม่รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคพัน ธมิตรฯ และแจ้งเป็นหนังสือพร้อมทั้งเหตุผลให้กับนางภานุมาศ ผู้ยื่นได้ทราบภายใน 30 วันซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 23 พ.ค.นี้แต่เนื่องจากเป็นวันหยุดราชการ จึงจะแจ้งให้ทราบในวันที่ 25 พ.ค. ที่เป็นวันเปิดทำการ แต่หากนางภานุมาศ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว ก็สามารถยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง
 
 
พิภพแจงไม่รู้จักคนจดชื่อพรรค แต่เป็นแนวร่วมฯ ที่กลัวฝ่ายตรงข้ามเอาชื่อไปจด
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อ 14 พ.ค. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ “คนในข่าว” ทางเอเอสทีวี ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. ถึงกรณีที่มีผู้ไปยื่นขอจดทะเบียนพรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ตนไม่รู้จักกับคนที่ไปยื่นขอจดทะเบียนเป็นการส่วนตัว แต่เบื้องต้นทราบว่าเป็นแนวร่วมพันธมิตรฯ ที่มีความเป็นห่วงกลัวว่าจะมีคนอื่นหรือฝ่ายตรงข้ามไปจดทะเบียนดักไว้ก่อน จึงรีบไปขอจด เหมือนกับพรรคประชาภิวัฒน์ที่ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ไปขอจดไว้ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะไปจดก่อน แต่ถ้าพันธมิตรฯ ตั้งพรรคแล้วจะใช้ชื่อนี้ก็ยินดีจะยกให้ แต่ทั้งนี้การไปขอจดทะเบียนพรรคพันธมิตรฯ ดังกล่าวไม่ได้เป็นมติของแกนนำ และขอให้สมาชิกพันธมิตรฯ ที่จะไปร่วมงานรำลึก 1 ปี การชุมนุมในวันที่ 25 พ.ค.นี้สบายใจได้ว่านี่ไม่ใช่มติของแกนนำ หรือเป็นการผูกมัดว่าจะต้องเกิดพรรคพันธมิตรฯ
 
นายพิภพกล่าวต่อว่า ในวันนั้น (25 พ.ค.) เราจะหาทิศทางของการเมืองใหม่ว่ารูปแบบของ การเมืองใหม่ที่เราสู้มา 193 วันว่ามีควรรูปแบบอย่างไรบ้าง ซึ่งความเห็นก็มีแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เพราะพันธมิตรฯ มีสมาชิกเป็นล้าน จะให้เห็นเหมือนกันหมดคงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีความแตกแยก และการต่อสู้ของภาคประชาชนทั่วโลกก็จะเกิดแบบนี้ เช่น พรรคสิ่งแวดล้อม หรือพรรคกรีนในยุโรป ซึ่งเริ่มมาจากการเคลื่อนไหวต่อสู้เรื่องสิ่งแวดล้อมของภาคประชาชนมาก่อน ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยที่จะเข้าไปสู่การเมือง แต่ก็สนับสนุนกัน ซึ่งก็ทำให้ประเทศในยุโรปมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แม้ว่าพรรคกรีนไม่ได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว
 
 
ยันตั้งพรรคแล้ว ก็ทำการเมืองใหม่ควบคู่ไป
ใน กรณีพันธมิตรฯ ก็เช่นเดียวกัน ความคิดในการต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่นมาถึงจุดที่ทำให้เกิดการตรวจสอบ เป็นคดีขึ้น ถ้าการเมืองยังเป็นการเมืองเก่าอยู่เราจะทำอย่างไร คนกลุ่มหนึ่งก็คิดว่าเราน่าจะตั้งพรรคการเมือง หลังจากที่เราเสนอการเมืองใหม่ และกลายเป็นกระแสของนักวิชาการ และนักการเมืองเริ่มพูดถึงการเมืองใหม่ จึงมีพันธมิตรจำหนวนหนึ่งอยากให้พันธมิตรฯ ตั้งพรรค และเมื่อเห็นการทำงานของรัฐบาลที่ไม่คิดว่าจะสร้างการเมืองใหม่ ก็มีเสียงเรียกร้องให้ตั้งพรรคมากขึ้น แต่ก็ยังมีส่วนที่ไม่อยากให้ตั้งพรรคการเมือง ซึ่งเราจะต้องระมัดระวัง ไม่ให้เกิดความแตกแยก และมีพื้นที่ให้กับทั้งสองส่วน คือพื้นที่ของคนที่อยากจะทำพรรคการเมือง และต้องเป็นการเมืองใหม่จริงๆ นั่นคือต้องกล้าหาญ เสียสละ ซื่อสัตย์ และมีประสิทธิภาพ ส่วนการเมืองภาคประชาชนที่พ่อแม่พี่น้องยังอยากจะเคลื่อนไหวอยู่ก็ต้องทำ ควบคู่กันไป
 
นายพิภพยังชี้แจงว่า กระแสการตั้งพรรคการเมืองของประชาชนมีมานาน ตั้งแต่หลัง 14 ตุลา มีการตั้งพรรคพลังใหม่ ช่วงต่อมามีการตั้งพรรคพลังธรรม ขณะที่ในภาคองค์กรพัฒนาเอกชนมีการเสนอแนวทางใหม่ให้กับสังคมโดยการลงไปทำงาน กับชาวบ้านมาตั้งแต่ปี 2522 ทำมาระยะหนึ่งก็เห็นว่าควรจะมีพรรคการเมืองของภาคประชาชน เพราะการทำงานกับชาวบ้านกลายเป็นวาระประชาชน และหาทางจะเอาเข้าไปเป็นนโยบายของรัฐบาลได้อย่างไร เป็นที่มาของการที่รัฐธรรมนูญ 2540 มีการเขียนหมวดนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดาของกระแสที่คนทำงานทางสังคมมาระดับหนึ่งที่เห็นว่า พรรคการเมืองของนายทุนแบบเก่าไม่ตอบสนอง ก็มีแนวคิดจะตั้งพรรคที่เป็นของมวลชนจริงๆ และมาวันนี้ถึงเวลาหรือยังที่จะเอาอุดมการณ์ของตัวเองคือการเมืองใหม่ออกมา ผลักดัน
 
ส่วนข้อกังวลที่ว่าเมื่อมีพรรคพันธมิตรฯ แล้วการเมืองภาคประชาชนจะหมดไปนั้น รัฐธรรมนูญ 2550 แบ่งพื้นที่ให้ทั้งการเมืองในระบบและการเมืองภาคประชาชน มีบทบัญญัติเรื่องการเมืองภาคพลเมืองชัดเจน มีการเขียนเป็นมาตรา และให้มีกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง เพราะฉะนั้นมันมาถึงจุดว่าการเมืองจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การเมืองในรัฐสภาและการเมืองภาคประชาชน ซึ่งพันธมิตรฯ ก็มีส่วนหนึ่งที่ต้องการให้เข้าไปในระบบรัฐสภาอีกส่วนหนึ่งให้เคลื่อนไหวภาค ประชาชน และมีบางคนสนับสนุนให้ทำทั้ง 2 ส่วน
 
 
ถ้าตั้งได้ จะเป็นพรรคที่มาจากมวลชน ยืนยันรักษาพื้นที่ภาคประชาชน
นาย พิภพกล่าวต่อว่า ถึงขณะนี้ยังไม่แน่นอนว่าพันธมิตรฯ จะต้องตั้งพรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งถ้าตั้งจริงๆ อาจเป็นชื่ออื่นก็ได้ แต่ถ้าตั้งก็จะเป็นพรรคการเมืองแนวใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน คือจะเป็นพรรคที่มีมวลชนรองรับชัดเจนที่ร่วมต่อสู้กันมาก่อน เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองที่เกิดต้องมีโครงสร้างที่รองรับมวลชน และจะเป็นพรรคแรกที่มีฐานมาจากมวลชนจริงๆ แต่ด้วยความละเอียดอ่อนของความเห็นที่แตกต่างกัน ควรจะมีพื้นที่ 2 พื้นที่ คือพื้นที่ที่ให้เคลื่อนไหวแบบเดิมกับพื้นที่เคลื่อนไหวแบบพรรคการเมือง แต่ทั้งสองพื้นที่จะมีอุดมการณ์ร่วมกันคือการเมืองใหม่ ผู้สมัคร ส.ส.ต้องมาจากฐานมวลชน ไม่ใช่มาจากกรรมการบริหารพรรค ซึ่งถ้าพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเอาแนวคิดเรื่องการเมืองใหม่มารองรับได้ คนที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรคแต่แรกก็จะหันมาสนับสนุน
 
ทั้งนี้ นายพิภพย้ำว่า พรรคที่จะตั้งขึ้นจะต้องพรรคที่ใหม่จริงๆ ถ้าไม่ใหม่จริงก็จะล้มเหลว และพันธมิตรฯ ก็พร้อมที่จะปฏิเสธพรรคการเมืองที่อ้างว่าเป็นพรรคของพันธมิตรฯ แล้วกระบวนการทางการเมืองไม่ใหม่จริง การกำหนดตัว ส.ส.ต้องมาจากฐานมวลชนและให้มวลชนเลือกมา คุณสมบัติต้องชัดเจน ไม่ใช่กำหนดมาแบบการเมืองเก่า และต้องใหม่จริงจนกระทั่งความประพฤติตอนที่เป็นนักการเมือง
 
 
ก่อนหน้านี้ให้มวลชนจดชื่อพรรค “ประชาภิวัฒน์-เทียนแห่งธรรม” ตุนไว้แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากชื่อพรรค “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่แนวร่วมพันธมิตรฯ พยายามจดทะเบียนชื่อแล้ว ก่อนหน้านี้คือ พรรคประชาภิวัฒน์ และพรรคเทียนแห่งธรรม
 
จากข้อมูลทะเบียนพรรคการเมืองของ กกต. พบว่า พรรคเทียนแห่งธรรม (ท.ห.ธ. หรือ Tien Hang Dhame Paty) เป็น พรรคการเมืองลำดับที่ 57 ได้จดทะเบียนวันที่ 28 เมษายน 2551 มีนายธนากร วีรกุลเดชทวี เป็นหัวหน้าพรรค และนางจันทิมา วีรกุลเดชทวี เป็นเลขาธิการพรรค มีกรรมการบริหารพรรค 9 คน
 
และพรรคลำดับที่ 70 ชื่อ พรรคประชาภิวัฒน์ (ปภ. หรือ People Alliance for Democratization - PAD) จด ทะเบียนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552 มีหัวหน้าพรรคคือ นายสุทัศน์ จันทร์แสงศรี และนายภณ รักตระกูล เป็นเลขาธิการพรรค มีกรรมการบริหารพรรค 8 คน ซึ่งนายภณ รักตระกูล เลขาธิการพรรคนั้นเป็นลูกเขย พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภาและเพื่อนสนิท พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
 
โดยสุริยะใส กตะศิลา ให้สัมภาษณ์ลง นสพ.ไทยโพสต์ ตีพิมพ์เมื่อ 10 มี.ค. โดยยอมรับว่า คนที่ไปจดแจ้งกับทาง กกต. เป็นมวลชนของพันธมิตรฯ ส่วนที่ไปจดไว้ก่อนเพราะทางแกนนำเกรงว่าจะมีคนนำชื่อพรรคเทียนแห่งธรรมไปแอบ อ้างเพื่อหาผลประโยชน์ โดยได้ไปจดทะเบียน 2 พรรค คือ พรรคเทียนแห่งธรรม กับพรรคประชาภิวัฒน์ เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2552 โดยมีนายสุทัศน์ จันทร์แสงศรี หัวหน้าพรรค นายภณ รักตระกูล เป็นเลขาธิการพรรค ส่วนจะมีการเข้าร่วมกับพรรคหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
 
“นาย สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เคยพูดในที่ประชุมเหมือนกันว่าจะมีการไปจดทะเบียนชื่อพรรคเทียนแห่งธรรม เพื่อไม่ให้ใครเอาชื่อนี้ไปแอบอ้าง แต่ก็จดไว้ก่อน ยังไม่มีแนวคิดที่จะลงสมัครหรือเข้าร่วมในตอนนี้” นายสุริยะใสกล่าว
 
 
................................................
ที่มาของข่าว:

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net