Skip to main content
sharethis

 


องคมนตรีจี้รัฐลากคอแม้วชี้หมิ่นในหลวง-ฟอกเงินทุจริต


ASTVผู้จัดการรายวัน : พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ภายหลังจากถูกเอ่ยชื่อถึงบนเวทีนปช. ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนวันที่ 2เม.ย.ที่ผ่านมา โดยได้ตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่า เหตุใดการที่อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ถูกศาลพิพากษาจำคุกแล้ว แต่ไม่ยินยอมรับโทษนั้น อ้างความมีสิทธิพิเศษในเรื่องใด หรือการกล่าวถึงสถาบันเบื้องสูงด้วยถ้อยคำที่ไม่ถูกไม่ควร เหตุใดจึงไม่มีผู้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเงินจำนวนมากไปฝากในเกาะที่มีชื่อเรื่องของการฟอกเงิน ทำไมจึงไม่มีการติดตามเรื่องเหล่านี้เพื่อนำข้อเท็จจริงให้ปรากฏออกมาให้ประชาชนได้รับทราบ


 


อย่างไรก็ตาม พล.อ.พิจิตร ยืนยันว่าในปัจจุบัน คณะองคมนตรีไม่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ตามที่มีนักวิชาการบางคนออกมากล่าว ซึ่งตนเองและคณะประชุมร่วมกันทุกวันอังคาร โดยมีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธาน อย่างสม่ำเสมอ และยืนยันอีกด้วยว่า ไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของการเมืองตามที่มีผู้กล่าวอ้าง


 


วันเดียวกันนี้ ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.พิจิตร ได้เดินทางไปเป็นประธานมอบทุนมูลนิธิพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก ให้กับนักเรียนร่มเกล้าเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ พร้อมให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่า ตนเป็นทหารอาชีพ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องปกป้อง ประเทศไทยอยู่รอดมาได้เพราะมหากษัตริย์ทรงปรีชาสามารถ ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม สถานการณ์การเมืองที่เป็นแบบนี้เพราะเราไม่ได้สร้างคน สร้างแต่วัตถุ ดังนั้นเราต้องสร้างคน


 


เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นองคมนตรีเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไร พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า เราต้องสร้างคนตั้งแต่เด็ก อย่าเน้นวัตถุ ทุกวันนี้พระแก้วมรกตเยาวชนยังไม่รู้ อีกหน่อยจะเหมือนเขาพระวิหาร ใครเอาไปก็ไม่มีความหวงแหน เพราะไม่ได้รับรู้ความสำคัญของพระแก้วมรกด


 


เมื่อถามว่าจะฝากอะไรถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังโฟนอินปลุกกระแสเสื้อแดงอีกหรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า "ไม่อยากฝาก เพราะผมเป็นองคมนตรี แต่สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ล่วง


 


ล้ำพระราชอำนาจอย่างไร การทำบุญในวัดพระแก้ว ทำได้หรือไม่ เราเป็นคนไทยเรากราบพระแก้วมรกตได้ แต่ทำบุญในวัดพระแก้วไม่ได้ ทำไม่ถูกและเมื่อพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว และโทรศัพท์มาพูดออกผ่านทีวีว่า ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โทรศัพท์มากระซิบข้างหูก็จะกลับมา ผมถามว่าพระองค์ท่านเป็นเพื่อนเล่นของเขาหรือ"


 


เมื่อถามว่า การกระทำดังกล่าวพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงใช่หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ใช่ สิ่งนี้ทำไมไม่มีใครเอาเรื่อง ถือเป็นการกระทำที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว รับราชการเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ทั้งนี้ยังมีกรณีอื่น พวกคุณที่เป็นนักข่าว เคยได้ยินเกาะคีย์แมน ซึ่งนายราล์ฟ แอล. บอยซ์ จูเนียร์ (H.E. Mr. Ralph L. Boyce, Jr.) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย มาพบกับตน และประโยคแรกที่ถาม นายกรัฐมนตรีของไทย (พ.ต.ท.ทักษิณ)ไปยุ่งอะไรกับเกาะคีย์แมน


 


ทั้งนี้ตนพอทราบมาบ้าง จึงถามกลับไปว่า เกาะนี้เป็นเกาะอะไร นายราล์ฟ กล่าวว่า เป็นเกาะที่ฟอกเงินไม่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น และมีนายกรัฐมนตรีของชาติอื่นด้วย อย่างนายกรัฐมนตรีของอิตาลี เป็นเจ้าของบ่อนกาสิโน เมื่อเขาสืบรู้ก็ต้องลาออก ดังนั้นเมื่อนายราล์ฟ รู้ ทำไมคนไทยจะไม่รู้ ทั้งนี้สื่อต้องไปตรวจสอบดูว่า เกาะคีย์แมนเป็นอย่างไร เขาเอาเงินไปฝากไว้ทำไม ลองคิดดูทำงานมาแค่ 5-6 ปี มีเงินฝากถึง 1 แสนล้านได้อย่างไร


 


เมื่อถามว่า หน่วยงานของรัฐย่อหย่อนในการดำเนินการเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ลองคิดเอาเอง เมื่อถามว่ารัฐบาลควรจะดำเนินการอย่างไร พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องนำมาแฉให้ประชาชนรับรู้ให้ได้ สืบมาว่ามันคืออะไร และหมิ่นพระบรมเดชาหรือไม่ การบอกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโทรศัพท์มากระซิบข้างหู


 


เมื่อถามว่า การต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการจ้องล้มสถาบันกษัตริย์หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า แน่นอน ทำไมคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่ไปดำเนินการ ซึ่งการทำงานรัฐบาลในการดำเนินการเรื่องนี้ช้าไป การพูดว่ามากระซิบข้างๆ หูเป็นเพื่อนเล่นเขาหรือ พูดแบบนี้ได้อย่างไร เมื่อถามว่าได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์มีความเป็นห่วงกับสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไร พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องที่เราต้องสร้างคน ต้องสร้างให้คนรักหวง และห่วงแผ่นดิน


 


"ปัญญาชนต้องคิดตรอง และไปเชื่อเขาได้อย่างไร ผมเป็นทหารชั่วชีวิต ใช้ไปรบที่ไหนก็ไป แต่เคยไปร่วมงานศพอยู่หน้าเชิงตะกอน และก็ยืนปลง คนเรามีแค่นี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ร่างเอาไปไม่ได้ สตางค์สักบาทก็ยังเอาไปไม่ได้เลย กระดูกก็เอาไปไม่ได้ แล้วจะโลภโมโทสันกันไปทำไม ทั้งนี้ ยอมรับว่าองคมนตรีได้มีการพูดคุยถึงสถานการณ์บ้านเมืองทุกอาทิตย์" พล.อ.พิจิตรกล่าว


 


เมื่อถามว่า ปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวใช่หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ไม่อยากพูด แต่สื่อลองไปคิดดูเอาเอง เมื่อถามว่า เสียงขององคมนตรีที่มี 18 เสียง จะสามารถสู้เสียงของกลุ่มคนเสื้อแดงได้หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ต้องจี้ให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบทำ การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่


 


ชาวโคราชให้กำลังใจ"ป๋า"


ที่บริเวณบ้านไร้กังวล ถนนสืบศิริ ซอยสืบศิริ 32 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้เดินทางโดยรถตู้ เพื่อปฏิบัติภารกิจและพักผ่อน ซึ่งเมื่อเดินทางเข้ายังบ้านไร้กังวลแล้ว ได้มีแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ เข้าแถวให้การต้อนรับ โดยยังไม่เปิดให้สื่อมวลชนเข้าไปภายในบ้าน


 


ส่วนด้านนอกมี พล.ต.ต.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมาได้สั่งการอำนวยการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 กองร้อย เข้ารักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ โดยการจัดตั้งจุดตรวจปิดหัว-ปิดท้ายถนนสืบศิริ เพื่อตรวจเข้มการเข้า-ออกของรถทุกชนิด ที่ใช้เส้นทางดังกล่าวอย่างเข้มงวด


 


ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี เลขาธิการสมัชชาประชาชนภาคอีสาน และประธานภาคีมวลชนคนโคราชรักประชาธิปไตย กล่าวว่า วันนี้ (4 เม.ย.) ประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา ผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และความเป็นธรรม ได้ร่วมกันกำหนดเคลื่อนไหวรณรงค์ด้วยการเคลื่อนขบวนประชาชนไปตามเส้นทางต่างๆ ในตัวเมืองนครราชสีมา เพื่อประกาศเชิญชวนให้ชาว จ.นครราชสีมา ออกมาปกป้องสถาบันสูงสุด สถาบันองคมนตรี สถาบันตุลาการ และ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


 


รวมทั้งจะร่วมกันเข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกทวงถามการทำหน้าที่ ของตำรวจ ต่อ พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.3 ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3, นายประจักษ์ สุวรรณภักดี ผวจ.นครราชสีมา และ พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ค่ายสุรนารี ในกรณีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง หน้าทำเนียบรัฐบาลที่มี นช.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลัง คอยยุยงประชาชนป่วนชาติบ้านเมือง ให้เกิดความแตกแยก เกิดความรุนแรงจนอาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองได้


 


ตร.ยืนกรานฟ้องนปช.บุกบ้านป๋า อัยการเล็งแก้กม.ผู้ร้ายข้ามแดน


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ : นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เปิดเผยว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ส่งความเห็นแย้งคดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญาไม่สั่งฟ้องแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ชุมนุมก่อความวุ่นวายหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2550 โดยผบ.ตร. มีความเห็นควรสั่งฟ้องแกนนำทุกคนในทุกข้อหา จึงเสนอสำนวนให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด พิจารณาชี้ขาดว่าจะเห็นควรสั่งฟ้องตามผบ.ตร. หรือเห็นควรสั่งไม่ฟ้องตามอัยการฝ่ายคดีอาญา


 



นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า คดีนี้เมื่อทางตำรวจมีความเห็นแย้งกลับมาคดีก็ยังไม่สิ้นสุด และต้องรอให้อัยการสูงสุดชี้ขาด จึงฝากเตือนไปยังแกนนำนปช. ที่นำความเห็นสั่งไม่ฟ้องของอัยการไปพูดบนเวทีทำนองว่าการบุกบ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่เป็นความผิด เพราะแม้ว่าอัยการเคยมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปกระทำการในลักษณะเดิมซ้ำได้อีก


 



ด้านนายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กล่าวว่า สำนักงานอัยการฝ่ายคดีต่างประเทศกำลังดำเนินการเสนอแก้ไขร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อให้มีการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้


 



ทั้งนี้ เนื่องมาจากกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลบหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี แต่ยังโฟนอินหรือวิดีโอลิงก์จากประเทศต่างๆ ไปแบบย้ายถิ่นที่อยู่ไปเรื่อยๆ ทำให้อัยการเกิดแนวคิดว่าประเทศไทยสมควรจะแก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยให้สามารถส่งคำร้องผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ เพื่อรวดเร็วในการดำเนินคดี


 



 "สมมติพ.ต.ท.ทักษิณอยู่ฮ่องกงอีก 2 ชั่วโมง บินไปเมืองดูไบ อัยการก็ส่งอีเมลขอส่งตัวพ.ต.ท.ทักษิณเป็น ผู้ร้ายข้ามแดนจากไทยไปที่ดูไบ เพื่อให้ทางการดูไบ พิจารณา วิธีนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐจับกุมผู้ต้องโทษได้อย่างรวดเร็ว เท่ากับศักยภาพการหลบหนีของผู้ต้องโทษ" นายศิริศักดิ์ กล่าว


 


นายกฯย้ำไม่ใช้ พรก.ฉุกเฉินฯ 8 เม.ย.


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ : นายกรัฐมนตรี ยินดี มีคนกลางเจรจาคลายปมปัญหาบ้านเมือง แต่"ทักษิณ" ต้องไม่มีเงื่อนไขต่อรองพ้นผิด ย้ำไม่ใช้ พรก.ฉุกเฉิน จัดการม็อบ 8 เม.ย.


 



นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลพร้อมที่จะนัดเจรจาพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหาแนวทางยุติความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แต่ต้องไม่มีเงื่อนไขต่อรองเกี่ยวกับการดำเนินคดีที่จะนำไปสู่ปัญหาการเมืองในประเทศ โดยเรียกร้องให้อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อต่อสู้คดี ซึ่งรัฐบาลจะดูแลให้เกิดความเป็นธรรม


 



"ผมไม่มีอะไร ถ้าพบกับท่าน(ทักษิณ)ที่ไหนก็เพียงแต่บอกว่าว่าจะให้ความเป็นธรรม แต่การพูดคุยจะเป้นลักษณะใดนั้นก็แล้วแต่ เพราะจุดยืนของรัฐบาลไม่มีเรื่องอะไรที่จะไปต่อรองให้เกิดปัญหาในอนาคต...คนที่ทำผิด แล้วไม่ยอมรับผิดคงจะไม่ได้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว


 



ขณะนี้ พ.ต.อ.ทักษิณ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก


 



ส่วนข้อเสนอให้มีคนกลางเข้ามาช่วยเจรจานั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไม่ขัดข้องหากมีคนกลางที่เข้าใจเรื่องเป็นอย่างดี รัฐบาลก็ยินดี


 



นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า สถาบันองคมนตรีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ดังนั้นข้อเรียกร้องของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่ต้องการล้มลางระบอบอมาตยาธิปไตยจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง


 



และในการนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 8 เม.ย.นี้ รัฐบาลยังไม่มีแนวคิดที่จะประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว เพราะยังเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และรัฐบาลได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษแล้ว โดยจะดูแลไม่ให้มีการกระทบใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันที่คนในประเทศให้ความเคารพนับถือ


 


อธิบดีกรมบังคับคดีเผยพร้อมปิดหมายบังคับคดีให้เสื้อแดงเปิดถนนเข้าออกทำเนียบฯ 7 เม.ย.นี้


เว็บไซต์แนวหน้า : นายสิรวัต จันทรัฐ อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า หลังจากที่ศาลแพ่งออกหมายบังคับคดีแล้ว ขณะนี้กรมบังคับคดีก็ต้องจัดทำระเบียบการปิดหมายและการปฏิบัติตามคำสั่งศาล เพื่อให้ดำเนินการอย่างถูกต้อง ทำให้ในวันนี้ไม่สามารถที่จะนำหมายบังคับคดีมาปิดได้ เนื่องจากขณะนี้ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดิน ขณะวันที่ 4 -6 เม.ย.นี้ก็เป็นวันหยุดราชการ ทำให้ไม่สามารถมาปิดหมายได้ โดยเจ้าหน้าที่จะนำหมายมาปิดอีกครั้งในวันที่ 7 เม.ย.นี้ ซึ่งการปิดหมายสามารถทำได้ตั้งแต่ช่วงเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกดิน


 



รายงานข่าวจากศาลแพ่งแจ้งว่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ทางศาลแพ่งได้ออกหมายบังคับคดี แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นหน่วยงานหลักในการปิดหมายบังคับคดี และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงเปิดถนนลูกหลวงตั้งแต่แยกเทวกรรมจนถึงสะพานชมัยมรุเชฐและเปิดประตูทางเข้าออกทำเนียบฯที่ 6 และ 8 โดยหมายแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการรื้อถอนสิ่งกีดขวางทางเข้าออก เนื่องจากคำสั่งศาลแพ่งมีความชัดเจนในตัวแล้ว ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถือเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมาย หากเห็นว่า ส่วนใดเป็นการขัดขวางก็สามารถดำเนินการได้โดยระวังให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าหน้าที่บังคับคดีได้รับหมายบังคับคดีก็สามารถดำเนินการได้ทันที


 


"เสื้อแดง" บุก คิงพาวเวอร์


เว็บไซต์แนวหน้า : ที่บริเวณห้างสรรพสินค้า คิงเพาเวอร์ ซึ่งกลุ่มเสื้อแดง ประกาศจะเดินทางมาชุมนุม แสดงจุดยืนต่อต้านบริษัทเอกชนที่ให้การสนับสนุนกลุ่มการเมือง ที่เปลี่ยนขั้วไปสนับสนุน ระบอบ อมาตยาธิปไตย ได้มีการเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 กองร้อย จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล 1 ดูแลความสงบเรียบร้อย อยู่โดยรอบบริเวณ และ อีก 1 กองร้อย ประจำการอยู่ ณ ที่ตั้ง



นอกจากนี้ ตำรวจ ได้นำแผงเหล็ก ที่ติดป้ายข้อความว่า พื้นที่ส่วนบุคคล "ห้ามบุคคลภายนอกเข้าเด็ดขาด" มากั้นไว้โดยรอบบริเวณ เพื่อไม่ให้เดินทางเข้าออก ขณะเดียวกัน ก็ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 20 คน ที่เดินทางมาล่วงหน้าแล้ว และได้มีการตะโกนโห่ร้องไล่


 



จากนั้นเมื่อเวลา 13.20 น.กลุ่มนปช. กว่า 1,000  คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ กว่า 50 คัน และรถสองแถว รถบรรทุก จำนวนหลาย 10 คัน พร้อมติดเครื่องขยายเสียง ปิดซอยรางน้ำ บริเวณด้านหน้าคิงเพาเวอร์ เพื่อประท้วงและต่อต้านคิงเพาเวอร์ ที่ กลุ่ม นปช. อ้างว่า คิงเพาเวอร์ ร่วมกับ  นายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ให้เงินสนับสนุนรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ โดยกลุ่มผู้ชุมนุม ขึ้นรถกระจายเสียงกล่าวโจมตีคิงเพาเวอร์ ด้วยถ้อยคำรุนแรงพร้อมใช้เท้าตบโห่ไล่และโห่ร้องอย่างเสียงดัง



ทั้งนี้จากการไปปิดล้อมครั้งนี้ ทำให้ผู้คนโดยรอบบริเวณซอยรางน้ำและพนักงานบริษัทคิงพาเวอร์ ต่างให้ความสนใจออกมาถ่ายรูปและบางส่วนยังออกมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงอีกด้วย


 


"อักขราทร"เมิน"แม้ว" ยืนยันไม่เกี่ยววางแผนรัฐประหาร


เว็บไซต์มติชน : นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวว่า ตนไม่เกี่ยวข้องกับการวางแผนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี


 


ส.ส.เพื่อไทยยื่นถอดถอนนายกฯ-สุเทพ


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคเพื่อไทย นำโดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค นายสุรชัย เบ้าจรรยา ส.ส.สัดส่วน นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงศ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พร้อมด้วยคณะทำงานเป็นตัวแทนนำลายมือชื่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทย 120 คน เข้ายื่นหนังสือต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อให้ถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ออกจากจากตำแหน่ง เนื่องจากมีพฤติการณ์ที่ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 270


 



นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากนายอภิสิทธิ์ มีคำสั่งมอบอำนาจให้นายสุเทพ ไปเป็นประธานกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) และประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) แม้จะออกคำสั่งโดยอ้างอำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมาตรา 9-12 มาตรา 15 และมาตรา 38 โดยผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย เพราะการเป็นประธาน ก.ตร.เป็นอำนาจของนายกฯ จะมอบอำนาจให้รองนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้


 



ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายบริหาร กลับออกคำสั่งฝ่าฝืนต่อบทบัญญัตินี้เสีย จึงถือได้ว่ามีพฤติการณ์ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย



ส่วนนายสุเทพ นั้น มีตำแหน่งเป็นรองนายกฯ ย่อมทราบถึงระเบียบการบริหาราชการแผ่นดินดี เมื่อรู้ว่าตนเองไม่มีอำนาจเข้าร่วมประชุมในฐานะประธาน ก.ตร.แล้วยังฝ่าฝืน เข้าร่วมประชุม และมีมติในเรื่องต่างๆ โดยไม่มีอำนาจ แต่ไปเข้าร่วมประชุม ก.ตร. 3 ครั้ง โดยเฉพาะในวันที่ 6 ก.พ.2552 มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับนายพล 73 นาย ทั้งๆ ที่ไม่มีอำนาจ


 



นอกจากนี้ นายสุเทพ ยังมีพฤติการณ์ที่ทำขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 265 - 266 กรณีที่ส่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 19 คน และบุคคลอื่นเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงงานของกระทรวงวัฒนธรรม โดยเรื่องนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนแล้ว เพราะเห็นว่าการกระทำของนายกฯ และนายสุเทพ แล้ว


 



"นายอภิสิทธิ์ เป็นผู้มอบอำนาจให้ แต่กลับมากล่าวหาว่าพรรคไทยรักไทย ก็เคยทำ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องไปดำเนินการกับพรรคไทยรักไทย ถ้าเขาผิดแล้วจะยังทำตามอีกหรือ อย่างไรก็ตาม พรรค จะไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการเรื่องนี้อีกทางหนึ่งด้วย"



ด้านนายประสพสุข กล่าวว่า จะตรวจสอบรายชื่อว่าถูกต้องครบถ้วน 1 ใน 4 ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้หรือไม่ และจะเสร็จประมาณวันที่ 18 เม.ย.นี้


 



สำหรับรายละเอียด คำร้องที่ยื่นถอดถอน ระบุว่า นายอภิสิทธิ์ มีคำสั่งมอบอำนาจให้นายสุเทพ ไปเป็นประธานกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) และประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) แม้จะออกคำสั่งโดยอ้างอำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมาตรา 9-12 มาตรา 15 และมาตรา 38 โดยผ่านความเห็นชอบของ ครม. แต่พิจารณาแล้วเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย


 



เนื่องจาก พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เป็นกฎหมายกลางที่ใช้บังคับทั่วไป สำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ถือเป็นกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับข้าราชการตำรวจ ซึ่ง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับต่างเป็นกฎหมาย ที่มีลำดับชั้นเท่ากัน


 



ดังนั้น หากเรื่องใดที่ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วก็ต้องใช้บังคับตามนั้น และใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติก็กำหนดให้นายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก.ต.ช. และประธาน ก.ตร.โดยตำแหน่ง จึงไม่อาจมอบหมาย และมอบอำนาจให้นายสุเทพ ในฐานะรองนายกฯ เป็นประธานมาประชุมแทนได้ หากจะทำได้ก็ต้องทำในฐานะผู้รักษาราชการแทนนายกฯ เท่านั้น


 



ดังนั้น การออกคำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายบริหารกลับออกคำสั่งฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติเสียเอง จึงถือได้ว่ามีพฤติการณ์ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ ขัดต่อบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ มาตรา 270


 



ส่วนนายสุเทพ นั้น มีตำแหน่งเป็นถึงรองนายกฯ ย่อมทราบถึงระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินดี เมื่อรู้ว่าตนเองไม่มีอำนาจเข้าร่วมประชุมในฐานะประธาน ก.ตร.แล้วยังฝ่าฝืน เข้าร่วมประชุม และมีมติในเรื่องต่างๆ โดยไม่มีอำนาจจึงถือได้ว่ามีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 270 เช่นเดียวกัน



นอกจากนี้นายสุเทพ ยังมีพฤติการณ์กระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญจากกรณีมีคำสั่งถึง รมว.วัฒนธรรม เพื่อส่ง ส.ส.ปชป. และบุคคลอื่นไปช่วยราชการที่กระทรวงวัฒนธรรม ทั้งๆ ที่ไม่ได้กำกับดูแลกระทรวงวัฒนธรรม เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 มีเจตนารมณ์แยกอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ในลักษณะตรวจสอบถ่วงดุล เพราะฝ่ายนิติบัญญัตินอกจากมีอำนาจในการตรากฎหมายแล้ว ยังต้องควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินด้วย


 



มาตรา 122 บัญญัติให้ ส.ส. และ ส.ว.ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เพราะฉะนั้น จึงได้บัญญัติมาตรา 265 ห้ามไม่ให้ ส.ส. และ ส.ว.ดำรงตำแหน่ง หรือทำหน้าที่ในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ ขณะที่ มาตรา 266 ห้ามไม่ให้ใช้สถานะหรือตำแหน่งเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้าง



ดังนั้น หากมีการกระทำฝ่าฝืนอาจจะส่งผลให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงด้วยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 (6) จึงถือได้ว่านายสุเทพ มีพฤติการณ์ส่องว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แม้ต่อมาจะอ้างว่าได้ถอนเรื่องดังกล่าวแล้วก็ตามแต่ถือว่าเป็นการพฤติการณ์ที่ได้เกิดขึ้นและสำเร็จลงแล้ว จึงต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง


 


ศาลปกครองตัดสิน"เดือนเต็มดวง" พ้นตำแหน่ง"นายกเล็ก"เชียงใหม่


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : ร.อ.หญิง เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ พร้อมนายธวัชวงศ์ นางกิ่งกาญจน์ ณ เชียงใหม่ บิดามารดา ได้เดินทางไปยังศาลปกครองเชียงใหม่ เพื่อรับฟังคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด กรณี ร.อ.หญิง เดือนเต็มดวง ได้ร้องต่อศาลปกครองเพื่อให้คุ้มครองสิทธิและฟ้องร้องต่อศาล กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง (กกต.กลาง) และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงใหม่ (กกต.เชียงใหม่) ได้ประกาศตัดสิทธิเลือกตั้ง ร.อ.หญิง เดือนเต็มดวง โดยให้เหตุผลว่าขาดคุณสมบัติ


 



สำหรับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ต่อคดีดังกล่าว ปรากฏว่าศาลได้สั่งให้คดีเป็นโมฆะ ส่งผลให้ ร.อ.หญิง เดือนเต็มดวง ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ทันที และต้องมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วันตามกฎหมาย


 



ทั้งนี้คดีดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อเดือนมิ.ย.2550 ร.อ.หญิง เดือนเต็มดวง ได้ยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องภายหลัง ผอ.กกต.เทศบาลนครเชียงใหม่ และ กกต.ได้ประกาศตัดสิทธิการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ เนื่องจากใช้ใบเสียภาษีโรงเรือนเป็นหลักฐานในการยื่นสมัครว่าได้อยู่อาศัยในเชียงใหม่ ไม่ถูกต้องตามระเบียบของผู้สมัครตามที่กฎหมายกำหนด  แต่ระหว่างการฟ้องร้องผลปรากฏว่า ร.อ.หญิง เดือนเต็มดวง ชนะการเลือกตั้งและทำหน้าที่นายกเทศมนตรีรวมระยะเวลาเกือบ 2 ปี


 



ร.อ.หญิง เดือนเต็มดวง เปิดเผยว่า ตนได้ทำตามระเบียบของ กกต.ทุกอย่างที่กำหนดไว้ และที่ผ่านมาเคยมีผู้สมัครรับเลือกตั้งรายอื่นใช้หลักฐานในการลงสมัครในลักษณะเดียวกับตน แต่ก็สามารถอยู่ในตำแหน่งได้ อย่างไรก็ตามตนยอมรับกับคำตัดสินของศาล โดยจะไม่ไปยื่นร้องเรียนหรือต่อสู้ใดๆ อีก แต่จะใช้เวลาเตรียมตัวในการลงรับสมัครเลือกตั้งนายกเทศมนตรีในครั้งต่อไป ซึ่งมั่นใจว่าจากผลงานที่ผ่านมาในการบริหาร จะส่งผลให้ตนได้กลับมาเป็นนายกเทศมนตรีอีกครั้ง


 



"เรื่องนี้เป็นปัญหาด้านข้อกฎหมาย ส่วนตัวเชื่อว่าได้ยื่นเอกสารแสดงคุณสมบัติลงรับเลือกตั้งตามข้อกำหนดของ กกต.ทุกประการ และที่ผ่านผู้สมัครรายอื่นๆ ก็ยื่นเอกสารการเสียภาษีโรงเรือนเหมือนกัน ซึ่ง กกต.ก็รับรองสิทธิ์ให้ ดังนั้นการตัดสินของศาลครั้งนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานในกรณีต่อๆ ไป"


 



ไอเอ็มเอฟชี้ปีนี้ ศก.ไทยทรุดหนักจีดีพีติดลบ2-4%-ห่วงการเมืองป่วนแผนฟื้นสะดุด


เว็บไซต์คมชัดลึก : นายนิสสันเก้ วีระซิงห์ ที่ปรึกษาจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประจำเอเชีย-แปซิฟิก เปิดเผยภายหลังการหารือกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะหดตัวรุนแรง ติดลบระหว่าง 2%-4% จากการตั้งสมมติฐานที่ว่า หากไทยไม่เกิดปัญหาใหญ่ทำให้สะดุดในการดำเนินนโยบาย ทั้งการเงินและการคลังให้เป็นผลสำเร็จด้วยความต่อเนื่องและไม่เปลี่ยนแปลง และการเมืองยังคงมีเสถียรภาพ แต่หากเศรษฐกิจโลกยังถดถอยต่อเนื่อง หรือยืดเยื้อกว่าคาดการณ์ไว้ ย่อมส่งผลกระทบต่อการเติบโตและจีดีพีของไทยได้


 


อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางคาดว่าไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวได้ ด้วยการส่งออกและการลงทุนจากภาครัฐ และต้องกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนด้วย การลงทุนของภาครัฐนับว่าสำคัญในการช่วยให้จีดีพีเติบโตตลอด 2-3 ปีข้างหน้า และจำเป็นอย่างมากที่ต้องผลักดันโครงการสาธารณูปโภคให้เกิดขึ้นและดำเนินต่อไป จะต้องมีการลงทุนเอกชน การบริโภคฟื้นตัวพร้อมกับรายได้คนไทยสูงขึ้น การลงทุนเทียบจีดีพีซึ่งต่ำมากขณะนี้ แต่จากนี้ไปการลงทุนควรปรับขึ้นอย่างมากในระยะกลาง


 


นายวีระซิงห์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลไทยจำเป็นต้องวางแผนงบประมาณ ต้องใช้การคลังขนานใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ด้วยคาดการณ์จัดเก็บรายได้พลาดเป้า ทำให้ไอเอ็มเอฟประเมินการขาดดุลงบประมาณน่าจะอยู่ที่ 4.5% ของจีดีพี ซึ่งการขาดดุลงบประมาณระดับนี้ เมื่อพิจารณาจากหนี้สาธารณะของประเทศแล้วยังต่ำ ถือว่ารับได้หรือยังอยู่ในกรอบยั่งยืนทางการคลัง ซึ่งมูลหนี้ส่วนนี้ยังช่วยให้ไทยอยู่บนเส้นทางเติบโตต่อเนื่องได้


 


"ปัญหาท้าทายรออยู่จะเป็นเรื่องทำอย่างไรให้นโยบายการคลังต่อเนื่องรวดเร็วและเกิดผลสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ ในระยะกลางจำเป็นอย่างมากที่โครงการสาธารณูปโภคภาครัฐควรดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ให้สอดคล้องกับการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองของรัฐเมื่อเร็วๆ นี้" นายวีระซิงห์กล่าว


 


นายวีระซิงห์ กล่าวว่า แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ถือว่าดีกว่าเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเกิดใหม่ย่านเอเชีย เชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ และคาดว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ 1% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำว่าจะฟื้นตัวได้มากน้อยเพียงใด


 


ชายแดนระอุ"ไทยปะทะเขมร" ทหารดับ2เจ็บ10-บัวแก้วประท้วง


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : เกิดเหตุกองกำลังทหารไทยและทหารกัมพูชาปะทะกัน เมื่อวานนี้ (3 เม.ย.) ถึงสองรอบ ทำให้ทหารเสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย โดยการปะทะครั้งแรกเกิดขึ้นตอนเช้าระหว่างเดินลาดตระเวนพบกันที่บริเวณร่องตามาเลีย ลำห้วยเอนอ้า หรือผาพญาอินทรีย์ ห่างจากปราสาทพระวิหารไปทางด้านทิศตะวันตกประมาณ 3 กิโลเมตร และเป็นจุดที่ จ.ส.อ.สุวัฒน์ ชนะบูรณ์ อายุ 46 ปี ตำแหน่ง ผบ.หมู่ปืนกล หมวดปืนเล็กที่ 2 พัน ร.162 ร้อย ร.1632 ค่ายบดินทร์เดชา จ.ยโสธร เหยียบกับระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาซ้ายขาด ขณะออกเดินลาดตระเวนเมื่อเช้าวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา


 



เหตุปะทะดังกล่าว เกิดขึ้นเวลา 07.00 น.โดยยิงปะทะกัน 5 นาทีจึงสงบลง จากการตรวจสอบไม่มีผู้บาดเจ็บ ซึ่งสาเหตุปะทะครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ จ.ส.อ.สุวัฒน์ เหยียบกับระเบิดขาขาด จากนั้นทหารกัมพูชาได้ยิงปืน ค.มาตกที่ฐานปฏิบัติการ ตชด.เก่า 1 ลูก ห่างจากปราสาทพระวิหารทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 1 กิโลเมตร โชคดีไม่มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทหารกัมพูชาได้พูดจายั่วยุต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการโต้ตอบ แต่ทหารไทยไม่ตอบโต้ และช่วงเช้าวันที่ 3 เม.ย.ลาดตระเวนเจอกันได้ยิงปืนอาก้าเข้าใส่ชุดลาดตระเวนของทหารไทยกว่า 10 นัด จนเกิดการยิงโต้ตอบดังกล่าว


 



ต่อมาเวลา 11.00 น. พล.ต.ธวัชชัย สมุทรสาคร รองแม่ทัพภาคที่ 2 ได้เดินทางไปเจรจากับ พล.ท.สะไล ดึ๊ก ผบ.พล.ที่ 3 กองกำลังทหารกัมพูชาที่บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาระ จ.ศรีสะเกษ เพื่อรับทราบสถานการณ์และเหตุผลที่สองฝ่ายยิงปะทะกัน


 



อย่างไรก็ตาม วันเดียวกัน เวลา 14.30 น.เกิดเหตุปะทะกันขึ้นอีกครั้งบริเวณภูมะเขือ และทางขึ้นปราสาทพระวิหาร ผลการปะทะทำให้ตลาดและชุมชนกัมพูชาตรงทางขึ้นปราสาทพระวิหารถูกระเบิดถล่ม และเกิดเพลิงไหม้เสียหาย โดยการปะทะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเหตุการณ์จึงสงบ โดยทหารฝ่ายไทยเสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 10 นาย ทั้งนี้ พล.ต.ธวัชชัย สมุทรสาคร รองแม่ทัพภาคที่ 2 ได้เข้าไปเคลียร์พื้นที่บริเวณจุดปะทะที่เกิดขึ้นอีกครั้ง


 



นายเขียว กัณหะฤทธิ์ โฆษกรัฐบาลกัมพูชา เปิดเผยกับสำนักข่าวต่างประเทศ วานนี้ (3 เม.ย.) มีทหารกัมพูชา 2 นาย เสียชีวิตจากเหตุการณ์ยิงปะทะกับทหารไทย บริเวณพื้นที่พิพาทชายแดน โดยทหารทั้งสองฝ่ายยิงตอบโต้กันอย่างหนักหน่วง และการยิงปะทะกันดำเนินต่อไปในพื้นที่อย่างน้อย 2 แห่ง ขณะที่นายไพ สีพัน โฆษกรัฐบาลกัมพูชา อ้างว่า เกิดการปะทะกันเล็กน้อยหลังจากทหารไทยหลายสิบนายล่วงล้ำเข้าไปในเขตแดนกัมพูชา


 



นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศ เตรียมที่จะดำเนินการประท้วงทางการกัมพูชา กรณีเหตุปะทะกัน ระหว่างทหารตามแนวชายแดนในพื้นที่ใกล้กับเขาพระวิหาร โดยยืนยันว่า การปะทะดังกล่าว ทางทหารกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาในฝั่งไทยและเป็นฝ่ายเริ่มต้นยิงก่อน


 



ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงเหตุการณ์ว่า เป็นเรื่องความเข้าใจผิดระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้โทรศัพท์พูดคุยกับสมเด็จ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาแล้ว ไม่มีปัญหา ซึ่งการแก้ไขปัญหาบริเวณเขาพระวิหาร ได้หารือกันในทุกระดับซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย เห็นตรงกัน และเข้าใจกันดีว่าจะอยู่ร่วมกันโดยใช้การเจรจา ไม่มีเจตนาจะใช้กำลัง ดังนั้นจะพูดคุยกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก


 



อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ภายหลัง ปฏิเสธว่าไม่ได้คุยกับสมเด็จ ฮุนเซน เพียงแต่ประสานงานกันเท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝ่าย ได้คุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นอุบัติเหตุ เป็นความเข้าใจผิดของคนระดับล่าง


 



จีดีพีติดลบส่งสัญญาณอสังหาฯวูบ10%


เว็บไซต์ข่าวสด : นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวในงานสัมมนา "วิเคราะห์พฤติกรรม : ใครซื้อคอนโดฯ แนวรถไฟฟ้า" จัดโดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ว่า ภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้อาจส่งผลกระทบให้ยอดขายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี "52 มีโอกาสถดถอยตั้งแต่ 0 ถึงติดลบ 10% โดยอิงจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่ปีนี้คาดการณ์กันว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) จะติดลบ 2.5% ส่วนสภาพตลาดคอนโดมิเนียมคาดว่ายอดขายจะกระทบมากกว่าโครงการที่อยู่อาศัยทั้งตลาด เนื่องจากคอนโดมิเนียมที่ซื้อในปีนี้ และยังไม่ได้เริ่มลงมือก่อสร้าง จะไม่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านมาตรการยกเว้นภาษีอสังหาริมทรัพย์ และมาตรการลดหย่อนภาษี 2 แสนบาทของรัฐบาล อีกทั้งยังมองว่าในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่อยู่ในภาวะปกติทำให้ผู้บริโภคที่ยังไม่จำเป็นในการซื้อที่อยู่อาศัยอาจชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปก่อน แต่ยังเชื่อว่ายังมีผู้บริโภคบางส่วนที่มีความจำเป็นก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้


 



นายอธิปกล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่พบว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในขณะนี้ มีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี "40 ที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงถึง 6 เท่า แต่ที่กำลังเป็นอุปสรรคกับธุรกิจในขณะนี้คือ ยอดลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาพุ่งขึ้นไปสูงถึงกว่า 20% รวมถึงปัญหาที่เกิดจากลูกค้าชะลอการโอน เนื่องจากปัจจุบันเป็นช่วงรอยต่อระหว่างการต่ออายุมาตรการยกเว้นภาษีอสังหาริมทรัพย์ ที่เดิมสิ้นสุดเมื่อวันที่ 28 มี.ค.52 ที่ผ่านมา และต่ออายุออกไปอีก 1 ปี ทำให้ผู้บริโภคที่กำหนดจะโอนบ้านและคอนโดมิเนียมในช่วงนี้ต้องทดลองจ่ายค่าธรรมเนียมภาษีอสังหาริมทรัพย์ไปก่อน เพื่อขอคืนภาษีในภายหลัง ซึ่งล่าสุดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าหลังเทศกาลสงกรานต์ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ได้อีกครั้ง


 



อานันท์ ชี้ วิกฤตศก.รอบนี้ หนักกว่าปี 40


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์  : นายอานันท์ ปันยารชุน กรรมการอิสระ และกรรมการกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจไทยในครั้งนี้หนักกว่าเมื่อเทียบกับปี 2540 เพราะปัญหาระบบการเงินของแบงก์เริ่มต้นจากสหรัฐฯ และแพร่ขยายไปยุโรปและลุกลามมายังไทย ซึ่งครั้งนี้เป็นวิกฤตในระบบการผลิตของไทย โดยภาคอุตสาหกรรมที่คิดเป็น 40% ของจีดีพี และถือเป็นสัดส่วนที่สูง ส่วนใหญ่คือภาคการส่งออก ซึ่งหากประเทศฝั่งอเมริกา และยุโรปมีปัญหา ก็จะทำให้ความต้องการในส่วนของสินค้าลดลง จึงมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจการผลิต การส่งออก และการท่องเที่ยวโดยตรง


 



อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าโชคดีเนื่องจากระบบธนาคารในประเทศยังถือว่าดีอยู่ เพราะมีเกราะป้องกันหลังจากเผชิญปัญหาปี 2540 ทำให้ระบบธนาคารมีเสถียรภาพและมั่นคง


 



"ด้านปัญหาการเมืองภายในประเทศนั้น มองว่าความระส่ำระสายมีมากอย่างต่อเนื่อง 3-4 ปีแล้ว การปรับตัวของเราก็น่าจะมีกันมาต่อเนื่อง แต่ปัญหาแต่ละช่วงเวลาอาจจะแตกต่างกันตรงที่ความหนักแน่นและความลึกซึ่งของปัญหา แต่มันก็อยู่ในวิสัยจะแก้ปัญหากันเองได้ มันก็เหมือนกับการที่คนเราดำเนินชีวิต เราสร้างตัวปัญหาขึ้นมาเอง เราก็ต้องสร้างทางออกขึ้นมาเอง ก็เชื่อมั่นคนไทยจะสามารถแก้ปัญหากันไปได้" นายอานันท์ กล่าว


 



วัยชรา 60 ปีขึ้นไปเฮ ได้ค่าฟอกไต 1.7 พัน


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ : สถานพยาบาลดูแลผู้ป่วยไตวัยชรา 60 ปีขึ้นไปเฮสปสช. เพิ่มค่าฟอกไตเป็น 1,700 บาท   นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ผลการหารือกับสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย เรื่องค่าบริการฟอกเลือดโดยเครื่องไตเทียมได้ข้อสรุป จะเพิ่มอัตราค่าบริการฟอกไตสำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโรคแทรกซ้อนอื่นร่วมด้วย จาก 1,500 บาทต่อครั้ง เป็น 1,700 บาทต่อครั้ง


 



ทั้งนี้ จะเสนอประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ พิจารณาในเดือนเม.ย.นี้ และคาดว่าจะประกาศใช้ได้ในเดือนพ.ค.นี้ แต่ประชาชนก็ยังต้องมีส่วนร่วมจ่าย 500 บาทต่อครั้งเหมือนเดิม


 



อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคไตที่ใช้วิธีการรักษาด้วยการฟอกเลือดประมาณ 6,000 คน ในจำนวนนี้มีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปประมาณ 1 ใน 3 หรือ 2,000 คน ส่วนการล้างไตทางช่องท้องให้กับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่ สปสช.ขยายสิทธิเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2551 เป็นต้นมา สามารถให้บริการผู้ป่วยได้กว่า 2,300 คน


 



ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2552 จะมี ผู้ป่วยใช้บริการล้างไตผ่านช่องท้องรวมทั้งปีประมาณ 3,000 คน มีค่าใช้จ่ายคนละ 2 แสนบาทต่อปี ตั้งงบประมาณสำหรับปี 2552 ไว้จำนวน 600 ล้านบาท



สำหรับในปีงบประมาณ 2552 มีการตั้งงบประมาณ 1,500 ล้านบาท ในการบริการการทดแทนไตทั้ง 3 วิธี คือ การล้างไตผ่านทางช่องท้อง การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการปลูกถ่ายไต ซึ่งไทยมีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังประมาณ 2.5 หมื่นคน อยู่ในระบบบัตรทอง 1 หมื่นคน 


 



ชาญวิทย์ เกษตรศิริ รับเข็มเกียรติยศ มธ.52


เว็บไซต์มติชน : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มอบเข็มเกียรติยศ ประจำปี 2552 แด่ อาจารย์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี ในโอกาสครบรอบ 75 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัย โดยกำหนดจัดพิธีมอบเข็มเกียรติยศ ในวันที่ 27 มิถุนายน 2552


 



ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า มหาวิทยาลัยมีการมอบเข็มเกียรติยศแก่ศิษย์เก่า หรือผู้ที่เคยทำงานให้มหาวิทยาลัย และทำคุณประโยชน์ แก่สังคมเป็นอย่างมากเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการยกย่องและเชิดชูเกียรติศิษย์เก่า โดยมีหลักเกณฑ์ คือ ต้องเป็นศิษย์เก่าหรือผู้ที่เคยทำงานให้กับมหาวิทยาลัย ทำคุณประโยชน์แก่สังคมอย่างมาก และเป็นผู้มีจริยธรรมอันปรากฏเด่นชัด


 



เนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยได้พิจารณาให้อาจารย์ ดร.ชาญวิทย์เป็นผู้สมควรได้รับเข็มเกียรติยศ ประจำปี 2552


 



อาจารย์ ดร.ชาญวิทย์ เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2537-2538  สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาการทูต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท M.A. Diplomacy and World Affairs, Occidental College, Los Angeles ปริญญาเอก Ph.D. Southeast Asian History, Cornell University, Ithaca, New York


 



เป็นผู้มีบทบาทสำคัญทั้งด้านวิชาการและการบริหารของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาทิ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา เป็นผู้ก่อตั้งโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาตลอดจนมีผลงานศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยและประเทศเพื่อนบ้าน และงานเขียนจำนวนมาก อาทิ 14  ตุลา บันทึกประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น 600 ปี เจ้านโรดม สีหนุกับนโยบายความเป็นกลางของกัมพูชา ฯลฯ รวมทั้งบทความวิชาการที่ทรงคุณค่าอีกมากมาย จนคณะกรรมการกองทุนศรีบูรพามีมติให้ อาจารย์ ดร.ชาญวิทย์ได้รับรางวัลศรีบูรพา ประจำปี 2552 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบสำหรับศิลปิน นักคิดนักเขียน และนักหนังสือพิมพ์ ผู้มีผลงานอันทรงคุณค่ามีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง อีกด้วย


 



อาจารย์ ดร.ชาญวิทย์เป็นผู้มีจริยธรรมของอาจารย์อย่างเด่นชัดในตลอดระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำที่คณะศิลปศาสตร์


 



หลังจากได้เกษียณอายุราชการก็ยังปฏิบัติภาระหน้าที่ของการเป็นครูที่ดีและมีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการสอนและส่งเสริมความรู้ อบรมบ่มเพาะศิษย์รุ่นต่างๆ อย่างไม่ย่อท้อนานต่อเนื่องมากว่า 3 ทศวรรษ โดยมีจริยธรรมอันเด่นชัด คือ ความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพและวิชาการ


 



นอกจากนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าอาจารย์ ดร.ชาญวิทย์ บำเพ็ญตนในอันที่เกื้อหนุนและเป็นประโยชน์ต่อมหาชนและสังคมไทยและสังคมภูมิภาคอุษาคเนย์อย่างต่อเนื่องมากมาย ด้วยจิตใจเสียสละและไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ยืนหยัดกระทำความจริงในประวัติศาสตร์ให้ปรากฏ



ที่สำคัญเหนืออื่นใด คือ เป็นผู้ยึดมั่นในหลักการและอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองอย่างเหนียวแน่นและเต็มเปี่ยม


 



แม่เมาะจวกกฟผ.หักหลังยื่นอุทธรณ์


เว็บไซต์ข่าวสด : จากกรณีศาลปกครองเชียงใหม่ สั่งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จ่ายชดเชยค่าเสื่อมสุขภาพให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นควัน รายละ 246,900 บาท จำนวน 437 ราย หลังพบค่าก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอากาศเกินมาตรฐานมาตลอด 7 ปี ต่อมาวันที่ 27 มี.ค. นางมะลิวรรณ นาควิโรจน์ เลขาธิการเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ และชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากมลพิษโรงไฟฟ้าแม่เมาะ 50 คน เข้าพบนายสมบูรณ์ ศรีพัฒนาวัฒน์ ผู้ว่าฯลำปาง เพื่อขอความช่วยเหลือส่งเรื่องที่ชาวบ้านร้องขอ ไปยังผู้บริหารกฟผ. 3 ประเด็น คือ 1.ขอให้กฟผ.จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนตามคำพิพากษาของศาลปกครองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา 2.ขอให้กฟผ.ปฏิบัติตามที่ได้เคยแถลงว่าจะไม่อุทธรณ์ กรณีจ่ายค่าชดเชยแก่ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน และ 3.ขอให้กฟผ.เห็นแก่มนุษยธรรม อย่าเอาชนะชาวบ้านด้วยการยื่นอุทธรณ์เพื่อขอความเห็นใจและหวังว่ากฟผ.จะไม่ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล ตามที่เสนอไปแล้วนั้น


 



ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 1 เม.ย. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ในประเด็นที่ศาลวินิจฉัยว่า กฟผ.ละเลยหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยนางมะลิวรรณเปิดเผยว่า เมื่อทราบข่าวว่ากฟผ.ยื่นอุทธรณ์รู้สึกตกใจมาก ไม่คิดว่ากฟผ.จะอุทธรณ์ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาวนานและเป็นความเดือดร้อนของชาวบ้านทั้งเรื่องสุขภาพ มีชาวบ้านป่วยและเสียชีวิตไปจำนวนมากแล้ว ซึ่งชาวบ้านเรียกร้องมาโดยตลอด แต่ไม่ได้รับการแก้ไขใดๆ จนต้องนำคดีไปฟ้องศาลตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา เมื่อศาลตัดสินออกมาว่า กฟผ.ต้องเยียวยาชดเชยชาวบ้านดีใจมาก โดยในตอนแรกกฟผ.ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่าจะไม่อุทธรณ์ แต่วินาทีสุดท้ายกฟผ.กลับลำหักหลังชาวบ้านด้วยการอุทธรณ์ รู้สึกว่าเป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง ชี้ชัดได้ว่ากฟผ.ไม่มีความจริงใจกับชาวบ้านเลย


 



โดยอ้างว่าอุทธรณ์ตามกฎหมายเพื่อปกป้ององค์กรของตนเอง แสดงว่ากฟผ.แสวงหาผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว ไม่เห็นแก่มนุษยธรรมและชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ไม่สำนึกในความรับผิดชอบ การนำเสนอโฆษณาที่บอกว่ากฟผ.ทำเพื่อคนไทยนั้นไม่เป็นความจริงเลย เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ตนคิดว่าต่อไปนี้ไม่ว่ากฟผ.จะไปสร้างโรงไฟฟ้าที่ไหน ในพื้นที่นั้นมวลชนจะลุกขึ้นต่อสู้อย่างเต็มที่ เพราะเขาคงไม่อยากเจ็บปวดและสายเกินแก้ เหมือนอย่างกรณีชาวบ้านแม่เมาะ กฟผ.ไม่เคยมีความจริงใจกับชาวบ้าน ที่ได้บอกมาทุกๆ อย่างเป็นการโกหกทั้งนั้น และผู้บริหารก็ไม่มีมนุษยธรรมแม้แต่คนเดียว


 


ตร.300นาย บุกรวบแกนนำสลายม็อบยึดสวนปาล์ม


เว็บไซต์มติชน : พล.ต.ต.เทศา ศิริวาโท ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี นำกำลังตำรวจประมาณ 300 นาย พร้อมหมายศาล เข้าตรวจค้นสวนปาล์มน้ำมันบริษัท พันธุ์ศรี จำกัด ริมถนนเซ้าท์เทิร์นซีบอร์ด หมู่ที่ 2 ต.อรัญคามวารี อ.เคียนซา เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 3 เมษายน จับกุมนายสุภาพ เฮ่าสกุล อายุ 50 ปี และนายสันติ จินดา อายุ 47 ปี แกนนำม็อบสวนปาล์ม เรียกร้องที่ทำกินในนามกลุ่มคนรักชาติ ตามหมายจับศาลอาญาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ข้อหาฝ่าฝืนขัดคำสั่งศาลและข้อหาบุกรุกครอบครองพื้นที่ผู้อื่น พร้อมแจ้งให้ชาวบ้านที่ชุมนุมอยู่ออกจากพื้นที่ โดยนายโมรา มีเพ่งจันทร์ อายุ 48 ปี แกนนำคนสำคัญหลบหนีไปได้ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากบริษัทพันธุ์ศรี เช่าสัมปทานที่ดินจากกรมป่าไม้ปลูกสวนปาล์ม ยังไม่หมดสัญญาเช่า แต่ถูกผู้ต้องหานำกลุ่มชาวบ้านจากหลายจังหวัดในภาคใต้ประมาณ 2,000 คน เข้าบุกยึดพื้นที่สวนปาล์มเพื่อเรียกร้องที่ทำกิน บริษัทจึงร้องต่อศาลสั่งให้นำชาวบ้านออกไป


 


พล.ต.ต.เทศา กล่าวว่า ตรวจสอบภายในที่พักของแกนนำ พบเอกสารบัญชีการเรียกเก็บเงินจากกลุ่มชาวบ้านที่ไปชุมนุมร้องขอที่ทำกินคน ละ 320 บาท เชื่อว่า เป็นการหลอกลวงให้เข้าร่วมชุมนุมเพื่อต้องการที่ดินโดยอ้างว่าเป็นที่หมด สัญญาเช่า หรือสัญญาไม่ถูกต้อง ต้องจับดำเนินคดีข้อหาบุกรุกโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วย


 


ชาวบ้าน อ.บางสะพาน จี้ขอเอกสารสิทธิเขตป่าสงวน


เว็บไซต์มติชน : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่หน้าที่ว่าการอำเภอบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชาวบ้าน อ.บางสะพาน อ.บางสะพานน้อย กว่า 1,000 คน นำโดย นายสนอง ภู่เขียว อดีตประธานสหกรณ์นิคม อ.บางสะพาน แกนนำกลุ่มพิทักษ์ที่ดินทำกิน 60 ปี ไม่มีเอกสารสิทธิ เข้ายื่นหนังสือต่อนายธวัชชัย วิสมล นายอำเภอบางสะพาน เรียกร้องให้ 1.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติคลองกรูด-ไชยราช และป่าพรุน้ำเค็ม 2.ให้ ทส.มอบที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้กรมที่ดินนำไปออกเอกสารสิทธิ นส.3 หรือโฉนดที่ดิน เพื่อให้ราษฎรมีสิทธิในที่ดินอย่างถูกกฎหมาย และ 3.ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาออกเอกสารสิทธิให้ชาวบ้านมีที่ดินทำกินต่อไป


 


นายธวัชชัย กล่าวว่า การออกเอกสารสิทธิอยู่ในขั้นดำเนินการ มีคณะทำงาน 3 ทีม คือเกษตรจังหวัด ป่าไม้จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ลงสำรวจสภาพพื้นที่ รวบรวมข้อมูลที่ดินที่ชาวบ้านครอบครองที่แท้จริง ก่อนส่งข้อมูลให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม ได้ขอให้เทศบาลตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตั้งงบประมาณ ตามจำนวนแปลงที่ดินแต่ละพื้นที่ เพื่อดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี ขณะนี้พื้นที่กลายเป็นวัด โรงเรียน และชุมชน ขนาดใหญ่กว่า 9,000 แปลง เนื้อที่กว่า 1.6 แสนไร่


 


G20บรรลุข้อตกลงมูลค่า$1.1ล้านล.มุ่งแก้ไขวิกฤตศก.-เพิ่มกำกับการเงิน


ASTVผู้จัดการรายวัน : รอยเตอร์ - บรรดาผู้นำของโลกสามารถบรรลุข้อตกลงมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการประชุมซัมมิตกลุ่มจี20 ที่กรุงลอนดอนเมื่อวันพฤหัสบดี(2) เพื่อพลิกฟื้นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบกว่า 70 ปี อีกทั้งประกาศร่วมกันว่าจะเพิ่มการกำกับดูแลระบบการเงินโลก อันเป็นการป้องกันมิให้เกิดวิกฤตเช่นนี้อีกในอนาคต


 


ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯออกมาประกาศว่าการบรรลุข้อตกลงเหล่านี้ ถือเป็น "จุดเปลี่ยน" แห่งเศรษฐกิจโลก แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลอื่น ๆให้คำมั่นว่าจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อต่อสู้กับภาวะชะลอตัวของโลก


 


ขณะที่ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซีแห่งฝรั่งเศส ก็ออกมาแสดงความยินดีต่อการลดอิทธิพลลงเรื่อยๆ ของโมเดลทุนนิยมแบบแองโกล-แซกซอน อันเป็นส่วนผสมระหว่างอังกฤษและอเมริกาซึ่งเน้นการปล่อยเสรีโดยให้มีการกำกับดูแลน้อยที่สุด และตอนนี้ถูกฝ่ายต่างๆ ประณามว่าทุนนิยมแบบนี้เองที่ก่อให้เกิดปัญหาที่โลกเผชิญอยู่ในขณะนี้


 


ตลาดหุ้นทั่วโลกแข่งกันทะยานขึ้นจากความหวังที่ว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ซึ่งจะทำให้ประเทศเหล่านี้เริ่มเห็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาทิ หุ้นยุโรปในวันพฤหัสบดีนั้นพุ่งขึ้นเฉลี่ย 4.9% ส่วนดัชนีสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ในตลาดหุ้นสหรัฐฯก็พุ่งขึ้น 3.73% อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ก็ออกมาเตือนว่า คำมั่นสัญญาของซัมมิตจี20 อาจจะเป็นความฝันสวยงามที่ไม่ยืนยง


 


"เราสามารถตกลงกันได้อย่างชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อนในเรื่องขั้นตอนต่างๆ ที่จะฟื้นฟูอัตราการเติบโต และป้องกันมิให้เกิดวิกฤตเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต" โอบามากล่าวในระหว่างการแถลงข่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมที่กินเวลา 1 วัน "นอกจากนี้เรายังปฏิเสธไม่ยอมรับลัทธิกีดกันการค้าซึ่งอาจทำให้วิกฤตคราวนี้ยิ่งสาหัสขึ้นอีก"


 


จากการประชุมที่ลอนดอนคราวนี้ บรรดาผู้นำประเทศกลุ่มจี 20 ซึ่งประกอบด้วยประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนารายใหญ่ที่สุด สามารถผลักดันการปฏิบัติการต่างๆ ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง อาทิ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้โบนัสของผู้บริหารธุรกิจ, การเปิดเผยรายชื่อดินแดนที่กลายเป็นแหล่งหลบเลี่ยงการเสียภาษี ซึ่งอาจจะนำไปสู่การดำเนินการคว่ำบาตรต่อไป, การออกระเบียบกฎเกณฑ์กำกับดูแลพวกกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และพวกบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ


 


นอกจากนั้น ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่าจะใช้เม็ดเงิน 250,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 2 ปี เป็นมาตรการทางการเงินเพื่อกระตุ้นส่งเสริมการค้า ทำให้เกิดการไหลเวียนของสินค้าเพิ่มมากขึ้น โดย ก่อนหน้านี้องค์การการค้าโลกคาดหมายว่าในปีนี้การค้าโลกจะร่วงลงไปถึง 9% โดยสาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือการที่วิกฤตทางการเงินทำให้เกิดภาวะสินเชื่อตึงตัวทั่วโลก


 


นายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์แห่งออสเตรเลียซึ่งเป็นผู้นำคนหนึ่งที่เข้าประชุมด้วย ได้ออกมากล่าวชื่นชมข้อตกลงนี้ว่า "ข้อตกลงในวันนี้เป็นการเริ่มต้นของการปราบปรามพวกลงทุนด้วยความเสี่ยงมหาศาลในตลาดการเงินที่ได้ทำให้ตลาดต่าง ๆของโลกทรุดลงมา"


 


ตลาดเงินและตลาดทุนซึ่งกำลังโหยหาข่าวดีใหม่ ๆในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังหดตัวติดลบลงเป็นปีแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ต่างก็มีปฏิกิริยาในเชิงบวกต่อมาตรการมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) และการสนับสนุนการค้าโลก ทั้งนี้เม็ดเงินเหล่านี้จำนวนซึ่งยังไม่ทราบชัดเจนแต่คาดว่าน่าจะมากพอดู จะถูกอัดฉีดตรงไปยังพวกประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ ที่กำลังถูกดูดเข้าสู่วังวนแห่งความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจทีละน้อยๆ


 


นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์แห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุมในครั้งนี้ ได้กล่าวว่ารัฐบาลต่าง ๆได้ให้สัญญาไว้แล้วว่า จะอัดฉีดเม็ดเงินราว 5 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของตนเองภายในสิ้นปีหน้า ตั้งแต่ก่อนที่จะมาร่วมประชุมซัมมิตลอนดอนด้วยซ้ำ


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขาดหายไม่มีอยู่ในข้อตกลงของที่ประชุมจี 20 ก็คือระเบียบเฉพาะเจาะจงในเรื่องเกี่ยวกับภาคการเงิน, บรรดาธนาคารจะสามารถสางสินทรัพย์เน่าเสียออกไปได้อย่างไร, รวมทั้งขนาดอันแท้จริงของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประเทศต่าง ๆให้คำมั่นไว้, บราวน์นั้นมิได้ให้รายละเอียดว่าเงิน 5 ล้านล้านดอลลาร์ที่เขาบอกออกมานี้มีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาจากประมาณการก่อนหน้าเพียงหนึ่งวันของเขาซึ่งให้ให้ตัวเลขแค่ราวครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ อันที่จริง ในคำแถลงของประธานาธิบดีโอบามานั้น เขากล่าวถึงเม็ดเงินประมาณ 2 ล้านล้านเท่านั้น ไม่ใช่ 5 ล้านล้าน


 


ในการแถลงข่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม บราวน์ออกมากล่าวว่าไม่มีทางลัดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลก แต่ก็บอกด้วยว่าการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในจี 20 เหล่านี้จะช่วยย่นภาวะเศรษฐกิจชะลอให้สั้นลงและทำให้ไม่มีการปลดพนักงานเพิ่ม


 


กลุ่มจี 20 ระบุไว้ในแถลงการณ์ร่วมว่ามาตรการที่ออกมาจะทำให้ผลผลิตแห่งโลกเพิ่มขึ้นราว 4% เมื่อถึงช่วงปลายปีหน้า


 


"ผมคิดว่าขั้นตอนต่าง ๆในแถลงการณ์ร่วมเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่มันจะเพียงพอต่อการแก้ไขวิกฤตหรือไม่เราก็จำต้องดูกันต่อไป" โอบามากล่าว


 


มะกันเฮยอดขายรถมี.ค.เพิ่ม24%


เว็บไซต์มติชน : เอเอฟพีรายงานว่า จากข้อมูลของบริษัท ออโต้ ดาต้า ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยการตลาดของสหรัฐ ระบุว่า ในเดือนมีนาคมยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในตลาดสหรัฐอเมริกา มีจำนวน 857,735 คัน เพิ่มขึ้น 24.5% เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณแห่งความหวัง แม้ว่าจะยังลดลงมากถึง 37% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วก็ตาม เพราะอย่างน้อยก็ชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีความสำคัญสูงต่อเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มจะคงที่แล้ว ทำให้คาดว่ายอดขายตลอดปีนี้จะอยู่ที่ 9.86 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากการประเมินเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่คาดว่าจะมีเพียง 9.12 ล้านคัน


 



นายเจสเซ่ โทพราค นักวิเคราะห์ของบริษัทวิจัยรถยนต์เอ็ดมุนส์ดอทคอม กล่าวว่า แม้ยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นจะไม่ได้หมายถึงว่าตลาดถึงจุดต่ำสุดในเดือนกุมภาพันธ์ แต่การที่ยอดขายเพิ่มขึ้นในเดือนมีนาคม ชี้ให้เห็นว่าปัญหาหลักของอุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่ก็คงรอให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอีกหลายเดือนจึงจะสามารถสรุปว่าถึงจุดต่ำสุดแล้ว


 



ด้านเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) บริษัทรถยนต์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ของจีเอ็มในเดือนมีนาคม มีจำนวน 156,380 คัน เพิ่มขึ้น 23% แม้ว่าจะยังคงลดลง 45% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งนายมาร์ค ลานีฟ รองประธานจีเอ็มระบุว่า อุตสาหกรรมรถยนต์มีสัญญาณฟื้นตัวแล้ว ขณะเดียวกันบริษัทมีกำลังใจที่ดีจากมาตรการของรัฐบาลที่จะสร้างเสถียรภาพอุตสาหกรรมนี้และกระตุ้นความต้องการของตลาด


 



ส่วนฟอร์ดมอเตอร์ระบุว่า ยอดขายในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนยอดขายของรถยนต์ญี่ปุ่นในสหรัฐ เช่น โตโยต้าเพิ่มขึ้น 16.3% เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้ นายโจเอล นารอฟฟ์ นักวิเคราะห์แห่งบริษัทที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจนารอฟฟ์ กล่าวว่า เชื่อว่ายอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาจะทำให้ตลาดรถยนต์ไตรมาสที่ 2 ปีนี้เติบโต อย่างไรก็ตาม กว่าจะฟื้นตัวเต็มที่ไปสู่ระดับเดิมที่ยอดขายระดับ 14-15 ล้านคันต่อปี คงใช้เวลาประมาณ 2 ปี


 



ด้านเอพีรายงานว่า หลังจากมีกระแสข่าวว่า นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ อาจให้จีเอ็มใช้วิธียื่นล้มละลายตามมาตรา 11 เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ ล่าสุด นายโอบามาได้ออกมายืนยันว่า จะไม่ปล่อยให้อุตสาหกรรมรถยนต์ล้ม เพราะหากจะมีการใช้แนวทางล้มละลายตามมาตรา 11นั้นก็เป็นไปเพื่อให้บริษัทอยู่รอดเพื่อที่จะสามารถเคลียร์หนี้เดิมออกไปได้อย่างรวดเร็ว


 



รายงานข่าวระบุว่า ยอดขายรถยนต์สหรัฐเดือนมีนาคมที่เพิ่มขึ้น ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 103 จุด หรือ 1.3% ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชีย วันที่ 2 เมษายน ปรับขึ้นค่อนข้างมาก อาทิ ญี่ปุ่น 4.4% ไต้หวัน เพิ่มขึ้น 3% เกาหลีใต้ 3.54% สิงคโปร์ 5.94%


 



ซินเกียงระอุ-บึ้มฆ่าตัว


เว็บไซต์ข่าวสด : เมื่อ 2 เม.ย. ซินหัวของจีนรายงานว่า เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งในเมืองอุรุมฉี มณฑลซินเกียงซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่หนาแน่น มือระเบิดเสียชีวิตและมีพนักงานบริษัทบาดเจ็บ 2 คน ด้านโฆษกรัฐบาลท้องถิ่นซินเกียงและกรมตำรวจเผยว่าไม่ทราบระแคะระคายล่วงหน้ามาก่อนว่าจะเกิดเหตุ ทั้งนี้ ซินเกียงเป็นมณฑลที่เกิดเหตุรุนแรงจากการต่อต้านรัฐบาลจีนคล้ายกับทิเบต เนื่องจากชาวบ้านมีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแตกต่างสิ้นเชิงกับจีน วันเดียวกัน รัฐบาลมีคำสั่งห้ามโพสต์วิดีโอที่มีเนื้อหาเป็นอันตรายต่อการเมืองและศาสนาขึ้นบนอินเตอร์เน็ต หลังจากรัฐบาลขององค์ทะไล ลามะ ผู้นำพลัดถิ่นทิเบตในประเทศอินเดีย เผยแพร่วิดี โอตำรวจทำร้ายพระชาวทิเบตในอินเตอร์เน็ตเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net