ศาลแพ่งสั่งคนเสื้อแดงเปิดทางเข้าออกประตู 8 และประตู 6 ทำเนียบรัฐบาล และให้งดใช้เครื่องกระขายเสียงเวลาราชการ ด้านจตุพรประกาศดีเดย์ชุมนุใหญ่หลังงานกาชาด ตั้งเป้า โค่นพลเอกเปรม และอภิสิทธิ์ ไม่ชนะไม่กลับ
วานนี้ 31 มี.ค. ศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ตามคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินกรณีสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้ยื่นคำร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เปิดทางให้ข้าราชการ และรัฐมนตรีสามารถเข้าไปทำงานภายในทำเนียบรัฐบาลได้ โดยมีคำสั่งให้กลุ่มนปช.เปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล และงดใช้เครื่องขยายเสียงในเวลาราชการ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนฉุกเฉินแล้ว เห็นว่า แม้รัฐธรรมนูญในราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 61 วรรคหนึ่งจะบัญญัติไว้ว่าประชาชนย่อมมีสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ และวรรคสองบัญญัติ ว่าสิทธิการชุมนุมตามวรรคหนึ่งไม่สามารถละเมิดได้
แต่การที่จำเลยทั้ง 3 นำกลุ่มผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาลโดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบฯ ทำให้ข้าราชการตลอดจนเจ้าหน้าที่ ไม่สามารถเดินทางเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสะดวกตามสมควร อีกทั้ง มีการใช้เครื่องขยายเสียงดังตลอดเวลา ซึ่งเป็นการรบกวนการทำงานถือเป็นการใช้สิทธิเกินสมควร
จึงเห็นควรให้นำเอามาตรการคุ้มครองมาใช้ โดยมีคำสั่งให้ จำเลยทั้ง3เปิดถนนลูกหลวง ซึ่งเป็นทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่แยกเทวกรรมถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ และเปิดประตูที่ 6 และ 8 ของทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ข้าราชการของโจทก์ รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และผู้ที่ไปติดต่อราชการสามารถเข้าออกได้ และให้ใช้เครื่องขยายเสียงในความดังที่เหมาะสม ไม่รบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล ในช่วงเวลาทำการวันจันทร์ถึง วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. โดยคำสั่งให้มีผลทันที
การยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนฉุกเฉิน วันนี้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำพยานเบิกความทั้งหมด 4 ปาก ประกอบด้วย นายมงคล แสงหิรัญ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย และระเบียบกลาง นายสมพาศ นิลพันธ์ ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายพงษ์ศักดิ์ ศิริวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักสถานที่ และรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล และพ.ต.ท.นพสิน พูลสวัสดิ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล
ทั้งนี้ พยานต่างเบิกความในทางเดียวกันว่า ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากข้าราชการไม่สามารถเข้าไปทำงานภายในทำเนียบรัฐบาลได้ เพราะมีกลุ่มผู้ชุมนุมขวางกั้นประตูทางเข้า-ออก บริเวณทำเนียบรัฐบาล
นายจตุพร พรหมพัธ์ แกนนำนปช. แถลงกรณีที่ สำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ร้องต่อศาลแพ่ง ขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉิน กรณีที่กลุ่มนปช.ปิดทางเข้าออก ทำเนียบว่า ทาง แกนนำการชุมนุมได้ตั้งทีมกฎหมายเพื่อเตรียมยื่นอุธรณ์ กรณีหากศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว และในระหว่างที่มีการอุธรณ์ ก็พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งของศาลทุกประการ
นายจตุพร กล่าวว่า นปช.จะนัดชุมนุมใหญ่ วันดีเดย์ ภายหลังเสร็จงานกาชาด วันที่ 7 เม.ย. แต่จะเป็นวันไหน ขึ้นอยู่กับการเคลียร์พื้นที่งานการชาด ว่าจะเสร็จวันใด คาดว่าอาจเป็นที่ 9 เม.ย. ซึ่งการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ จะขอความร่วมมือจากนักการเมือง และบรรดาส.ส. เพื่อให้ระดมพลประชาชนทั่วประเทศ มาร่วมชุมนุมที่ส่วนกลาง คาดว่าจะมีผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 2-3 เท่า ขยายพื้นที่ชุมนุมไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า ยาวไปจนถึงบ้านสี่เสาร์เทเวศน์ และอาจมีการตั้งเวที ปราศรัยเพิ่มอีก 1 จุดที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า
อย่างไรก็ตามระหว่างนี้ การชุมนุม ยังคงดำเนินต่อไปทุกวัน โดยมีเป้าหมาย คือ 1 เพื่อโค่นล้มระบอบอมาตยาธิปไตย คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ในฐานะหัวหน้าอมาตยาธิปไตย 2. นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกฯจะต้องออกจากตำแหน่ง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม หากไม่ได้ทั้ง 2 ข้อนี้ จะไม่หยุดชุมนุม หากไม่ชนะก็จะไม่กลับ
"พล.อ.เปรม เป็นหัวหน้านายกฯ หากยังอยู่ ไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นนายกฯ เมื่อไม่ตอบสนอง ก็จะมายึดอำนาจ การที่พล.อ.เปรมอยู่ ยิ่งทำลายพระเกียรติ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนการยื่นถวายฎีกาเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวินิจฉัย จะเป็นมาตรการสุดท้าย เพราะเมื่อยื่นถวายฎีกาแล้ว จะต้องรอพระบรมาชวินิจฉัย จึงเป็นการล๊อคว่า ระหว่างนั้นเราจะไม่สามารถชุมนุมเคลื่อนไหวได้ แต่หากจบด้วยการที่พล.อ.เปรม รับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง ก็จะไม่ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท"นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า การที่กองทัพเตรียมสับเปลี่ยนกำลังหทารทั้ง 21 กองร้อยนั้น ทางแกนนำนปช. ไม่เห็นด้วย เพราะไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนทีเดียวทั้ง 21 กองร้อย เพราะจากบเรียนจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มีการเปลี่ยนกองกำลังเพื่อนำมาสลายการชุมนุม ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงได้งบประมาณมาจากไหน มีค่าใช้จ่ายถึงวันละ 1 ล้านบาทหรือไม่ นายจตุพร เลี่ยงที่จะเปิดเผยค่าใช้จ่ายแต่ละวัน บอกเพียงสั้นๆ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดมากจากเงินที่ได้รับบริจาคจากประชาชน
นายอดิศร เพียงเกษ สมาชิกพรรคไทยรักไทย บ้านเลขที่ 111 ขึ้นปราศรัยว่า การที่คณะรัฐมนตรีไม่สามารถประชุมได้ ถือเป็นชัยชนะขั้นที่หนึ่งของคนเสื้อแดง ซึ่งเป้าหมายสำคัญที่สุดข คือ เอาพล.อ.เปรม และพล.อ.สุนยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ออกจากตำแหน่งประธานและคณะองคมนตรีให้ได้ และในวันศุกร์ที่ 3 เม.ย. นี้ สมาชิกพรรคไทยรักไทยบ้านเลขที่ 111 และพรรคพลังประชาชน 37 คน ที่ยังอยู่ จะมาขึ้นเวทีนี้พร้อมกัน และพร้อมจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนเสื้อแดง
ที่มา: http://www.naewna.com, http://www.posttoday.com, http://www.komchadluek.net
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)