Skip to main content
sharethis

 


 






ในประเทศ


 


 


พท.อัดรัฐมุ่งก่อหนี้จนถังแตก


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 20 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่สอง เป็นการอภิปราย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในข้อหาบริหารราชการผิดพลาดร้ายแรง ขาดคุณธรรมจริยธรรม มุ่งแสวงหาประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายเกินจะเยียวยา



 


นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการบริหารงานของรัฐบาลภายใต้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และ นายกรณ์ เป็นเหตุให้ 1.ประเทศไทยถังแตกจากความประมาท 2.บริหารงานแบบหน้ามืด สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน เพื่อประโยชน์แก่พรรคและพวกตัวเอง 3.สร้างหนี้กู้ยืมเอาประเทศไทยไปจำนำจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว 4.บริหารงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความรู้ความสามารถ ทำคนจน 23 ล้านคน เกษตรกร 24 ล้านคน รอความตายอย่างทุกข์ทรมานและมีหนี้สินพอกพูน



 


นายกรัฐมนตรีมักจะพูดเสมอว่ามาถูกทางแล้ว แต่ที่ผ่านมากลับทำให้ประเทศขาดดุลงบประมาณปี 2552 ถึง 347,060 ล้านบาท โดยเร็วๆ นี้จะมีการแก้ไขกฎหมาย ในมาตรา 21 พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ เพื่อให้สามารถกู้เงินเพิ่มขึ้นได้ รวมไปถึงแก้มาตรา 22 พ.ร.บ.เดียวกัน โดยหวังที่จะสามารถกู้เงินต่างประเทศได้เป็น 10% ของงบประจำปี เพื่อเพิ่มเพดานเงินกู้โดยหวังที่จะกู้ถึง 1.5 แสนล้านบาท



 


"เมื่อเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า ก็จะไปเก็บภาษีบาป อย่างเหล้า ชา กาแฟ สถานบันเทิง ตรงนี้กระทบคนจน ไม่มีเหล้าให้ประชาชนคนจนได้ดื่มกัน ก็อาจจะไปหันไปกินยาบ้าแทน" นายสุรพงษ์ กล่าว



 


"เด็กหนุ่ม 2 คน ทำประชานิยมลอกเลียนแบบทักษิณ ไม่ต้องอาย เพราะมีนิสัยชอบลอกอยู่แล้ว เช่น 5 มาตรการ 6 เดือน ให้ผู้มีรายได้น้อยได้ประโยชน์ ประชาชนได้อย่างทั่วถึง ไม่ต้องอายว่า เป็นวิธีการที่ทักษิณ คิดให้ประชาชน"



 


 


นายกฯยันจำเป็นต้องกู้เงินฟื้นวิกฤติ


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงว่า เศรษฐกิจขณะนี้มีปัญหาทั่วโลก เมื่อการค้าโลกหมดไปเพราะวิกฤติการเงิน ทำให้กำลังซื้อหมด ซึ่งก็จะกระทบต่อ 1.ส่งออกลดลง ทำให้กระทบการว่างงาน 2. การท่องเที่ยวหดตัว 3.การเก็บภาษีลดลง ซึ่งทุกประเทศมีปัญหาเหมือนกันหมด และเป็นปัญหาสืบเนื่องจากกลางปีที่แล้วที่วิกฤติเศรษฐกิจโลกเกิดมาตั้งแต่กลางปีก่อน



 


"เมื่อเจอภาวะเศรษฐกิจคล้ายกับปี 2540-2541 เราก็ต้องมีบทบาทในการกระตุ้น โดยการอัดฉีดเงิน ซึ่งเราก็ต้องมีเงินมาอุดหนุน 3 ทางด้วยกัน คือ การขึ้นภาษี ไม่ใช่แนวทางที่รัฐบาลจะทำ 2.ขายทรัพย์สมบัติของชาติ ก็ไม่อยากทำ และ 3.การกู้เงิน ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ไม่ผิดทำกันทั่วโลก"



 


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อกู้เงินมาแล้วจะอัดฉีดให้ใครนั้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดำเนินการให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม 1.เงิน 2 พันบาทช่วยผู้ทำงานมีรายได้น้อย 2.ภาคเกษตร ที่เพิ่มวงเงินแทรกแซงสินค้าเกษตรเป็น 1.3 แสนล้านบาท 3.ชุมชนพอเพียง ที่ใส่ลงไปทั้งเงินเก่าและใหม่รวมกันกว่า 4 หมื่นล้านบาท 4.ใช้เงินอีกเป็นหมื่นกว่าล้านบาท เพื่อแก้ไขหนี้สินของกองทุนฟื้นฟูหนี้เกษตรกร และ 5.คนตกงานก็มีโครงการต้นกล้าอาชีพรองรับใช้เงิน 6,900 ล้านบาท



 


"ถ้าทำไม่สำเร็จ ผมก็รับผิดชอบ ถ้าบ้านเมืองเสียหาย ผมก็จะไม่อยู่ต่อให้บ้านเมืองเสียหาย นี่คือแนวทางการทำงานของผม" นายกรัฐมนตรี กล่าว



 



 


'กษิต'ยืนกร้านต้าน"นช.แม้ว"


ASTV ผู้จัดการรายวัน : นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้ชี้แจงการอภิรายไม่ไว้วางใจว่า ตนไม่ใช่แกนนำพันธมิตรฯ ไม่เคยไปร่วมประชุมหรือวางแผนใดๆ แต่ได้รับเชิญขึ้นเวทีพันธมิตรฯในฐานะนักวิชาการ เมื่อพูดเสร็จก็กลับบ้าน ขอย้ำว่าตนพร้อมเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามเพื่อต่อต้านเผด็จการ และการปกครองบ้านเมืองที่ไม่ถูกต้อง พูดอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างนั้น ตนต่อต้านระบอบทักษิณ และจะต่อต้านต่อไป ถ้าระบอบทักษิณกลับมาปกครองบ้านเมืองอีก ตนก็จะต่อต้าน



 


"หากฝ่ายค้านไม่ชอบพันธมิตรฯ ก็ขอความกรุณาไปออกรายการเอเอสทีวี หรือพูดกันข้างนอกด้วยวิชาการ อย่าใช้ผมเป็นสะพานเชื่อมเพื่อไปโจมตีพันธมิตรฯ ขอให้สู้กันด้วยอุดมการณ์ ไม่ต้องปาไข่เน่า" นายกษิตกล่าว




 


 


ส.ส.ประชาธิปัตย์ ชี้ พธม. ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายสากล


เว็บไซต์แนวหน้า : นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงกรณีที่ ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนอภิปรายพาดพิง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. โดยกล่าวว่า  ที่ฝ่ายค้านระบุว่ากลุ่มพันธมิตรฯและ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ก่อการร้ายสากลจากการปิดสนามบินเป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอยแต่ตนก็ยอมรับได้



 


ทั้งนี้ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่ครบองค์ประกอบตามกฎหมายจึงถือว่ากลุ่มพันธมิตรฯไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายสากล ส่วนการปิดสนามบินนั้นเกิดจากการสั่งการของผู้อำนวยการสนามบินไม่ใช่กลุ่มพันธมิตรฯตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหา


 



 


"สดศรี" ตั้งข้อสังเกตดีเอสไอสามารถยื่น อสส.สอบยุบ ปชป.ได้ทำไมไม่


เว็บไซต์แนวหน้า : นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงการตรวจสอบเงินบริจาคและการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ที่ดีเอสไอส่งข้อมูลมาให้ว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กิจการพรรคการเมืองที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.สั่งให้ทำความเห็นชะลอการเปิดกล่องเอกสารไว้ก่อน  เนื่องจากการเปิดกล่องเอกสารควรทำในรูปของคณะกรรมการ เพราะถ้าเปิดโดยพลการและต่อมาทางดีเอสไออ้างว่า เอกสารที่กกต.ได้รับขาดหายไปก็จะทำให้เกิดปัญหา จึงคิดว่าควรเสนอเข้าที่ประชุม เพื่อตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ โดยเชิญให้ดีเอสไอมาเป็นพยาน อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นที่ กกต.จะต้องหารือกันว่า ดีเอสไอทำเรื่องนี้มายาวนานจนจบแล้ว เหตุใดจึงส่งเรื่องมาให้กกต.ดำเนินการ เพราะถ้าดีเอสไอเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำผิด ก็สามารถเป็นผู้เสียหายยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดได้ เสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68



 


นางสดศรี กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาดีเอสไออ้างว่า สอบสวนเรื่องนี้ในความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ แต่เท่าที่ดูการสอบสวนของดีเอสไอพบว่า กลับสอบสวนเข้ามาในส่วนที่เป็นความเป็นตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง เพราะตรวจสอบเรื่องกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับ ซึ่งตนคิดว่ากรณีนี้ควรจะเหมือนศาล ที่หากรับคดีที่ไม่อยู่อำนาจไปแล้ว ก็ต้องพิจารณาจนเสร็จสิ้น อีกทั้งเรื่องนี้พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ร้องเข้ามาที่กกต. ดังนั้นดีเอสไอจึงไม่ควรทำเหมือนว่า พอเรื่องนี้เป็นประเด็นร้อนทางการเมืองก็โยนให้คนอื่นรับผิดชอบ อย่างไรก็ตามหาก กกต.ต้องพิจารณาเรื่องดังกล่าว ซึ่งจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจมีการระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้นำเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองที่ได้รับการจัดสรรไปจัดทำโฆษณาตามที่ขออนุมัติไป แต่มีถ่ายโอนไปยังคนใกล้ตัวผู้บริหารพรรคก็คิดว่า กกต.น่าจะตรวจสอบได้ เพราะตอนที่ให้เงินมีการจ่ายเป็นเช็ค เมื่อพรรคประชาธิปัตย์จะใช้ก็ต้องถอนออกมาทั้งก้อน ซึ่งก็ต้องแจ้งรายละเอียดว่า นำไปทำอะไรบ้าง ซึ่งได้รับรายงานเบื้องต้นว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ไปว่าจ้างบริษัท เมสไซอะ จำกัด ทำโฆษณานั้น ไม่มีการทำสัญญาไว้แต่อย่างใด



 


นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต.  กล่าวว่า กรณีนี้คงมีการนำเข้าที่ประชุมกกต.ในสัปดาห์หน้า แต่ยังมีข้อที่น่าเป็นห่วงในส่วนของเอกสารที่ดีเอสไอจัดส่งมาให้นั้น ไม่มีการแจ้งรายการเอกสารที่จัดส่งมาว่า มีเอกสารอะไรบ้าง


 



 


เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง"นพดล พลซื่อ" 5 ปี


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : ที่ศาลฎีกาแผนกคดี  องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำสั่งคดี ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องนายนพดล พลซื่อ ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 พรรคเพื่อแผ่นดิน และนายกิตติพงษ์ พรหมชัยอนันต์ ผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 หมายเลข 8 (ไม่ได้รับเลือกตั้ง) หลังจาก กกต.ให้ใบแดงทั้งสอง กรณีกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พ.ศ.2550 จากกรณีที่มีการขนคนฟังการปราศรัย ที่บ้านสวนของนายเอกภาพ พลซื่อ อาของนายนพดล ที่ จ.ร้อยเอ็ด และมีการจ่ายเงินให้ประชาชนที่มาร่วม โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายนพดล และนายกิตติพงษ์ เป็นผู้ก่อ รู้เห็นเป็นใจหรือสนับสนุน พาประชาชนไปฟังปราศรัย และจ่ายเงินจูงใจให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนให้แก่ตนเอง ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายนพดล พลซื่อ ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 พรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นเวลา 5 ปี และให้มีการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 ใหม่ 1 ตำแหน่ง ตามที่ กกต. ยื่นคำร้อง



 


ทั้งนี้การกระทำความผิดของนายนพดล ไม่ส่งผลให้นำไปสู่การพิจารณายุบพรรคเพื่อแผ่นดิน เนื่องจากในขณะนั้นนายนพดลยังไม่ได้รับตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค



 


 


คลังยันเบิกจ่าย 94%งบทะลุ 1.8 ล้านล้าน


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังมั่นใจว่า การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2552 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 94% ของวงเงินงบประมาณรวม 1.85 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการให้รัฐวิสาหกิจและกระทรวงต่างๆ ได้เร่งรัดเบิกจ่าย ซึ่งการเบิกจ่ายช่วงที่ผ่านมา ถือว่าค่อนข้างดี ทั้งงบรายจ่ายประจำ งบลงทุน แต่ก็พบว่ามี 21 หน่วยงานยังค่อนข้างล่าช้า อาทิ กรมชลประทาน กรมทางหลวงชนบท เป็นต้น จึงให้หน่วยงานเหล่านี้ ทำรายงานถึงสาเหตุและข้อติดขัดต่างๆ เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาการเบิกจ่ายที่ล่าช้า



 


"ผมมั่นใจว่า การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2552 จะเป็นไปตามเป้าหมายตั้งไว้ โดยรายได้ของรัฐไม่น่าเป็นห่วง ส่วนฐานะการคลังและเงินคงคลังไม่มีปัญหา โดยเงินคงคลังขณะนี้อยู่ระดับ 77,000 ล้านบาท และในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน จะมีรายได้จากกรมสรรพากรอีกจำนวนมาก จึงไม่น่าเป็นห่วงเรื่องรายได้ แต่ถ้ามีปัญหาก็สามารถบริหารจัดการได้และมีแผนรองรับแล้ว" เขากล่าวหลังเป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงโครงการพัฒนาการปฏิบัติงานในระบบ GFMIS ผ่าน Web Online สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเมื่อวานนี้ (20 มี.ค.)



 


เขากล่าวด้วยว่า นับตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นไป องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทั้ง 75 จังหวัดทั่วประเทศจะเริ่มใช้ระบบเบิกจ่ายเงินผ่านระบบ GFMIS  ซึ่งทางกรมการขนส่งทางบกจะนำส่งเงินภาษีผ่านระบบนี้ให้ อบจ.แต่ละจังหวัด ทำให้การเบิกจ่ายรวดเร็วขึ้น โดยปีนี้คาดว่าจะมีเม็ดเงินภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ส่งให้ อบจ.ทั่วประเทศรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะขยายระบบดังกล่าวไปสู่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในช่วงต่อไปกระทรวงหวังว่า ระบบนี้จะช่วยให้การบริหารจัดการเงินได้อย่างถูกต้องโปร่งใส เนื่องจากระบบ GFMIS ผ่านการพัฒนาของกรมบัญชีกลางมาแล้ว 4 ปี ทำให้มีประสิทธิภาพดี



 


 "ตามระบบนี้ อบจ.สามารถเบิกเงินที่เป็นรายได้จากการจัดสรรเงินภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ จากบัญชีเงินฝากของคลังของ อบจ.ในระบบ GFMIS ได้โดยตรง ซึ่งเงินดังกล่าว เดิมสำนักงานขนส่งจังหวัดจัดเก็บแล้วนำมาฝากคลังไว้ในบัญชีของสำนักงานท้องถิ่นของจังหวัดก่อน จากนั้น จึงเบิกเงินเพื่อโอนให้ อบจ.ต่อไป แต่ต่อไปนี้ อบจ.สามารถเบิกเงินออกไปใช้ได้เอง ซึ่งจะทำให้ อบจ.ทั้ง 75 จังหวัด เบิกจ่ายเงินได้รวดเร็วขึ้น สามารถนำไปพัฒนาพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" เขากล่าว


 



 


วิจัย"แก๊สโซฮอล์" ปล่อยสารมะเร็ง พบ5จุดเสี่ยงกทม.


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : การสัมมนาวิชาการทิศทางการวิจัยกับการแก้ไขวิกฤติสิ่งแวดล้อม จัดโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้นำเสนอผลงานวิจัยปริมาณการแพร่กระจายของสารประกอบคาร์บอนิล ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในอากาศในเขต  กทม. ระหว่างปี 2549-2551



 


นางเดซี่ หมอกน้อย นักวิจัยด้านอากาศ จากศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า หลังรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชน หันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เนื่องจากมีราคาถูกกว่าราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลเฉลี่ย 5-10 บาทต่อลิตร บวกกับเตรียมจะเพิ่มสัดส่วนปริมาณเอทานอลมากขึ้นจากเดิมที่กำหนด 15% เป็น 85% ทำให้คาดการณ์ว่ามาตรการดังกล่าว จะส่งผลให้สารพิษกลุ่มคาร์บอนิล ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และอยู่ในกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศ (VOCs) มีแนวโน้มสูงขึ้นตามมาด้วย



 


นางเดซี่ กล่าวต่อว่า เมื่อทำการวิจัย และเก็บตัวอย่างสารกลุ่มคาร์บอนิล แบบใช้ปั๊มดูดอากาศครอบคลุมพื้นที่ริมถนน 49 จุดในเขต กทม.ที่มีการจราจรหนาแน่น ก็พบค่าความเข้มข้นของสารกลุ่มคาร์บอนิล จำนวน 10 ชนิด อาทิเช่น ฟอร์มัลดีไฮด์ อะเซทัลดีไฮด์ อะซีโตน อะโครรีน มีความเข้มข้นแตกต่างกันไป โดยเฉพาะที่น่าตกใจ คือ พบระดับค่าความเข้มข้นของฟอร์มัลดีไฮด์ และอะเซทัลดีไฮด์ มีความเข้มข้นเกินมาตรฐานเฝ้าระวังที่ OEHHA ซึ่งเป็นหน่วยงานประเมินด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของสหรัฐอเมริกา



 


ทั้งนี้ หน่วยงานดังกล่าวได้ประเมินความเสี่ยงของคน ที่รับสารชนิดนี้เพียง 1.23 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) อย่างต่อเนื่อง จำนวน 40 ต่อ 1 ล้านคน มีโอกาสเป็นมะเร็ง ขณะที่บริเวณริมถนนของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนพระราม 5 รัชดาภิเษก สุขุมวิท และดอนเมืองของไทย มีค่าความเข้มข้นของสารฟอร์มัลดีไฮด์ 10.6 มคก./ลบ.ม. และสูงเกินระดับความเสี่ยงของสหรัฐอเมริกา 5 เท่า และถือว่าสูงกว่าในเมืองโอซากา ของญี่ปุ่น และเมืองออนทาริโอ ของแคนาดา 3-5 เท่า



 


ส่วนสาเหตุที่ทำแก๊สโซฮอล์มีสารมลพิษดังกล่าว มาจากกระบวนการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อมีรถยนต์ปล่อยสารมลพิษออกมาแล้วเจอกับแสงในบรรยากาศ ยังจะส่งผลให้สารมลพิษตัวอื่นๆ มีค่าเพิ่มมากขึ้น โดยจะเห็นว่า กทม.มีการตรวจพบโอโซนในบรรยากาศสูงขึ้น รวมทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีผลต่อสุขภาพ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตลอด 2-3 ปีในพื้นที่ริมถนนที่มีการจราจรหนาแน่น โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวันควรจะหลีกเลี่ยงการเข้าไปในเขตที่มีการจราจรคับคั่ง



 


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากขณะนี้ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้ออกมาตรฐานค่าเฝ้าระวังสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศรวม 9 ชนิด อาทิเช่น สารเบนซีน แต่สำหรับสารฟอร์มัลดีไฮด์ และสารอะเซทัลดีไฮด์ ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานของไทยเอง แต่แนวโน้มการใช้แก๊สโซฮอล์ที่มีปริมาณ 5 ล้านลิตรต่อวัน ก็ควรต้องเร่งพิจารณาออกมาตรฐาน



 


ทางด้าน ดร.สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวถึง สถานการณ์คุณภาพอากาศ ว่า มลพิษหลักยังคงเป็นฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน โดยเฉพาะใน ต.หน้าพระลาน จ.สระบุรี พื้นที่ จ. ราชบุรี สมุทรปราการ ลำปาง พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ และนครราชสีมา ส่วน กทม. ฝุ่นริมถนนค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ตรวจวัดได้ในช่วง 8.1-205.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินมาตรฐาน 3.3% ลดลงจากปี 2550 ที่ตรวจวัดได้ในช่วง 9.8-242.7 มคก./ลบ.ม. หรือ 4.7%


 


 



ชุมชนมาบตาพุดรุกต่อเดินหน้าฟ้องแพ่ง-อาญา


ASTV ผู้จัดการรายวัน : นายรัชยุทธ วงค์ภุชงค์ ประธานชุมชอยซอยร่วมพัฒนา ต.มาบตาพุด หนึ่งในแกนนำ 27 คนที่ยื่นฟ้องศาลปกครองกลางจ.ระยองให้ประกาศมาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเตรียมที่จะยื่นฟ้องแพ่ง คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กรมควบคุมมลพิษ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.)ในการละเลยปฏิบัติหน้าที่ ในการประกาศให้พื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ



 


นายสุทธิ อัชฌาสัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก กล่าวว่า ทางกลุ่มผู้สนับสนุนให้ประกาศเขตควบคุมมลพิษไม่ได้เสียงแตกแต่อย่างไร ยืนยันว่ายังเป็นเอกภาพแต่การยื่นฟ้องแพ่ง และอาญาหรือไม่นั้น จะรอคำสั่งศาลปกครองสูงสุดตัดสินก่อนว่า บอร์ดสิ่งแวดล้อมได้ละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ประกอบกับระหว่างนี้จะศึกษาว่า มลพิษที่เกิดขึ้นกระทบกับประชาชนอย่างไร หากศาลฯตัดสินว่าละเลยก็จะยื่นฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหายทันที ซึ่งเรื่องเร่งด่วนที่ชุมชนต้องการตอนนี้ก็คือ การประกาศเขตควบคุมมลพิษให้เร็วที่สุด


 



ด้านนายสุรชัย ตรงงาม ทนายความโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม ทนายความผู้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองระยอง เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้หารือกันถึงเรื่องที่ชุมชนซึ่งได้รับผลกระทบจากมลพิษจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง เวลานี้กำลังรอดูความชัดเจนว่าทางบอร์ดสวล.ชุดก่อนที่ถูกศาลฯ พิพากษาว่าละเลยปฏิบัติหน้าที่ไม่ประกาศเขตมลพิษมาบตาพุดปล่อยให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จะยื่นอุทธรณ์ในประเด็นใดบ้าง



 


นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช กรรมการอิสระ ปตท. และอดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรณีประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษนั้น ไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนของบมจ.ปตท.เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่มีการลงทุนไปแล้ว และผ่านการรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอเป็นส่วนใหญ่


 



ส่วนโครงการใหม่หากจะเดินหน้าลงทุนต่อไปหรือชะลอการลงทุนปัจจัยหลักคงไม่ใช่เกิดจากกรณีของมาบตาพุด แต่คงเป็นเรื่องภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและราคาปิโตรเคมีลดต่ำลงเป็นสำคัญ



 


นางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม กล่าวว่า ข้อเสนอเบื้องต้นของภาคประชาชนต่อการจัดทำแผนสิ่งแวดล้อมหลังประกาศเขตควบคุมมลพิษมาบตาพุด ควรมีหลายมาตรการ เช่น การจัดทำผังเมืองใหม่ โดยคำนึงถึงสวัสดิภาพ คุณภาพชีวิตของชุมชน ซึ่งปัจจุบันไม่มีแนวกันชน บางพื้นที่ต้องจัดการใหม่ หรืออาจต้องศึกษาว่าถึงขั้นต้องย้ายชุมชนบางส่วนออกจากพื้นที่อันตราย เช่น ชุมชนและวัดรอบโรงกลั่นน้ำมัน โรงแยกก๊าซ และโรงปิโตรเคมี มาตรการด้านผังเมืองต้องเอาเข้ามาใช้



 


ส่วนการจัดการเฉพาะหน้าเรื่องการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษต้องไปดูว่า โรงงานไหนต้องติดตั้งเครื่องดักสารพิษ โรงบำบัดน้ำเสียบำบัดโลหะหนักได้หรือไม่ การขนย้าย จัดเก็บขยะและสารพิษอันตรายจะจัดการอย่างไร อีกส่วนหนึ่งต้องเข้าไปเร่งแก้ไขฟื้นฟูเยียวยา เช่น น้ำดื่มน้ำใช้ พืชผลเกษตรที่ได้ความเสียหายจากฝนกรด ภาวะความเจ็บป่วยที่ต้องเยียวยา และศึกษาในเชิงระบาด รวมทั้งติดตามเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการเจ็บป่วยของคนในชุมชน


 



 


กลุ่ม40สว.จี้นายกฯเร่งยุติข้อพิพาทตลาดคลองเตย


เว็บไซต์คมชัดลึก : กรณีความขัดแย้งของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าตลาดคลองเตย กับบริษัท ลีเกิ้ล โปรเฟสชั่นแนล จำกัด เป็นเหตุบานปลาย ทำให้มีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บ 3 คน ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม นางรสนา โตสิตระกูล ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล พร้อมสมาชิกกลุ่ม 40 ส.ว. อาทิ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค น.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี ฯลฯ เข้ายื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อให้เร่งดำเนินการยุติปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ตลาดคลองเตย



 


น.ส.รสนาให้สัมภาษณ์ว่า ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ปัญหาความขัดแย้งในเรื่องการประมูลพื้นที่ตลาดคลองเตย จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย มีความรุนแรง และถี่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจากโยนระเบิดใส่ผู้ชุมนุม ทำให้ได้รับบาดเจ็บ กระทั่งล่าสุดเกิดเหตุการณ์ไล่ยิง ทำให้มีผู้เสียชีวิตเมื่อค่ำวันที่ 18 มีนาคม ที่ผ่านมา ทั้งนี้ทุกฝ่ายเห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงคมนาคม และการท่าเรือ รวมทั้งตำรวจต้องเข้ามาร่วมแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่ปรากฏว่าตลอดเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา หน่วยงานเหล่านี้กลับไม่ดำเนินการใดๆ ทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จึงต้องการให้ นายกฯ เข้ามาดูแลเรื่องนี้ด้วยตนเอง


 



ด้านความคืบหน้าทางคดี พ.ต.อ.ขจรศักดิ์ ปานสาคร รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 เปิดเผยว่า ขณะนี้ตำรวจฝ่ายสืบสวนของ บก.น.5 และฝ่ายสืบสวนของนครบาล ได้ประสานความร่วมมือติดตามกดดันคนร้ายตามจุดต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดที่คาดว่าคนร้ายจะไปหลบซ่อน โดยตำรวจจะไม่รอให้มีการติดต่อเข้ามอบตัว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ข้อมูลในการสืบสวนมีความคืบหน้าไปมาก ทำให้ทราบว่า นายทร หัวหน้า รปภ. คนร้ายที่ก่อเหตุมีชื่อจริงคือ นายอินทร แสนภิบาล อายุ 51 ปี เป็นทหารนอกราชการ



 


ส่วนการดูแลความสงบเรียบร้อยภายในตลาดคลองเตยนั้น พ.ต.อ.ขจรศักดิ์กล่าวว่า ได้เพิ่มกำลังตำรวจตรวจตราดูแลความสงบเรียบร้อยวันละ 2 กองร้อย โดยเพิ่มจุดตรวจตราซึ่งเป็นจุดที่ล่อแหลม และจะเดินตรวจตราตลอดเวลา ทั้งนี้จากการเข้มงวดกวดขันดังกล่าว ทำให้เมื่อช่วงเวลา 01.00-02.00 น.ตำรวจสามารถตรวจค้นจับกุม นายชัยนันท์ ขวัญมาตร อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 218/103 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางพลัด เขตบางกอกน้อย กทม. ขณะพกอาวุธปืนขนาด.38 ติดตัว แต่อาวุธปืนที่ตรวจพบเป็นอาวุธปืนที่มีทะเบียนถูกต้อง แต่ไม่มีใบอนุญาตพกพา


 



 


คนไข้หนีพิษศก.แห่ใช้"บัตรทอง"


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยในการเสวนาเรื่อง "ความมั่นคงสุขภาพคนไทย ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ" จัดโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) วานนี้ (20 มี.ค.) ว่า วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แตกต่างจากวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านสุขภาพซึ่งมีไม่มาก เนื่องจากขณะนี้เรามีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อรองรับการรักษาพยาบาลให้กับประชาชน ต่างจากปี 2540 ที่พบว่ามีคนจนเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1 ล้านคน และไม่มีระบบหลักประกันสุขภาพ ทำให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ โดยพบว่าค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในขณะนั้นลดลงถึง 24% แต่ปีนี้แม้ว่าผลกระทบที่ส่งผลการเข้าถึงการรักษามีไม่มาก ทว่าประชาชนยังคงต้องปรับตัวเพื่อลดค่าใช้จ่ายอยู่ ซึ่งจะมีการหันมาใช้สิทธิบัตรทองและระบบรักษาพยาบาลภาครัฐมากขึ้นแทนการจ่ายค่ารักษาเอง



 


อย่างไรก็ตามปัญหาการย้ายสิทธิของผู้ประกันตนยังไม่เกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลได้ขยายสิทธิรักษาพยาบาลให้ผู้ประกันตนที่ว่างงานเป็น 8 เดือนจากเดิมเพียงแค่ 6 เดือน ซึ่งหลังจากนี้คงต้องติดตามต่อไป



 


ด้าน น.พ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า จากงบประมาณรักษาพยาบาลที่ถูกออกแบบไว้โดยให้งบรายหัวทำให้เกิดผลกระทบไม่มาก และการที่เป็นนโยบายประชานิยม ทำให้รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของการย้ายสิทธิระบบประกันสุขภาพนั้น ในช่วงที่ยังไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจมีผู้ประกันของประกันสังคมตนย้ายสิทธิมาบัตรทอง 100,000 รายต่อเดือน ขณะที่ผู้มีสิทธิบัตรทองก็ย้ายสิทธิไปเป็นผู้ประกันตน 100,000 รายต่อเดือนเช่นกัน



 


แต่หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแล้ว พบว่า จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่ย้ายไปใช้สิทธิบัตรทองยังมีจำนวนเท่าเดิม คือ 100,000 รายต่อเดือน แต่ผู้มีสิทธิบัตรทองกลับย้ายไปใช้สิทธิผู้ประกันตนลดลงอย่างมาก โดยอยู่ที่ 50,000 รายต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้สิทธิบัตรทองมีเพิ่มขึ้นเดือนละ 50,000 ราย ดังนั้นทาง สปสช.จึงเตรียมเสนอของบประมาณเพิ่มเติมตามความจำเป็นที่เกิดขึ้น



 


 "ในสัปดาห์หน้างบประมาณ สปสช. จะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งในส่วนงบเหมาจ่ายรายหัวประชากรอยู่ระหว่างการต่อรองกับสำนักงบประมาณอยู่ โดยเราเสนอไปที่ 2,700 บาทต่อคนต่อปี จากเดิมในปี 2552 อยู่ที่ 2,202 บาทต่อคนต่อปี เชื่อว่าจำนวนงบที่ได้รับจะไม่ลดลงจากปีนี้ ทั้งนี้งบประมาณที่ขอเพิ่มจากเดิม 500 บาทนั้น เป็นการคำนวณจากอัตราเงินเฟ้อ การใช้บริการเพิ่มจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลที่ปรับเพิ่ม รวมถึงค่าตอบแทนแพทย์ พยาบาลซึ่งที่มีการเพิ่มค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในช่วงที่ผ่านมา จำนวน 3,000-5,000 ล้านบาทต่อปี โดยในระหว่างนี้เป็นการจ่ายจากงบบำรุงโรงพยาบาลไปก่อน" น.พ.วินัย กล่าว



 


ด้านนายนิมิตร เทียนอุดม เลขาธิการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า ขณะนี้มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ทำหน้าที่ดูแลค่ารักษาพยาบาลให้ประชาชน ทำให้ผลกระทบด้านสุขภาพจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจลดลง แต่รัฐบาลต้องชัดเจนว่าจะไม่มีการตัดทอนงบประมาณสาธารณสุขลงไม่ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะใด เพราะไม่ว่าอย่างไรคนเจ็บป่วยยังคงจำเป็นต้องรับการรักษา



 


อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงความมั่นคงด้านสาธารณสุขประเทศจะต้องยืนอยู่บนหลักการ 2 ข้อ คือ ในเรื่องยาที่ต้องสร้างการพึ่งพาตนเอง และการสร้างความมั่นคงทางความคิดในเรื่องของยาให้กับประชาชน เพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพและลดการใช้ที่ยาฟุ่มเฟือยลง



 


 


สศช.รื้อเกณฑ์ดึงชะลอว่างงานเข้า"ต้นกล้าอาชีพ"


เว็บไซต์กรุงเทพ : ดร.พสุ โลหารชุน รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)  เกี่ยวกับการจัดทำรายละเอียดโครงการอบรมเพื่อชะลอการเลิกจ้าง ซึ่งอยู่ในโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีและประธาน โดยก่อนหน้านี้ต้องการเน้นช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งสามารถส่งแรงงานมาอบรมได้ 20% ของแรงงานทั้งหมด อาจจะมีการหารือเพื่อพิจารณาสัดส่วนใหม่ให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์สูงสุด โดยเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมจะมีแรงงานไม่เกิน 200 คน ส่วนเอสเอ็มอีที่ใช้แรงงานมากกว่าเกณฑ์ จะมีคณะกรรมการกลั่นกรองเข้าร่วมโครงการ



 


การอบรมเพื่อชะลอการเลิกจ้าง จะเน้นยกระดับขีดความสามารถให้กับแรงงาน โดยโรงงานที่เข้าโครงการจะต้องมีหลักฐานว่าโรงงานมีปัญหา เช่น ข้อมูลทางการเงิน คำสั่งซื้อสินค้า  ซึ่งข้อมูลดังกล่าวคณะกรรมการกลั่นกรองผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการจะเก็บไว้เป็นความลับ  และต้องเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมอุตสาหกรรมต่างๆ



 


ทั้งนี้ ข้อมูลที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสำรวจเบื้องต้น มีโรงงานเข้าเกณฑ์ 105 แห่ง มีแรงงานที่ต้องการเข้าร่วม 14,000 คน ส่วนข้อมูลที่ ส.อ.ท.เสนอมีประมาณ 300 โรงงาน มีแรงงาน 50,000 คน



 


อย่างไรก็ตาม แรงงานที่เข้ารับการอบรมชะลอการเลิกจ้างจะได้เบี้ยเลี้ยงคนละ 160 บาท เท่ากับผู้ว่างงานที่เข้าอบรมโครงการต้นกล้าอาชีพ แต่จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ 3 เดือน เดือนละ 4,800 บาท เพราะมีปัญหาแตกต่างกัน



 


แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กำลังพิจารณาสัดส่วนใหม่เพื่อเพิ่มสัดส่วนของแรงงานในแต่ละโรงงานที่อบรมมากขึ้น ซึ่งเดิมกำหนดที่ 20% ของแรงงานในโรงงาน เพิ่มเป็น 50% คาดว่าเร็วๆ นี้ จะออกเกณฑ์การรับแรงงานในส่วนของโรงงานใหม่



 


 






ต่างประเทศ


 


 


กฟผ.ผนึกพม่า-จีนตั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำ


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กฟผ. อยู่ระหว่างการรอลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ร่วมของ 3 ฝ่าย เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุนโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนฮัดจี ประเทศพม่า ซึ่งคาดว่าจะได้รับคำตอบจากรัฐบาลพม่าภายในเดือน เม.ย.นี้ จากก่อนหน้านี้ กฟผ.วางแผนจะให้มีการเซ็นเอ็มโอยูตั้งแต่ต้นปี 2552 ที่ผ่านมา



 


สาเหตุที่โครงการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำดังกล่าวล่าช้า เนื่องจากการลงทุนจัดตั้งบริษัทแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ระหว่างไทย พม่า และจีน ทำให้มีขั้นตอนที่แต่ละประเทศจำเป็นต้องขออนุมัติจากรัฐบาลของตัวเองก่อนจะเดินหน้าร่วมลงทุนได้อย่างเป็นทางการ



 


ส่วนการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในโครงการดังกล่าวนั้น นายสมบัติ กล่าวว่า กฟผ. ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในส่วนของผลตอบแทนการลงทุนโครงการดังกล่าว พบว่าโครงการมีผลตอบแทนการลงทุนที่ค่อนข้างดี สำหรับการร่วมทุนของ 3 ฝ่ายและสามารถสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้า มีกำลังการผลิตถึง 1,400 เมกะวัตต์ โดยมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ถือว่าค่อนข้างต่ำ



 


ทั้งนี้ การจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุน 3 ฝ่าย ประกอบด้วย  กฟผ. รัฐบาลพม่า และบริษัทซิโนไฮโดร คอร์ปอเรชั่น (SINOHYDRO) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจากประเทศจีน โดยบริษัทร่วมลงทุนที่ตั้งใหม่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารและดำเนินโครงการ รวมทั้งเจรจาเรื่องสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. สำหรับโครงการดังกล่าวคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,400 ล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากประเทศจีนทั้งหมด และกระแสไฟฟ้าที่ได้จากโครงการดังกล่าวจะขายกลับมาที่ประเทศไทย โดยคาดว่าน่าจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ประมาณปี 2558-2559



 


แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การร่วมทุนโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนฮัดจี นั้น กฟผ.จะถือหุ้นประมาณ 45% บริษัทซิโนไฮโดรถือหุ้นประมาณ 40% และที่เหลือรัฐบาลพม่าถือหุ้น โดยโครงการมีราคาต้นทุนผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 1.60 บาทต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง และให้ผลตอบแทนการลงทุน 19%


 


 


จีนสั่งตรวจผลิตภัณฑ์ "จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน"


เว็บไซต์คมชัดลึก : สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (19 มี.ค.) อ้างคำเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สำนักงานด้านความปลอดภัยอาหารและยาของนครเซี่ยงไฮ้ เมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของจีนว่า ทางสำนักงานฯ กำลังทดสอบผลิตภัณฑ์สำหรับทารกของ "จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน" ภายหลังจากที่มีข่าวว่าผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กยี่ห้อนี้มีสารก่อมะเร็งเจือปนอยู่


 



รายงานข่าวกล่าวด้วยว่า แชมพูเด็กและผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีรายชื่ออยู่ในกลุ่มสินค้า 48 ตัวที่ "แคมเปญ ฟอร์ เซฟ คอสเมติกส์" กลุ่มสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในสหรัฐ ระบุว่ามีสารฟอร์มาลดีไฮด์ซึ่งมีกลิ่นฉุนและเป็นอันตรายต่อเยื่อบุจมูกหากสูดดมเข้าไปมากๆ และอาจระคายเคืองนัยน์ตาได้ และสาร 1, 4-ไดออกเซน ซึ่งถูกมองว่าเป็นสารก่อมะเร็ง



 


ทางด้านจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของตัวเองปลอดภัย และว่าข่าวดังกล่าวทำให้ผู้ปกครองเกิดความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น ทั้งยังกล่าวด้วยว่าสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ ทั่วโลกได้พิจารณาแล้วว่าปริมาณของสารเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันนั้นอยู่ในระดับที่ปลอดภัย และผลิตภัณฑ์ทุกตัวของทางบริษัทก็เป็นไปตามกฎระเบียบในทุกๆ ประเทศที่วางขาย


 


อย่างไรก็ตาม ข่าวดังกล่าวส่งผลให้เกิดความวิตกในหมู่ผู้บริโภคชาวจีนเป็นอย่างมาก เพราะจีนประสบปัญหาสินค้าปนเปื้อนหรือไม่ปลอดภัยค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีนมปนเปื้อนสารเมลามีนที่ทำให้ทารกต้องล้มป่วยลงหลายพันคนเมื่อปีที่แล้ว มีรายงานว่าเครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ต "หนง กง ซ่าง" ในเซี่ยงไฮ้ เรียกเก็บแชมพูเด็กยี่ห้อจอห์นสันจากชั้นวางจำหน่ายเมื่อต้นสัปดาห์ แต่ดูเหมือนว่าผู้ค้าปลีกรายอื่นๆ จะยังไม่ได้ทำแบบเดียวกัน


 


 



สหภาพแรงงาน3ล้านจาก8กลุ่มประท้วงทั่วฝรั่งเศส


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : สมาชิกสหภาพแรงงานขนาดใหญ่ 8 กลุ่มของฝรั่งเศส ประมาณ 3 ล้านคน รวมเจ้าหน้าที่รัฐบาล 1 ล้านคน พร้อมใจกันผละงานและออกมาชุมนุมประท้วงตามถนนสายสำคัญๆ ทั่วประเทศ ทั้งในกรุงปารีส เมืองมาร์เซยย์ ลียง สตราสบูร์ก และชุมชนต่างๆ ราว 200 แห่ง โดยกลุ่มแรงงานประท้วงในกรุงปารีสมีจำนวนมากที่สุด



 


สหภาพแรงงานทั้ง 8 กลุ่มเรียกร้องขอให้รัฐบาลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ขึ้นภาษีคนรวย ออกมาตรการปกป้องการจ้างงาน และล้มเลิกแผนการลดจำนวนข้าราชการ ท่ามกลางภาวะยอดคนตกงานในประเทศที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องล่าสุดทะยานขึ้นถึง 2 ล้านคน และคาดว่าในอีก 12 เดือนข้างหน้ายอดคนตกงานในฝรั่งเศสจะเพิ่มขึ้นกว่า 350,000 คน นอกจากนี้ สหภาพทั้ง 8 กลุ่ม ยังเรียกร้องให้ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เนื่องจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 35,000 ล้านดอลลาร์ ที่ประกาศออกมาเมื่อเดือน ธ.ค.ยังไม่เพียงพอ



 


การชุมนุมประท้วงทั่วฝรั่งเศสของแรงงานจากหลายภาคอุตสาหกรรม ทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินที่สนามบินออร์ลีย์ในกรุงปารีส แต่เที่ยวบินส่วนใหญ่ที่สนามบินชาร์ลส์ เดอ โกล ยังคงให้บริการตามปกติ ขณะที่การรถไฟฝรั่งเศส ได้ยกเลิกการให้บริการรถไฟความเร็วสูงเตเชเวประมาณ 40% ของการให้บริการโดยรวม และ 50% ของการให้บริการรถไฟท้องถิ่น



 


อย่างไรก็ตาม ระบบขนส่งมวลชนกรุงปารีส ไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการชุมนุมประท้วงครั้งนี้ เพราะกฎหมายใหม่ของฝรั่งเศส มีข้อบังคับว่า ระบบขนส่งมวลชน ต้องให้บริการในช่วงชุมนุมประท้วง เช่นเดียวกับรถไฟใต้ดินและรถโดยสาร ที่ให้บริการตามปกติ


 


 



สวีเดนโหวตนิยม "ทะเลไทย"  กรุงเทพฯ น่าเที่ยวอันดับ 6


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : นายมานิตย์ บุญฉิม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวในยุโรป โดยล่าสุด "อัฟตันบลาเดต" หนังสือพิมพ์ด้านการท่องเที่ยวชั้นนำของสวีเดน ได้จัดโหวตให้ชายหาดของประเทศไทย เป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภทหาดทรายชายทะเลอันดับ 1 ในกลุ่ม "หาดทรายชายทะเลนอกทวีปยุโรป" ประจำปี 2552 จากการจัดสำรวจต่อเนื่องเป็นปีที่ 6



 


หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว จัดทำแบบสอบถามสำรวจความคิดเห็นสมาชิกจำนวน 30,093 คน เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยว 8 ประเภท ที่ผู้อ่านประทับใจ และต้องการจะเดินทางเพื่อท่องเที่ยวและพักผ่อนในปี 2552 โดยจัดขึ้นในช่วงเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ทั้งนี้ ชายหาดของประเทศไทยโดยได้รับคะแนนโหวตสูงสุด 31.3% ตามด้วยประเทศบราซิล 10.6% มาเลเซีย 10.4% สาธารณรัฐโดมินิกัน 10.3% รัฐฟลอริดา สหรัฐ 8.1% และหมู่เกาะคานารี 7.5%



 


นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครของไทยยังติดอันดับ 6 ในหมวด "มหานครน่าเที่ยวจากทั่วโลก" รองจาก นิวยอร์ก ซิดนีย์ ริโอเดอจาเนโร ซานฟรานซิสโก และไมอามี



 


ส่วนแหล่งท่องเที่ยวในหมวดอื่นๆ ประกอบด้วย หาดชายทรายทะเลน่าเที่ยวในยุโรป เมืองใหญ่น่าเที่ยวในยุโรป จุดหมายปลายทางในฝัน จุดหมายปลายทางในสวีเดน จุดหมายปลายทางในยุโรปเหนือ (นอร์ดิค) และแหล่งเล่นสกี



 


สำหรับหาดทรายชายทะเลในยุโรปที่ได้รับคะแนนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรีซ โครเอเชีย สเปน อิตาลี และตุรกี ส่วนเมืองใหญ่น่าเที่ยวในยุโรป ได้แก่ บาร์เซโลนา ปารีส และโรม จุดหมายปลายทางในฝัน ได้แก่ แปซิฟิกใต้ มัลดีฟส์ ซาฟารี นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย จุดหมายปลายทางในสวีเดน  สกอตแลนด์ สตอกโฮล์ม และโบฮัส จุดหมายปลายทางในยุโรปเหนือ ได้แก่ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และโคเปนเฮเกน ส่วนแหล่งสกี ได้แก่ แอสเพน สหรัฐ วิสเลอร์ แคนาดา และเซนต์แอนตัน ออสเตรีย



 


ทั้งนี้ ผลการโหวตดังกล่าว เผยแพร่ผ่านสิ่งพิมพ์ฉบับพิเศษที่แนบไปกับหนังสือพิมพ์อัฟตันบลาเดต ฉบับประจำวันที่ 13-14 ม.ค.



 


 


รัสเซียชี้ตีข่าว"วิกเตอร์"กระทบสัมพันธ์


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ออกแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี (19 มี.ค.) ประณามสื่อต่างๆ ที่นำเสนอข่าวนายวิกเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธชื่อก้องโลกชาวรัสเซีย ซึ่งถูกจับกุมและดำเนินคดีในไทย โดยนายอังเดร เนสเตเรนโก โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า นายบูทถูกวินิจฉัยไปล่วงหน้าแล้วว่าเป็นอาชญากร จากบทความต่างๆ ตามสื่อของไทยและต่างชาติ ทั้งที่ศาลยังไม่ได้ตัดสิน



 


นายเนสเตเรนโก ระบุว่า การรายงานข่าวลักษณะดังกล่าวเป็นการยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด และนำไปสู่เป้าหมายการย้ายคดีของนายบูท จากขอบเขตของกฎหมายไปเป็นเรื่องการเมือง อีกทั้งยังเป็นการเข้าไปมีอิทธิพลต่อกระบวนการของศาล และก่อให้เกิดความตึงเครียดใหม่ๆ ต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับไทย และรัสเซียกับสหรัฐ



 


นายบูท อดีตสายลับเคจีบี เจ้าของสมญา "พ่อค้าแห่งความตาย" ถูกจับกุมได้ที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อปีที่แล้ว และถูกควบคุมตัวไว้ดำเนินคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามคำขอของรัฐบาลสหรัฐ เขากำลังต่อสู้อย่างหนักไม่ให้ถูกส่งตัวไปสหรัฐ และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยระบุว่า ถูกสหรัฐใส่ร้ายป้ายสี และเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ภรรยาของนายบูทขึ้นให้การยืนยันว่า สามีบริสุทธิ์ เขาเปิดธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย



 


ทางการสหรัฐ ระบุว่า นายบูท ซึ่งถูกกล่าวหามานานแล้วว่า พัวพันกับความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองในแอฟริกา เป็นพ่อค้าอาวุธคนสำคัญ และถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดพยายามขายขีปนาวุธและเครื่องยิงจรวดให้กับองค์กรก่อการร้าย และอีกหลายข้อหาในการสมรู้ร่วมคิดสังหารเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ ซึ่งหากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง เขาอาจรับโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต


 


 



"โอบามา"เรียกร้องอิหร่านสร้างสัมพันธ์ยุคใหม่


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : ประธานาธิบดีบารัก โอบามา แห่งสหรัฐ ส่งสารไปยังชาวอิหร่าน ผ่านวีดิโอเป็นครั้งแรก วานนี้ (20 มี.ค.) เรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งและไม่ไว้ใจกันระหว่างสองประเทศ ที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษ



 


"รัฐบาลของผมพยายามใช้วิธีทางการทูต เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ อิหร่านและประชาคมโลก เป็นเวลาเกือบสามทศวรรษที่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศอยู่ในภาวะตึงเครียด แต่ในช่วงเทศกาลนาวรุซ เราได้คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ที่ผูกพันเราเข้าด้วยกัน" นายโอบามาอ้างถึงเทศกาลปีใหม่ของอิหร่าน



 


ผู้นำสหรัฐ ยังต้องการส่งสารไปถึงผู้นำอิหร่านเกี่ยวกับความจำเป็นในการสร้างยุคใหม่แห่งความร่วมมือที่มีความจริงใจ และอยู่บนพื้นฐานที่เคารพกันและกัน



 


"หากไม่คำนึงถึงการกล่าวหาของสหรัฐที่ว่า อิหร่านสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย หรือโครงการนิวเคลียร์ สหรัฐอยากให้อิหร่านใช้ฐานะอันชอบธรรมในประชาคมโลก แต่ฐานะจะต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ และฐานะดังกล่าวไม่สามารถใช้ผ่านทางกลุ่มก่อการร้ายหรืออาวุธ แต่ควรจะใช้ผ่านกระบวนการสันติภาพ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของชาวอิหร่านและอารยธรรม"



 


แถลงการณ์ของนายโอบามา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของเขามองอิหร่านเป็นหุ้นส่วนในอนาคต แม้ว่าทั้งสองประเทศจะไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันมาตั้งแต่ปี 2523 และนายโอบามาปฏิเสธที่จะตัดมาตรการทางทหารออกจากวิธีป้องกันอิหร่าน จากการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็ยังถือเป็นท่าทีที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับท่าทีอันแข็งกร้าวในสมัยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่ระบุว่า อิหร่านเป็นหนึ่งในอักษะแห่งความชั่วร้าย ร่วมกับซีเรียและเกาหลีเหนือ



 



ทำเนียบขาว ระบุว่า วีดิโอดังกล่าว ซึ่งมีการแปลภาษาเปอร์เซียไว้ข้างใต้ ถูกส่งไปให้สถานีข่าวในอิหร่าน และได้ออกอากาศในช่วงประมาณ 08.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น



 


นายอาลี อักบาร์ จาวานฟีเคอร์ ที่ปรึกษาระดับสูงของประธานาธิบดีมาห์มูด อาห์มาดิเนจาด แห่งอิหร่าน แสดงความยินดีต่อคำกล่าวของนายโอบามา แต่เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐ มีมาตรการที่เป็นรูปธรรม เพื่อฟื้นฟูความผิดพลาดในอดีตที่สหรัฐทำไว้กับอิหร่าน


 



 


สภาร่างสหรัฐ ผ่านเก็บภาษีเงินโบนัส 90%


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ลงมติวานนี้ (20 มี.ค.) ด้วยคะแนนเสียง 328 ต่อ 93 เสียง ผ่านร่างกฎหมายเก็บภาษี 90% จากเงินโบนัสสำหรับผู้บริหารบริษัทต่างๆ ที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างรวดเร็ว เพื่อลดกระแสความไม่พอใจของชาวอเมริกันผู้เสียภาษี เกี่ยวกับการจ่ายโบนัสให้แก่ผู้บริหารอเมริกัน อินชัวแรนซ์ กรุ๊ป (เอไอจี) บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ หลังจากบริษัทได้รับเงินช่วยเหลือมูลค่า 180,000 ล้านดอลลาร์ จากรัฐบาล



 


ภาษีดังกล่าว จะเรียกเก็บจากบรรดาผู้บริหาร ที่มีรายได้เกิน 250,000 ดอลลาร์ และทำงานในบริษัทที่ได้รับเงินช่วยเหลืออย่างน้อย 5,000 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาล รวมถึงบริษัทที่ได้รับการช่วยเหลือในรูปแบบอื่น อาทิเช่น แฟนนี เม บริษัทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย



 


ทางด้านนายชาร์ลี แรนเจล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครต และประธานคณะกรรมการเครื่องมือและวิธีการร่างภาษี ระบุว่า แนวคิดที่ว่าผู้บริหารเหล่านี้ ควรได้รับโบนัสจำนวนหลายล้านดอลลาร์ เป็นเรื่องน่ารังเกียจมากกว่าอะไรทั้งหมด และคนส่วนใหญ่ก็มีความเชื่อเช่นนั้น



 


ความไม่พอใจเรื่องการจ่ายเงินโบนัสแก่ผู้บริหารของเอไอจี และบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล กลายเป็นภัยคุกคาม บั่นทอนความมั่นใจของประชาชน ที่มีต่อความพยายามของนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ต้องการคลี่คลายวิกฤติเศรษฐกิจ และทำให้สหรัฐรอดพ้นจากภาวะถดถอย



 


วันเดียวกัน วุฒิสภาสหรัฐ มีกำหนดพิจารณาแผนอีกฉบับ เพื่อเรียกคืนเงินโบนัส โดยจะเรียกเก็บภาษี 70% จากบริษัทที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์ จากจำนวนเงินช่วยเหลือทั้งหมด 700,000 ล้านดอลลาร์ โดยทั้งสภาสูงและสภาล่าง ต้องตกลงกันอีกครั้ง เกี่ยวกับข้อแตกต่างในร่างกฎหมายดังกล่าว ก่อนที่จะผ่านร่างกฎหมายนี้ และเสนอให้แก่นายโอบามาลงนามรับรอง เพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป



 


นายทิมโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งเผชิญแรงกดดันอย่างหนักเกี่ยวกับกรณีอื้อฉาวของเอไอจี ออกมาแสดงความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจ่ายโบนัสอื้อฉาวครั้งนี้ และได้กล่าวย้ำในโอกาสให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ว่า เขารับรู้รายละเอียดทั้งหมดของเรื่องนี้ครั้งแรก เมื่อวันอังคาร (10 มี.ค.) ซึ่งถือว่าสายเกินไป และขอเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net