Skip to main content
sharethis


 


 


วันนี้ (16 มี.ค.52) เวลาประมาณ 11.00 น.เครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายด้านพลังงานทางเลือก และตัวแทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากจังหวัดต่างๆ อาทิ สระบุรี ฉะเชิงเทราและชุมพร รวมตัวกันที่บริเวณหน้ากระทรวงพลังงาน ถนนพระราม 1 เพื่อรอยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานเรียกร้องให้ยกเลิกแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2551 - 2564 (PDP 2007 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) และคัดค้านการปรับอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ ของ บมจ.ปตท.โดยชี้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการผลักภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภค


 


กลุ่มผู้ชุมนุมราว 200 คน ได้ถือป้ายรณรงค์ และแจกเอกสาร "ค่าไฟ ค่าก๊าซ ค่าน้ำมัน เตรียมขึ้นราคา ประชาชนตายแน่ รัฐบาลต้องยกเลิกแผนพลังงานพีดีพี 2007 (ฉบับอัปยศ)" [1] ให้กับประชาชนที่สัญจรไปมาบริเวณด้านหน้าประตูทางเข้า โดยที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ปิดประตูรั้วไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปด้านใน


 


กระทั้งเวลาประมาณ 12.00 น.ยังไม่มีตัวแทนจากกระทรวงพลังงานออกมาเจรจาหรือรับหนังสือ ผู้ชุมนุมคนหนึ่งได้เขย่าประตูจนเปิดออกทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปด้านในได้ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบราว 10 นายยืนสังเกตการณ์ ทั้งนี้ไม่มีเหตุความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น


 


อย่างไรก็ตาม เวลาต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงพลังงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวมทั้งปลัดกระทรวงฯ เดินทางไปต่างจังหวัด แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังยืนยันชุมอยู่ในบริเวณสนามหญ้าหน้าอาคารกระทรวงพลังงาน


 


จากนั้นเวลาประมาณ 14.00 น. นายพีระพล สาครินทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมารับหนังสือจากทางกลุ่มผู้ชุมนุมแทน โดยมีการลงบันทึกเลขรับเอกสารเอาไว้ พร้อมรับปากว่าจะนำเสนอปลัดกระทรวงฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตามขั้นตอนต่อไปอย่างเร่งด่วน


 


ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวระบุยื่นต่อประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยมีข้อเรียกร้อง 4 ข้อ ประกอบด้วย 1.ยกเลิกแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2551-2564 (PDP 2007 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) เนื่องจากทำให้มีกำลังผลิตไฟฟ้าล้นเกินมหาศาล 2.ให้ยุติสัญญาที่ทำไว้กับโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด


 


3.ยกเลิกการอนุมัติขึ้นค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติของ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่ กกพ.มีมติเห็นชอบให้ปรับขึ้นอีก 2.02 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 21.76 บาทต่อล้านบีทียู เนื่องจากไม่ได้ตั้งอยู่บนต้นทุนที่แท้จริง และ 4.ให้ปฏิรูปการวางแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยใหม่ตามหลักธรรมาภิบาล โดยต้องเปิดให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ เนื่องจากที่ผ่านมามีเพียงกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่ไม่โปรงใสและไม่มี ส่วนร่วม ทำให้เกิดการวางแผนและการดำเนินงานที่ฉ้อฉล ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและความต้องการของประชาชน


 


 


แจงปัญหาแผนพีดีพี 2007 (ฉบับอัปยศ)


จากการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบแผน PDP 2007 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยที่มีกำลังผลิตติดตั้งในปี 2551 อยู่แล้ว 29,140 เมกะวัตต์ ให้มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นจากการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มอีก 30,155 เมกะวัตต์ และให้ปลดโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันออกจากระบบ 7,502 เมกะวัตต์ ทำให้ระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยจากปี พ.ศ. 2552 - 2564 จะมีกำลังผลิตสุทธิทั้งสิ้น 51,792 เมกะวัตต์นั้น


 


นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ต้องถือว่าแผนพีดีพีฉบับนี้เป็นแผนพลังงานอัปยศและเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำที่ นายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ควรที่จะยกเลิกไปโดยเร็วที่สุด ในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำขณะนี้แทนที่ กพช.จะปรับลดและเลื่อนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ออกไป กลับยืนยันที่จะให้มีการเซ็นต์สัญญาและสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ใส่เข้าไปในระบบอีกโดยไม่มีความจำเป็น


 


"แค่โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบที่ 3 หมื่นเมกกะวัตต์ก็สูงกว่าความต้องการการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่แล้วถึง 7,300 เมกกะวัตต์ ผู้ที่ได้ประโยชน์จากแผนพลังงานอัปยศนี้คือ บริษัท ปตท.ที่จะมีรายได้จากการขายก๊าซธรรมชาติได้มากขึ้นเพราะถือเป็นเชื้อเพลิงหลัก ไม่น้อยกว่า 60-70% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด และด้วยความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงานบางคน ที่ไปนั่งเป็นกรรมการในบริษัท ปตท.และบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนหลายแห่ง ที่จะผลักดันให้เกิดโรงไฟฟ้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในแผนพีดีพีฉบับนี้ จึงมีการช่วยทำให้ค่ากำลังผลิตไฟฟ้าไม่สูงขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นด้วยการปลด เอาโรงไฟฟ้าของ กฟผ.ที่ใช้เงินภาษีของประชาชนสร้างขึ้นมา เช่น โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าลานกระบือ โรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี โรงไฟฟ้าหนองจอก โรงไฟฟ้าบางปะกง ออกจากระบบถึง 7,500 เมกกะวัตต์ โดยไม่มีการกล่าวถึงมูลค่าที่ต้องสูญเสียไปจากการปลดโรงไฟฟ้าเหล่านี้" นางสาวสารีกล่าว


 


นางสาวสารีกล่าวต่อว่า ก่อนหน้าที่แผนพีดีพีฉบับนี้จะได้รับความเห็นชอบ ได้มีการเร่งรีบเซ็นต์สัญญาอย่างลับๆ ในปี 2551 กับโรงไฟฟ้าใช้ก๊าซธรรมชาติของบริษัทสยาม อีเนอร์จี ที่ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติของพาวเวอร์ เจเนอเรชั่นซัพพลาย ที่ อ.หนองแซง จ.สระบุรี ซึ่งทั้งสองโครงการมีบริษัทกัลฟ์เจพีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.9% ทั้งๆ ที่การใช้ไฟฟ้าชะลอตัวลงอย่างชัดเจนและประชาชนในพื้นที่โครงการแสดงตัวคัด ค้าน ที่สำคัญทั้งสองโครงการยังไม่ผ่านการเห็นชอบรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และขณะนี้ได้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงขึ้นในชุมชนแล้ว แต่ กพช.ยังนำมาใส่ในแผนพีดีพีฉบับนี้ต่อไปและผลักเอาโรงไฟฟ้าของ กฟผ.ซึ่งยังใช้งานได้ออกจากระบบ


 


"สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่จะทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าล้นเกินความต้องการ ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทยไม่สามารถใช้ไฟฟ้าได้มากขนาดนั้นจะส่งผลให้โรง ไฟฟ้าใหม่ที่สร้างขึ้นเป็นเพียงโกดังเก็บเครื่องปั่นไฟฟ้าเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน กฟผ.ในฐานะผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนและรับซื้อก๊าซจาก ปตท.ยังต้องจ่ายค่าซื้อไฟฟ้าและค่าก๊าซธรรมชาติอยู่ต่อไป ทั้งนี้มาจากเงื่อนไขสัญญาค่าโง่แบบ "ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย" ซึ่งค่าโง่ที่ กฟผ.ต้องจ่ายทั้งหมดนี้จะถูกผลักมาอยู่ในค่าไฟฟ้าอัตโนมัติให้ประชาชนรับผิดชอบแทนในท้ายที่สุด" เลขาธิการ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าว


 


 


ชี้ขึ้นค่าผ่านท่อฯ ส่งผลให้ประชาชนต้องรับภาระค่าไฟฟ้าสูงขึ้น


ต่อการปรับขึ้นค่าบริการผ่านท่อส่งก๊าซธรรมชาติหรือค่าผ่านท่อก๊าซที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติอนุมัติให้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 19.74 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 21.76 บาทต่อล้านบีทียู หรือปรับเพิ่มขึ้น 2.02 บาทต่อล้านบีทียู นางสาวสารีแสดงความเห็นว่าความจริงแล้ว ปตท.ไม่มีสิทธิ์มาคิดค่าผ่านท่อก๊าซและราคาควรจะลดลงด้วยซ้ำ


 


เนื่องจากที่ผ่านมาศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ ปตท.ต้องคืนท่อก๊าซทั้งหมดให้กับรัฐ เพราะได้มาด้วยการเวนคืนโดยอาศัยอำนาจรัฐถือเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน แต่ ปตท.ทำการคืนทรัพย์สินเพียงแค่ 16,000 ล้านบาท ในขณะที่ ปตท.ประเมินต้นทุนค่าท่อเพื่อใช้ในการคำนวณขอขึ้นราคาค่าผ่านท่อสูงถึง 90,000 ล้านบาท เป็นการประเมินที่เผื่อไว้สำหรับการต่อราคา


 


การขึ้นค่าผ่านท่อครั้งนี้ส่งผลให้ประชาชนต้องรับภาระค่าไฟฟ้าสูงถึง 4,500 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ ก๊าซแอลพีจี ได้มีการกดดันอย่างต่อเนื่องจาก ปตท.เพื่อให้รัฐบาลปล่อยลอยตัวตามราคาน้ำมัน ส่วนก๊าซเอ็นจีวี นั้นมีการระบุอย่างชัดเจนในสูตรการคำนวณค่าผ่านท่อก๊าซ ที่จะทยอยปรับราคาขึ้นตามลำดับหากได้รับการอนุมัติ โดยจะให้ขึ้นจาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัมเป็นปีละ 1 บาทต่อกิโลกรัม


นางสาวสารีกล่าวด้วยว่า ที่ต้องมีการพูดถึงเรื่องดังกล่าวในวันนี้เนื่องจาก เป็นวันสุดท้ายของการรับฟังความคิดเห็นเรื่องการปรับอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ ของ บมจ.ปตท. ที่ให้ผู้สนใจแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปยังคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. - 16 มี.ค.52 โดยประกาศผ่านทางเว็บไซต์ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เอกสารประกอบการรับฟังความคิดเห็น)


 


 


กองทุนพัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า กองทุนอัปยศ


นางสาวบุญยืน ศิริธรรม เครือข่ายผู้บริโภค ภาคตะวันตก กล่าวถึงกองทุนพัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ที่จะให้อำนาจคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นผู้บริหารจัดการกองทุนว่า ในขณะนี้กองทุนเป็นกองทุนอัปยศไปเสียแล้ว กองทุนนี้ได้เงินมาจากค่าไฟฟ้าที่เก็บจากประชาชนไปตั้งเป็นกองทุนฯ เพื่อจัด สรรให้กับโรงไฟฟ้าของบริษัทเอกชนด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อนำไปเยียวยาความเสีย หายที่เกิดขึ้นกับชุมชนรอบโรงไฟฟ้า แต่ปัจจุบันพบว่าถูกโรงไฟฟ้าใช้เป็นงบโฆษณาชวนเชื่อ สร้างภาพ สร้างความแตกแยก และจัดการกับผู้ที่คัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้า อย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นที่ อ.หนองแซง จ.สระบุรี และที่มาบตาพุด จ.ระยอง ชาวบ้านกำลังเผชิญกับความแตกแยกจากการใช้เงินกองทุนที่ผิดวัตถุประสงค์ใน ลักษณะดังกล่าว

"ที่ มาของเงินกองทุนไม่ควรอยู่ในค่าไฟฟ้า เพราะจะกลายเป็นว่าผู้ใช้ไฟฟ้าเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดความแตกแยกร้าวฉานให้ ชุมชนที่โรงไฟฟ้าไปตั้ง ในฐานะที่โรงไฟฟ้าไปก่อความเสียหายให้กับชุมชนก็ควรที่จะให้นายทุนโรงไฟฟ้า เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอง ไม่ควรผลักภาระมาให้ประชาชน" นางสาวบุญยืนกล่าว


 


 


ทรรศนะจากคนพื้นที่ เหตุของการคัดค้านสร้างโรงไฟฟ้า 


นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี เครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม อ.หนองแซง จ.สระบุรี ในฐานะประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติของบริษัท พาวเวอร์ เจเนอเรชั่นซัพพลาย กล่าวว่า โรงไฟฟ้าที่กำลังเข้ามาในพื้นที่ได้สร้างความขัดแย้งให้กลับชุมชนมากมาย โดยในสถานการณ์ในพื้นที่ตั้งแต่ วันที่ 6 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมาได้เกิดการปะทะกันระหว่างชาวบ้านที่คัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้ากับ กลุ่มคนงานของโรงไฟฟ้าที่จะเข้ามาทำการปรับพื้นที่ ทั้งๆ ที่โครงการนี้ยังไม่ผ่านการอนุมัติรายงานสิ่งแวดล้อม (EIA) และความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อจนถึงวันนี้ ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ ยุติสัญญาที่ทาง กฟผ.เซ็นต์ต่อโรงไฟฟ้าเอกชนดังกล่าว


 


นางสาวนันทวัน หาญดี เครือข่ายติดตามผลกระทบโรงไฟฟ้าถ่านหิน ต.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ มีไฟฟ้าเหลือจำนวนมากมาย ซึ่งทั้งหมดถูกผลักมาเป็นภาระของผู้บริโภค และประชาชนที่ต้องทนทุกข์ทรมานรอบๆ โรงไฟฟ้าที่ต้องรองรับมลพิษที่เกิดขึ้น มติ กพช. ที่ออกมาเมื่อวันที่ 9 มี.ค.52 โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ไม่มีความเป็นธรรม และขัดต่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จึงขอให้ยกเลิกแผน PDP 2007 ทุกฉบับ และจัดทำแผน PDP ขึ้นมาใหม่โดยการนำเอาประชาชนทุกกลุ่ม เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำแผนทุกขั้นตอน และให้กลายเป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงให้ยกเลิกการสร้างโรงไฟฟ้า ที่ผ่านการประมูลในช่วงปี 2551 ทั้งหมด


 


นายสุพนัด ดวงกมล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ต.ชุมโค อ.ประทิว จ.ชุมพร กล่าวว่าในความเป็นจริงแล้วการที่จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ถือว่าเป็นการสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำตามที่ทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติได้ระบุไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนาที่สวนทางกับสภาพความเป็นจริงของอาชีพในชุมชน เพราะการพัฒนาดังกล่าวเป็นผลเสียต่อการเกษตร ต่ออาชีพการประมงและการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล ตัวเลขทาง จีดีพี ของภาคใต้ในเรื่องของการเกษตรมีถึง 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าทุกๆ ภาค ถ้าหากมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นมาก็จะทำให้อาชีพของคนในชุมชนหายไป ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แต่ควรหันมาส่งเสริมทางด้านเกษตรกรรมซึ่งเป็นวิถีชีวิตหลักดั้งเดิมของชุมชนมากกว่า


 


"ถามว่าความเจริญพวกเราต้องการ แต่มันต้องอยู่บนฐานความถูกต้อง มลพิษเราไม่เอา" นายอำนาจ ทองหณีต ผู้ประสานงานกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และโรงงานอุตสาหกรรม ในพื้นที่ อ.ประทิว จ.ชุมพรกล่าว พร้อมให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาเมื่อปี 2532 ในพื้นที่ได้ถูกพายุเกพัดกระหน่ำจนบอบช้ำมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อชีวิตชาวบ้าและธรรมชาติฟื้นคืนกลับมาสมบูรณ์ รัฐบาลกลับจะมาเอาหายนะครั้งใหม่เข้ามาในพื้นที่ด้วยการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ รวมทั้งมีแผนการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่


 


ส่วนนายณรงค์ สุวรรณเกิด ผู้ประสานงานกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และโรงงานอุตสาหกรรม ในพื้นที่ อ.ประทิว จ.ชุมพร อีกคนหนึ่งกล่าวว่าการที่ชาวบ้านเดินทางมารวมตัวกันในวันนี้ก็เพื่อจะสื่อสารให้คนทั้งประเทศรู้ว่าไฟฟ้าที่ผลิตอยู่ในทุกวันนี้มันเกิดพออยู่แล้ว และที่ผ่านมาผู้บริโภคทั่วไปใช้ไฟฟ้าเพียง 40 เปอร์เซ็นต์แต่ต้องจ่ายเต็มร้อย


 


ทั้งนี้ แม้เชื่อว่าการมายื่นหนังสือในวันนี้คงไม่สามารถทำให้ยกเลิกแผน PDP ไปได้เลย แต่หลังจากนี้ก็จะทำการให้ความรู้กับประชาชนต่อไป เพราะคนที่รู้ในเรื่องดังกล่าวยังมีจำนวนไม่มากนัก


 


ด้านนายสันติ โชคชัยชำนาญกิจ กลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคต ให้ความเห็นเกี่ยวกับโรงฟ้านิวเคลียร์ที่เข้ามาอยู่ในแผนพีดีฉบับดังกล่าว ว่า จากสภาพเศรษฐกิจ และความสามารถในการใช้ไฟฟ้าของคนทั้งประเทศนั้นไม่มีความจำเป็นในการสร้าง โรงไฟฟ้าใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และนิวเคลียร์เลย ส่วนแผนการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น มีการนำเงินจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานมาใช้ในการประชาสัมพันธ์โครงการ เป็นจำนวน 1,300 กว่าล้านบาท ดูแลโดยสำนักงานพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งเป็นเงินที่เก็บมาจากค่าน้ำมัน ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะนับเงินในกองทุนนี้มาใช้ในการดำเนินการของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์


 


ประกาศยืนหยัดสู้ต่อในพื้นที่!


วัชรี เผ่าเหลืองทอง กลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคตกล่าวฝากไปถึงนายกรับมนตรีซึ่งลงนามเห็นชอบแผน PDP 2007 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 ว่า ผู้ที่มาชุมนุมไม่ยอมรับแผน PDP 2007 ฉบับนี้ ซึ่งหมายความว่าจะไม่อนุญาตให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่แม้แต่โรงเดียว และจะไม่ยอมจ่ายค่าบริการส่งผ่านท่อก๊าซธรรมชาติที่ถูกกำหนดราคาเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายต่อไปคือการต่อสู้ในพื้นที่ของตัวเอง ดังนั้นรัฐบาลหรือบริษัทเอกชนอย่าหวังว่าจะได้เข้าไปก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ได้


 


ทั้งนี้ การกระทำของชาวบ้านนี้นอกจากจะเป็นการปกป้องพื้นที่ ช่วยให้ไม่ต้องมีการสร้างโรงฟ้า ยังทำให้คนใช้ไฟฟ้าไม่ต้องจ่ายค่าไฟแพง


 


"ผู้ปกป้องผลประโยชน์ที่แท้จริงของประเทศ คือประชาชนเท่านั้น" วัชรีกล่าว


 


 


เอกสารประกอบ


[1]


 


 


ค่าไฟ ค่าก๊าซ ค่าน้ำมัน เตรียมขึ้นราคา ประชาชนตายแน่


รัฐบาลต้องยกเลิกแผนพลังงานพีดีพี 2007 (ฉบับอัปยศ)


 


 


แผนพลังงานพีดีพี 2007 (ฉบับอัปยศ) คืออะไร


 


คือแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2551-2564 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 ซึ่งกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดทำ และรัฐบาลในรูปของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา เป็นแผนพลังงานที่จะก่อให้เกิดสัญญาผูกพันระยะยาว 15 ปี ในการใช้เงินลงทุนมูลค่ากว่า 1.6 ล้านล้านบาทเพื่อแลกกับกำลังไฟฟ้า 3 หมื่นกว่าเมกะวัตต์ที่ไม่ได้มีความจำเป็นอย่างแท้จริง ด้วยการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และบริษัทเอกชนทำการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และพลังงานนิวเคลียร์เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า โดยผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากแผนพลังงานนี้คือ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ซึ่งจะมีรายได้จากการขายก๊าซธรรมชาติให้กับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. และของบริษัทเอกชน ในสัดส่วนสูงกว่า 66% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้จะถูกผลักมาให้ประชาชนทั้งประเทศต้องแบกภาระจ่ายเป็นค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน


 


 


จำเป็นหรือไม่...ที่ประชาชนต้องแบกภาระ 1.6 ล้านล้านบาทเพื่อความโลภของ ปตท.


 


ไม่จำเป็น...ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพียงแค่ 2.2 หมื่นกว่าเมกกะวัตต์เท่านั้น ในขณะที่โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในขณะนี้สามารถผลิตไฟฟ้ารวมกันได้เกือบ 3 หมื่นเมกะวัตต์ ต่างกันถึง 7,300 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองที่มากเกินพออยู่แล้ว แต่แผนพลังงานอัปยศที่เกิดจากร่วมมือของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงานบางคนที่ไปนั่งเป็นกรรมการในบริษัท ปตท.และบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนหลายแห่ง กลับตอกย้ำภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ด้วยการสั่งปลดโรงไฟฟ้าเดิมของ กฟผ.ที่ใช้เงินภาษีของประชาชนสร้างขึ้นมาและยังใช้งานได้ ออกจากระบบ เช่น โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าลานกระบือ โรงไฟฟ้าสุราษฎร์-ธานี โรงไฟฟ้าหนองจอก โรงไฟฟ้าบางปะกง เหตุที่ทำเช่นนี้เพื่อตบตาประชาชนทำให้ตัวเลขกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองลดลง และให้โรงไฟฟ้าใหม่ที่ได้มีการเซ็นต์สัญญาไปแล้วและกำลังทยอยเซ็นต์สัญญาเพิ่มเติม สามารถแทรกเข้ามาอยู่ในแผนพลังงานอัปยศนี้ได้อย่างถาวร สิ่งที่เกิดขึ้นคือทำให้ประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 จนถึงปี พ.ศ.2564 จะมีกำลังผลิตไฟฟ้ามากถึง 5 หมื่นเมกกะวัตต์ ในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง คงไม่มีใครหน้าไหนที่จะไปใช้ไฟฟ้ามากมายขนาดนั้น


 


 


ปตท.ยิ้มร่ารับแผนอัปยศ เตรียมขยับขึ้นค่าก๊าซ


 


สัญญาณบ่งชี้เรื่องนี้คือ คณะกรรมการกิจการพลังงาน (กพพ.) ได้อนุมัติให้ปรับขึ้นค่าบริการผ่านท่อส่งก๊าซธรรมชาติหรือค่าผ่านท่อก๊าซ ที่ ปตท. ร้องขอโดยอ้างว่าต้องลงทุนท่อก๊าซเพิ่มเติมตามแผนพีดีพี 2007 โดยค่าผ่านท่อก๊าซจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 19.74 บาทต่อล้านบีทียูเป็น 21.76 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งความจริงแล้ว ปตท.ไม่มีสิทธิ์มาคิดค่าผ่านท่อก๊าซและราคาควรจะลดลงด้วยซ้ำ เพราะศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ ปตท.ต้องคืนท่อก๊าซทั้งหมดให้กับรัฐเนื่องจากได้มาด้วยการเวนคืนโดยอาศัยอำนาจรัฐถือเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน แต่ ปตท.ทำการคืนทรัพย์สินเพียงแค่ 16,000 ล้านบาท ในขณะที่ ปตท.ประเมินต้นทุนค่าท่อเพื่อใช้ในการคำนวณขอขึ้นราคาค่าผ่านท่อสูงถึง 90,000 ล้านบาท การขึ้นค่าผ่านท่อครั้งนี้ส่งผลให้ประชาชนต้องรับภาระค่าไฟฟ้าสูงถึง 4,500 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ ก๊าซแอลพีจี ปตท.พยายามผลักดันให้รัฐบาลปล่อยลอยตัวตามราคาน้ำมันมาโดยตลอด และก๊าซเอ็นจีวี ปตท. ก็เตรียมพร้อมที่จะทยอยปรับราคาขึ้นตามลำดับหากได้รับการอนุมัติ โดย ปตท.มีแผนจะให้ขึ้นจาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัมเป็นปีละ 1 บาทต่อกิโลกรัม


 


 


ความผิดพลาดของแผนพลังงานอัปยศจะถูกยัดใส่ในค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ


 


การลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่จนล้นความต้องการ เพื่อหวังให้ผลิตไฟฟ้าได้มากๆ แต่ประเทศไทยไม่สามารถใช้ได้มากขนาดนั้นจะส่งผลให้โรงไฟฟ้าใหม่ที่สร้างขึ้นเป็นเพียงโกดังเก็บเครื่องปั่นไฟฟ้าเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน กฟผ.ในฐานะผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนและรับซื้อก๊าซจาก ปตท.ยังต้องจ่ายค่าซื้อไฟฟ้าและค่าก๊าซธรรมชาติอยู่ต่อไป ทั้งนี้มาจากเงื่อนไขสัญญาค่าโง่แบบ "ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย" ค่าโง่ที่ กฟผ.ต้องจ่ายทั้งหมดนี้จะถูกผลักมาอยู่ในค่าไฟฟ้าอัตโนมัติให้ประชาชนรับผิดชอบแทนในท้ายที่สุด


 


ในขณะเดียวกันยังนำเงินค่าไฟจากประชาชนไปตั้งเป็นกองทุนพัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าเพื่อจัดสรรให้กับโรงไฟฟ้าของบริษัทเอกชนด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อนำไปเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชุมชนรอบโรงไฟฟ้า ซึ่งเงินส่วนนี้ควรจะเป็นความรับผิดชอบของโรงไฟฟ้า แต่ปัจจุบันพบว่าถูกโรงไฟฟ้าใช้เป็นงบโฆษณาชวนเชื่อ สร้างภาพ สร้างความแตกแยก และจัดการกับผู้ที่คัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้า อย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นที่ อ.หนองแซง จ.สระบุรี และที่มาบตาพุด จ.ระยอง ชาวบ้านกำลังเผชิญกับความแตกแยกจากการใช้เงินกองทุนที่ผิดวัตถุประสงค์ในลักษณะดังกล่าว


 


 


 


ประชาชนต้องร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อให้รัฐบาลยกเลิกแผนพลังงานอัปยศโดยเร็ว


 


ท่านที่ได้รับเอกสารนี้...กรุณานำไปถ่ายสำเนาอย่างน้อยคนละ 10 แผ่น และช่วยกันเผยแพร่ส่งต่อให้กับคนรอบข้างของท่านต่อๆ กันไป เพื่อให้รับรู้กันอย่างกว้างขวางถึงกลฉ้อฉลของกระทรวงพลังงาน ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในแผนพลังงานอัปยศนี้ เพื่อร่วมกันเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกแผนพลังงานอัปยศนี้โดยเร็ว


 


เราไม่สามารถคาดหวังได้ว่าสื่อมวลชนหลักจะทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างเต็มที่หรือไม่ เพราะเจ้าของกิจการของสื่อส่วนใหญ่ ต่างได้รับผลประโยชน์ในรูปของเงินค่าโฆษณาที่บริษัทและหน่วยงานด้านพลังงานสนับสนุน ดังนั้น ประชาชนถึงประชาชน พวกเราต้องช่วยกัน 


หมายเหตุ: ข้อมูลบางส่วนจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค http://www.consumerthai.org/

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net