ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 14 มีนาคม 2552

การเมือง

 

"ไทมส์" ดิสเครดิต "มาร์ค" ตีข่าวอัดก่อนสุนทรพจน์ที่ อ็อกซฟอร์ด
มติชนออนไลน์ - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ปรากฏว่า หนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษ ตีพิมพ์บทวิพากษ์ของ นายริชาร์ด ลอยด์ แพร์รีย์บรรณาธิการภาคพื้นเอเชีย ซึ่งเคยเป็นศิษย์ร่วมมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดกับ นายอภิสิทธิ์


นายแพร์รีย์ ระบุว่า ถึงแม้น นายอภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองหนุ่มไฟแรงที่มีหน้าตาดี ฉลาดหลักแหลม และเป็นขวัญใจของชนชั้นกลางในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการที่ นายอภิสิทธิ์เคยเป็นอดีตนักเรียนเก่าของ Eton College โรงเรียนเอกชนชายล้วนชื่อดังระดับโลกของอังกฤษ ร่วมกับนายบอริส จอห์นสัน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนคนปัจจุบัน วัย 44 ปี ซึ่งถือเป็นเพื่อนสนิทของ นายอภิสิทธิ์ ในสมัยนั้น


แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะนำมาเป็นปัจจัยดังกล่าวมาเบี่ยงเบนความสนใจของประชาคมโลกจากความจริงอันน่ารังเกียจของสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ประเทศไทยกลายสภาพจากการเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสรีภาพและมีเสถียรภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นประเทศที่มีความวุ่นวายและแตกแยกมากที่สุดในภูมิภาค


นายแพร์รีย์ ยังระบุถึงการผลักดันกลุ่มผู้อพยพชาวโรฮิงยานับพันคนจากพม่าที่หมดหนทาง และสิ้นหวังให้ออกไปพบกับความตายในทะเล การที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยถูกบีบและกดดันให้พ้นจากอำนาจไป


นายแพร์รีย์ยังระบุด้วยว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ไม่เหมาะที่จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ Taking on the Challenges of Democracy ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นประชาธิปไตยในวันพรุ่งนี้ที่ออกซ์ฟอร์ด


นายแพร์รีย์ ระบุด้วยว่า นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเจตจำนงของคนส่วนใหญ่ และได้รับการสนับแบบไม่ชอบธรรมจากกลุ่มที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จนได้ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่สุด ทั้งกองทัพ รวมทั้งพันธมิตรฯ ซึ่งพันธมิตรฯ นี้เอง


นายแพร์รีย์ ยังระบุอีกว่า นายอภิสิทธิ์ มีความชาญฉลาดมีความสามารถ และมีคุณสมบัติที่ดีครบถ้วนทุกประการ ยกเว้นเพียงอย่างเดียว คือ ความถูกต้องชอบธรรมตามหลักประชาธิปไตย


"มาร์ค" ถึงอังกฤษ สื่อนอกรุมขอสัมภาษณ์

มติชนออนไลน์ - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะที่ออกเดินทางจากประเทศไทยเมื่อกลางดึกวันที่ 13 มีนาคม เดินทางถึงกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษแล้วเมื่อเวลา 07.20 น. วันที่ 13 มีนาคม ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง จากนั้นเดินทางจากสนามบินฮีธโทรว์ไปถึงที่พัก โรงแรมกรอสเวเนอร์เฮ้าส์ โดยมีผู้บริหารบริษัท เทสโก้เข้าหารือ


ทั้งนี้ ภารกิจแรกของนายกฯเริ่มเวลา 10.00 น. โดยจะเข้าหารือกับนายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง โดยหยิบยกเรื่องความเชื่อมั่นไทยในสายตาชาวอังกฤษและยุโรปมาหารือ พร้อมเสนอความเห็นของอาเซียนเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจที่จะเสนอต่อที่ประชุมจี 20 ในฐานะประธานอาเซียน จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซี


ต่อมาเวลา 12.30 น. ดยุกออฟยอร์ก พระราชทานเลี้ยงรับรองอาหารกลางวัน เพื่อเป็นเกียรติ ที่พระราชวังบักกิ้งแฮม เวลา 15.00 น. จะกล่าวสุนทรพจน์ต่อกลุ่มนักธุรกิจอังกฤษ ในหัวข้อ "การฟื้นฟู สร้างความเชื่อมั่น และขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า" ที่แมนชั่นเฮ้าส์ ซิตี้ออฟลอนดอน เวลา 17.00 น. กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดงาน "Thailand Tourism Meeting" ที่โรงแรมรอยัล แลงคาสเตอร์ ขณะที่เวลา 19.00 น. จะรับประทานอาหารค่ำ ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ ที่รัฐสภาอังกฤษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯเดินทางเยือนอังกฤษครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน โดยสำนักข่าวต่างๆ อาทิ บีบีซี, เวิลด์นิวส์, ไฟแนนเชียล ไทมส์ ได้ขอนัดสัมภาษณ์พิเศษ ซึ่งต้องใช้เวลาในช่วงรอยต่อระหว่างงานแต่ละงาน


ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางว่า ไปเยือนอังกฤษในฐานะประธานอาเซียน ทั้งนี้ เพื่อใช้ในการเตรียมเอกสารสำหรับการประชุมจี 20 ทั้งนี้ ในอดีตอังกฤษอาจจะเชื่อถือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจริง แต่ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว โดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมีขึ้น น่าจะทำให้ต่างชาติเห็นว่าไทยมีประชาธิปไตย และตนกล้าพูดว่ารัฐบาลนี้เป็นชุดแรกในรอบหลายปีที่พร้อมให้มีการตรวจสอบ


ส่วนกรณี นายใจ อึ๊งภากรณ์ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ถูกกล่าวหาในคดีหมิ่นสถาบันที่หลบหนีอยู่ที่ประเทศอังกฤษ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มั่นใจว่าจะได้เจอที่อังกฤษหรือไม่ แต่ทราบว่าจะเคลื่อนไหวต่อต้านการเดินทางไปบรรยายของตนที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด "จะได้รู้ว่านายใจเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ที่ขัดขวางการแสดงความเห็นของคนอื่น ทั้งนี้ได้ประสานทางการอังกฤษให้ดำเนินการกับนายใจไว้บ้างแล้ว เพราะนายใจเองก็มีหมายจับอยู่ แม้คดีจะยังไม่ถึงที่สิ้นสุดคิดว่าทางอังกฤษคงไม่ยอมให้นายใจใช้ประเทศของตนเป็นฐานในการโจมตีความมั่นคงของประเทศอื่นแน่" นายอภิสิทธิ์กล่าว

 

"เฉลิม" เตรียมฝึกซ้อม 20 ส.ส.ก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ

เว็บไซต์คมชัดลึก- นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชาชาชีวะ นายกฯ และ 5 รัฐมนตรี ไม่หวั่นไหวที่จะถูกซักฟอกหลังจากที่พรรคเพื่อไทยยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า เท่าที่เห็นภาพรวมข้อมูลในการอภิปรายทั้งหมดเชื่อมั่นว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลแน่นอน เพราะหลักฐานที่นำมาอภิปรายชัดเจนมาก

 

ดังนั้นเชื่อมั่นว่าพรรคร่วมรัฐบาลได้ฟังข้อเท็จจริงทั้งหมดจะต้องทบทวนในการร่วมรัฐบาลอย่างแนนอน และองค์กรอิสระที่ตรวจสอบ เมื่อได้ข้อมูลจากเราเพิ่มเติมเชื่อมั่นว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลแน่ เว้นแต่กรรมการองค์กรอิสระเป็นอัมพาต มองไม่เห็นหลักฐานที่เรายื่นไป

 

นายไพจิตกล่าวว่า ส่วนการเตรียมพร้อมของ ส.ส.ที่จะอภิปราย ในวันที่ 17 มี.ค.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ในฐานะประธานส.ส.ของพรรค จะเรียกประชุม ส.ส. 20 กว่าคนที่แสดงความจำนงจะอภิปราย เพื่อแบ่งทีมเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบรัฐมนตรีเป็นคนๆ ไป จากนั้นแต่ละทีมจะต้องมีการติวเข้ม ทดสอบอภิปรายว่าช่วงไหนจะโชว์เอกสารอะไร หรือต้องใช้แผ่นชาร์ตอะไร

 

พร้อมทั้งต้องเตรียมทีมที่จะแถลงข้อเท็จจริงหลังอภิปรายในสภาฯ ทั้งนี้การอภิปรายจะใช้ ส.ส.1-2 คนต่อรัฐมนตรี 1 คน ส่วนนายกฯจะใช้ ส.ส.3 คนร่วมกันอภิปราย ส่วนข้อกังวลที่หวั่นไหวว่าข้อสอบจะรั่วไปถึงรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายนั้น เรื่องนี้ได้กำชับอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราแบ่งทีมรับผิดชอบและแต่ละทีมจะมี 5 คน เมื่อข้อมูลรั่วไหลจะรู้ทันทีว่ามาจากใคร

 

เพื่อไทย เล็งถล่ม "นายกฯ" 1วันเต็ม

เว็บไซต์แนวหน้า - นายพีระพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย คณะทำงานอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าในส่วนของผู้อภิปรายครั้งนี้ จะต้องมาพิจารณาให้เหมาะสมกับ เวลาในการอภิปรายซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 2 วันน่าจะเพียงพอ โดยเบื้องต้น ในส่วนของนายกรัฐมนตรี คาดว่าจะใช้เวลาอภิปราย 1 วันเต็มๆ ถือว่าเป็นการให้เกียรตินายกรัฐมนตรี เพราะท่านนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูแลในการบริหารราชการแผ่นดินมีหลายประเด็นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หัวหน้าทีมอภิปราย พร้อมคณะ ส.ส.จะร่วมอภิปราย ส่วนอีกวัน จะเป็นการอภิปรายรัฐมนตรีทั้ง 5 คน


ป.ป.ช.ชงคดี "เอสเอ็มเอส" นายกฯ เข้าที่ประชุมสัปดาห์หน้า
มติชนออนไลน์ - นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) ยื่นขอให้ตรวจสอบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เนื่องจากสงสัยว่าอาจมีการกระทำผิดมาตรา 103 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 จากการให้บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือสนับสนุนการส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของฝ่ายกฎหมายของป.ป.ช.ที่จะต้องวินิจฉัยว่า การที่นายกรัฐมนตรีขอให้บริษัทเอกชนสนับสนุนการส่งเอสเอ็มเอสที่เป็นคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีไปยังผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือเข้าข่ายผิดกฎหมายป.ป.ช.มาตรา 103 ที่ระบุว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์จากบุคคลอื่นที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท นอกเหนือจากประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมายหรือไม่


เมื่อถามว่าจำเป็นต้องรวบรัดการพิจารณาหรือไม่ เพราะขณะนี้ฝ่ายค้านได้ยื่นเรื่องดังกล่าวเพื่อถอดถอนและอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแล้ว นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ได้เร่งรัดทุกเรื่องอยู่แล้ว คาดว่าสัปดาห์หน้า ฝ่ายกฎหมายจะส่งเรื่องให้ที่ประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณาว่า จำเป็นจะต้องตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนนายกรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวหรือไม่

 

"ทักษิณ" ปัดขออภัยโทษ-แค่ถวายรายงาน

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แจ้งต่อผู้สื่อข่าว เมื่อเวลา 14.35 น. วานนี้ (13 มี.ค.) ว่า ได้โทรศัพท์คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงข่าวที่ "The Japan Times" หนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษของญี่ปุ่น รายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับว่า ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้พูดว่า ทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ

 

"พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลเรื่องต่างๆ ประมาณ 3 ครั้ง ก่อนที่มีคำพิพากษาคดีซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก" นายพงศ์เทพ กล่าว

 

ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวเช่นกันว่า เป็นข่าวที่คลาดเคลื่อน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และต้องไปพำนักในต่างประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงได้ทำจดหมายถวายรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 3 ฉบับ ซึ่งเป็นการถวายรายงานก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสินคดีจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก

 

สำนักราชเลขาฯ ยัน "ทักษิณ" ยังไม่ขออภัยโทษ

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - ขณะที่ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกคำชี้แจงในเรื่องดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้รับการสอบถามจากสื่อต่างประเทศจำนวนหนึ่ง เกี่ยวกับคำสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไปแล้ว 3 ฉบับ กระทรวงการต่างประเทศจึงได้ตรวจสอบไปยังสำนักราชเลขาธิการ ซึ่งได้แจ้งให้ทราบว่า สำนักราชเลขาธิการยังไม่ได้รับการยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเช่นว่านั้นแต่อย่างใด

 

พร้อมทั้งได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมด้วยว่า ตามรัฐธรรมนูญ พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งมิอาจแยกได้ออกจากการดำเนินกระบวนการยุติธรรม และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กล่าวคือ เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ในกรณีผู้ต้องคำพิพากษาได้รับโทษอย่างใดๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง มีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ สำนักราชเลขาธิการจะส่งเรื่องให้กระทรวงยุติธรรม พิจารณาถวายความเห็น โดยนายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาประกอบพระบรมราชวินิจฉัยก่อนทุกเรื่อง ซึ่งสำนักราชเลขาธิการจะนำเรื่องเสนอต่อคณะองคมนตรี เพื่อพิจารณาแล้ว จึงจะนำความกราบบังคมทูลขอพระบรมราชวินิจฉัยเป็นขั้นสุดท้ายต่อไป

 

อัยการบินถกร่างสนธิสัญญาไทย-ฮ่องกง 17 มี.ค.

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กล่าวถึงการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ตนได้รับมอบหมายจาก นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ให้เป็นหัวหน้าคณะทำงานอัยการนำพนักงานอัยการฝ่ายต่างประเทศ 3 คน และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 1 คน เดินทางร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ไปยังฮ่องกง เพื่อเจรจาอย่างเป็นทางการในการร่างสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทย-ฮ่องกง ในวันที่ 17 มี.ค.นี้ ใช้เวลา 2-3 วัน เชื่อว่าทางการฮ่องกงจะเน้นหลักการเรื่องการร่างสนธิสัญญาฯ ระหว่างกัน มากกว่าการใช้วิธีต่างตอบแทนระหว่างรัฐ

 

ส่วนจะต้องเจรจากันอีกกี่รอบ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายว่าจะยอมรับในเงื่อนไขกันได้มากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้หากได้ข้อสรุปในเบื้องต้นอย่างไร ตนจะกลับมารายงานต่อนายชัยเกษม อัยการสูงสุด เพื่อเสนอต่อรัฐบาล และรัฐสภาต่อไป ส่วนจะติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเจรจาของทั้งสองฝ่าย หากการร่างสนธิสัญญาไม่สำเร็จก็อาจส่งผลให้ไม่สามารถนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมารับโทษได้ แต่เชื่อว่าการเจรจาน่าจะผ่านไปได้ด้วยดีและมีผลสำเร็จ

 

"เสื้อแดง" บุกสนามบินอุบลฯ ไล่รมว.สธ.

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - เช้าวานนี้ ที่สนามบินนานาชาติ จ.อุบลราชธานี ได้มีกลุ่มเสื้อแดงประมาณ 200 คน ชุมนุมขับไล่ นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเดินทางโดยสายการบินไทย ลงเครื่องที่สนามบินนานาชาติอุบลราชธานี เพื่อไปปฏิบัติภารกิจมอบนโยบายให้กับ อสม.ในพื้นที่ จ.ยโสธร ก่อนกลับมาปฏิบัติภารกิจที่ จ.อุบลราชธานี

 

กลุ่มคนเสื้อแดงไม่สามารถเข้าไปภายในตัวอาคารได้ เพราะถูกเจ้าหน้าที่กันไว้ที่บริเวณด้านหน้าสนามบิน ขณะที่บริเวณประตูขาออกได้มีกลุ่ม อสม.ประมาณ 500 คน รอต้อนรับ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ 200 นาย ซึ่งหลังจากที่ นายวิทยา ลงจากเครื่องก็ได้ขึ้นรถตู้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ จ.ยโสธร อย่างปลอดภัย

 

"สุกิจ" เชื่อ "12,000 ล." เหตุโดนโยก "เข้ากรุ"

บางกอกทูเดย์ - 11.00 น. นายสุกิจ เจริญรัตนกุล อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ก่อนย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ท่ามกลางบรรดาข้าราชการ สถ.จำนวนมากที่มาคอยให้กำลังใจ โดยมีการจัดพิธีอำลาตำแหน่งให้

 

โดยนายสุกิจได้กล่าวอำลาข้าราชการว่า ขอบคุณข้าราชการทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่มาอย่างดีตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา ชีวิตข้าราชการก็เป็นแบบนี้ มีเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องมีออกจากตำแหน่ง พร้อมย้ำกับข้าราชการทุกคนไม่ควรปฏิบัติหน้าที่ตามใจนักการเมือง เพราะท้ายที่สุดแล้วคนที่ต้องรับผิดชอบก็คือข้าราชการ

 

ทั้งนี้ นายสุกิจได้ปฏิเสธที่จะตอบถึงการถูกโยกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และยืนยันไม่ได้ถูกกดดันหรือสั่งห้ามจากผู้บังคับบัญชาไม่ให้พูดเรื่องดังกล่าว แต่เนื่องจากไม่ต้องการให้ถูกเชื่อมโยงไปเป็นประเด็นทางการเมือง

 

ดังนั้น ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบขั้นตอนของราชการ ซึ่งส่วนตัวไม่รู้สึกติดใจอะไรกับรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมเชื่อว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ตนเองถูกโยกย้ายในครั้งนี้ น่าจะมาจากเรื่องการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ 12,000 ล้านบาท ส่วนเรื่องการดำเนินการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองนั้น จะดำเนินการในเร็วๆ นี้

 

นายสุกิจกล่าวอีกว่า ฝ่ายค้านได้ขอข้อมูลเกี่ยวกับเงิน 12,000 ล้านบาท แต่ไม่ได้ให้ไปเนื่องจากเป็นข้อมูลลับของทางราชการ ไม่ต้องการให้ไปเชื่อมโยงเป็นประเด็นทางการเมืองหรือนำไปเป็นประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน และเชื่อว่าการเข้าทำงานในตำแหน่งใหม่ที่ได้รับจะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น เพราะเชื่อว่าทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองดี

 

ปธ.วุฒิเปิดทาง ส.ว.ประเมินผลงาน

แนวหน้า - นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงความคืบหน้าในประเมินผลการทำงานของตนเองในฐานะประธานวุฒิสภา ว่า ในวันที่ 30 - 31 มีนาคม วุฒิสภาจะจัดสัมมนาประจำปี ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ซึ่งตนจะใช้โอกาสนี้พูดคุยและประเมินผลงานของตนเองกับ ส.ว.ทั้งหมด โดยส่วนตัวนั้นมีความพอใจในผลงานของตนที่ได้ดำเนินการให้วุฒิสภาเป็นสภาของผู้ทรงคุณวุฒิได้ และได้ประจักษ์ถึงความเป็นกลางสู่สายตาประชาชน โดยวันที่ 26 มี.ค.จะมีการแถลงผลงานให้ทราบด้วย

 

นายประสพสุขกล่าวถึงกรณีกลุ่ม ส.ว.เลือกตั้งส่วนใหญ่ แสดงความไม่พอใจในความใกล้ชิดกับกลุ่ม 40 ส.ว.ว่า ตนยืนยันว่า ส.ว.ทุกคนมีความใกล้ชิดกัน เพราะทำงานร่วมกันมากว่า 1 ปี อีกทั้งยืนยันว่าตนไม่ได้ให้ความสนิทสนมกับกลุ่มใดเป็นพิเศษ เพราะตนต้องทำหน้าที่อย่างเป็นกลางส่วนกระแสข่าวที่ออกมาก็เป็นนานาจิตตัง นอกจากนี้ ตนเชื่อว่าส.ว.ทุกคนต่างทำหน้าที่ในฐานะส.ว.ไม่ใช่เพื่อส่วนตัวแต่ทุกคนทำเพื่อส่วนรวม และทำหน้าที่อยู่ในกรอบของความเป็นกลาง

 

 

ความมั่นคง

 

โครงสร้างใหม่ ตร.เสนอเพิ่มอีก 5 กองบัญชาการ
มติชนออนไลน์ - เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 13 มีนาคม ที่ห้องประชุม 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานประชุมพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างใหม่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ตามที่คณะทำงานปรับปรุงโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอขึ้นมา ให้มีการปรับเพิ่มกองบัญชาการ (บช.) ใหม่เข้าไปอีก 5 บช.และเพิ่ม 46 กองบังคับการ (บก.) ทำให้จากเดิมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีอยู่ 26 บช.181 บก.เพิ่มเป็น 31 บช.กับอีก 277 บก.


พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าวภายหลังว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาให้ความเห็นในหลายประเด็น แต่ให้คณะทำงานไปปรับอีกครั้ง ซึ่งภาพรวมทั้งหมดจะมี บช.ใหม่ประมาณ 4-5 บช.ส่วนการอำนวยการ และส่วนสนับสนุน ก็แยกแยะกันออกไป สำหรับการแต่งตั้งที่ปรึกษา (สบ 10) ในตำแหน่งที่เปิดขึ้นใหม่ ในอนาคตก็ต้องแต่งตั้งตัวบุคคล หากถึงวาระแต่งตั้งก็ต้องนำเข้าสู่คณะกรรมการกลั่นกรองพิจาณาก่อนนำเข้า ก.ตร.ตามปกติ

 

วุฒิสภาเลือกกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิคนใหม่ได้แล้ว
มติชนออนไลน์ - ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 13 มีนาคม มีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม วาระการเลือกกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ แทนตำแหน่งที่ว่าง 2 ตำแหน่ง โดยผู้ได้รับการเสนอชื่อมีจำนวน 4 คน ได้แก่ นายอำนวย ยศสุข อดีตรมช.พาณิชย์ นายอารยะ วิวัฒน์วานิช อดีตผู้ว่าฯพังงา พล.อ.เกษมชาติ นเรศเสนีย์ อดีตจเรทหารทั่วไปกระทรวงกลาโหม และนายไพรัช วรปาณิ อดีตที่ปรึกษาสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ที่ประชุมมีมติเลือก นายอำนวย ด้วยคะแนน 88 เสียง และนายไพรัช ด้วยคะแนน 67 เสียง ซึ่งทั้งสองคนเป็นผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด เป็นกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ

 

สำหรับประวัติ นายอำนวย ปัจจุบันอายุ 72 ปี จบการศึกษาปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท เศรษฐศาสตร์การเกษตร มหาวิทยาลัยอริโซนา สหรัฐอเมริกา และดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เศรษฐศาสตร์สหกรณ์ สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ เคยเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงอาทิ รมช.สาธารณสุข รมช.คลัง รมช.ต่างประเทศ รมช.พาณิชย์

 

ส่วนนายไพรัช ปัจจุบันอายุ 69 ปี จบการศึกษาวารสารศาสตร์บัณฑิต และนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิตไทย สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เคยเป็นกรรมการผู้อำนวยการบริษัทธุรกิจประกันภัย ผู้ชำนาญการและนักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการการเงิน การคลังการธนาคารและสถาบันการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร

 

 

เศรษฐกิจ

 

ทอท.จี้บินไทยเคลียร์สัญญาดอนเมือง

ไทยโพสต์ -อนายสมชัย สวัสดีผล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ) บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เปิดเผยว่า ทอท.เตรียมดำเนินการการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร (Low Service Terminal) ตามแผนการปรับแนวทางการดำเนินการการลงทุนเพื่อขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายหลังจากได้รับนโยบายจาก นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.โดยใช้งบประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี ซึ่งจะรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีก 10-15 ล้านคนต่อปี

 

ทั้งนี้ ตามแผนเดิมได้มีการออกแบบเบื้องต้นอาคารผู้โดยสารดังกล่าวไว้แล้ว โดยจะก่อสร้างบริเวณพื้นที่ว่างด้านซ้ายของอาคารผู้โดยสารหลัก แยกเป็นอาคารสำหรับผู้โดยสารภายในประเทศ และมีระบบขนส่งผู้โดยสาร (APM) เชื่อมกับอาคารผู้โดยสารหลักที่เป็นอาคารสำหรับผู้โดยสารต่างประเทศ

 

"อาคารดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับสุวรรณภูมิเฟส 2 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม และไม่ได้มีการลดขนาดเฟส 2 แต่อย่างใด" นายสมชัยกล่าว

 

นายสมชัยกล่าวว่า แนวทางดังกล่าวจะทำให้ ทอท.สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ทันกับการเติบโตของผู้โดยสาร เพราะหากรอเฟส 2 จะต้องใช้เวลากว่า 7 ปี ในขณะที่หากลงทุนเฉพาะอาคารผู้โดยสารก่อนจะแล้วเสร็จในปี 2557

 

นายสมชัยกล่าวว่า ทอท.อยู่ระหว่างการพิจารณาด้านการเงินการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะใช้ทั้งเงินกู้และงบประมาณ จากนั้นจะเสนอบอร์ด ทอท. และเสนอแผนการลงทุนไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อพิจารณาต่อไป

 

ด้านว่าที่ ร.ท.ภาสกร สุระพิพิธ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมือง ทอท.กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้า ฝ่ายท่าอากาศยานดอนเมืองจะทำหนังสือเชิญ บมจ.การบินไทย เข้าหารือถึงแนวทางการดำเนินการในสัญญาการเช่าพื้นที่และสำนักงานภายในสนามบินดอนเมืองของการบินไทย ภายหลังจากวันที่ 29 มี.ค.52 นี้ การบินไทยจะทำการย้ายไปเปิดให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ของการบินไทย ขณะนี้ยังไม่มีการย้ายออกจากดอนเมือง

 

หยุดถกเอฟทีเออาเซียน-อียูชั่วคราว

โพสต์ ทูเดย์ - น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า คณะกรรมการร่วมจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรป (อียู) ได้เจรจากันที่มาเลเซียและมีมติร่วมกันที่จะให้หยุดพักการเจรจาจัดทำเอฟทีเอเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการหารือในระดับนโยบายว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

 

ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อยุติได้ในกรอบเจรจาที่ฝ่ายอาเซียนต้องการให้เจรจาในระดับภูมิภาคต่อภูมิภาค แต่ทางอียูต้องการเจรจาระดับภูมิภาคกับบางประเทศของอาเซียนที่มีความพร้อมก่อน

 

นอกจากนี้ อียูได้แจ้งปัญหาสำคัญขณะนี้ คือความแตกต่างในเรื่องระดับการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกันของอาเซียน และเกิดปัญหาในประเด็นความต้องการในด้านการเปิดตลาดที่ต่างกัน อียูจึงต้องการเจรจาภายใต้กรอบภูมิภาคอียูกับประเทศอาเซียนที่มีความพร้อมเปิดตลาดอย่างน้อย 3 ประเทศขึ้นไปก่อน

 

สำหรับเหตุผลเพื่อเป็นการสร้างฐานที่จะนำไปสู่ความตกลงระดับภูมิภาคในภายหลัง ซึ่งอาเซียนเดิม 6 ประเทศ เช่น ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนามอยู่ในเป้าหมายที่อียูต้องการเจรจา

 

"อาเซียนเห็นว่าการเจรจาเอฟทีเออาเซียน- อียู เดิมรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายได้เห็นร่วมกันที่จะให้เป็นการเจรจาระดับภูมิภาคต่อภูมิภาค จึงได้แจ้งทางอียูไปว่า อาเซียนยึดหลักเจรจาอันนี้ หากจะเปลี่ยนต้องเป็นการตัดสินใจระดับรัฐมนตรี ซึ่งในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 4-6 พ.ค.นี้ที่กัมพูชา จะเชิญรัฐมนตรีการค้าของอียูมาร่วมประชุมด้วยเพื่อหาทางออก" น.ส.ชุติมา กล่าว

 

สำหรับการเตรียมความพร้อมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเวทีต่างๆ กรมฯ ได้ตั้งคณะที่ปรึกษาการเจรจาการค้าระหว่างประเทศแล้ว โดยมีตัวแทนจากทุกภาคส่วนในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และธุรกิจบริการ นักวิชาการ และภาคประชาสังคม เข้าร่วมจำนวนทั้งสิ้น 100 ราย กำหนดประชุมใหญ่ปีละ 2 ครั้ง และให้มีการประชุมกลุ่มย่อย 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มการมีส่วนร่วม กลุ่มประเด็นทางสังคมสิ่งแวดล้อมและทรัพย์สินทางปัญญา กลุ่มประเด็นการค้าบริการและการลงทุน กลุ่มสินค้าเกษตร และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม

 

"ได้มีการประชุมคณะใหญ่เพื่อกำหนดท่าทีการเจรจากันไปแล้วเมื่อเดือนก.ย.2551 และประชุมกลุ่มย่อยทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง ทำให้กรมฯ ได้ประโยชน์สามารถนำท่าทีการเจรจาและข้อเสนอแนะที่ได้มากำหนดกรอบการเจรจาของไทยได้อย่างถูกต้อง" น.ส.ชุติมา กล่าว

 

ชง "กรณ์" พิจารณาขึ้นสรรพสามิต "ชา-กาแฟ-สถานบริการ"
มติชนออนไลน์ - รมช.คลัง เสนอขึ้นสรรพสามิต "ชา-กาแฟ-สถานบริการ" ให้รมว.คลัง พิจารณา 16 มี.ค. เบื้องต้นเสนอจัดเก็บ 10-20 เปอร์เซนต์ 1.5-3 พันล้านบาท รวมภาษีเหล้า-บุหรี่ สลากกินแบ่ง เกมออนไลน์ เอสเอ็มเอส คาดเก็บรายได้เพิ่มปีละ 3 หมื่นล้าน ธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมขึ้นเช็ค 2 พันช่วยชาติต่างพื้นที่
 

นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ว่า ในวันที่ 16 มีนาคม จะนำผลศึกษาการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตชา กาแฟ และสถานบริการ ที่คณะกรรมการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตทั้งระบบ ซึ่งมีน.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เสนอนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับทราบ ส่วนภาษีบาป (sin tax) ที่เหลืออีก 7-8 ตัว เช่น เหล้า บุหรี่ คาดว่าจะสรุปได้ในอีก 2 สัปดาห์ จากนั้นน่าจะสามารถส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายในต้นเดือนเมษายน 2552


"เท่าที่คุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็เห็นด้วยในหลักการที่จะมีการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ทั้งระบบ และให้คำแนะนำว่าควรต้องพิจารณาให้รอบคอบ เน้นการจัดเก็บภาษีสินค้าที่กระทบกับสุขภาพและไม่จำเป็นสำหรับการบริโภค ส่วนสินค้าบางประเภทที่ไม่เคยเก็บภาษีมาก่อน หรือได้รับการยกเว้นเอาไว้ ต้องมานั่งทบทวนและพัฒนาอัตราการจัดเก็บให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และหากมีข้อสรุปว่าจะต้องจัดเก็บจริง ก็จะเรียกผู้ประกอบการต่างๆ มาทำความเข้าใจ รวมถึงผู้บริโภคด้วย" นพ.พฤฒิชัยกล่าว


นพ.นพ.พฤฒิชัยกล่าวว่า แนวทางในการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ชา กาแฟ ในเบื้องต้นคาดว่าจะจัดเก็บในอัตรา 10-20% โดยประเมินตามปริมาณคาเฟอีน คิดเป็นเม็ดเงินรายได้ปีละประมาณ 1,500-3,000 ล้านบาท ขณะที่ภาษีสรรพสามิตจากสถานบริการ คาดว่าจะจัดเก็บในอัตรา 10% คิดเป็นเม็ดเงินรายได้ปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนภาษีสรรพสามิตบุหรี่และเหล้า น่าจะมีรายได้เพิ่มปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท รวม 3 ประเภทประมาณปีละ 15,000 ล้านบาท ส่วนภาษีอื่นๆ เช่น สลากกินแบ่งรัฐบาล เกมออนไลน์ เอสเอ็มเอส เป็นต้น น่าจะเก็บได้ปีละประมาณ 15,000 ล้านบาท รวมแล้วจะมีรายได้เพิ่มอีกปีละประมาณ 3 หมื่นล้านบาท


รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า นอกจากนี้จะปรับคำนิยามเกี่ยวกับสถานประกอบการให้ทันสมัยมากขึ้น จากเดิมที่กำหนดหลักการไว้ว่าสถานบริการที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีสรรพสามิต จะต้องมีการดื่ม กิน เต้นรำ และมีการแสดงเป็นประจำ จึงจะถือว่าเป็นดิสโก้และไนท์คลับ แต่ปัจจุบันสภาพการณ์เปลี่ยนไป เพราะไม่มีการจัดทำพื้นที่เต้นรำ จึงไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้น จำเป็นต้องปรับคำนิยามใหม่ให้ครอบคลุมสถานบริการทั่วประเทศที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 4,000 แห่ง หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นด้วย ก็สามารถออกเป็นประกาศกระทรวงได้ทันที


 "สินค้าบาปบางตัวมันมีเพดานอยู่แล้ว เช่น ชา กาแฟ เหล้า บุหรี่ จึงพิจารณาได้เร็วที่สุด ส่วนตัวอื่นๆ อีก 7-8 ตัว ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการว่าจะตัดสินใจปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตอย่างไร และอัตราเท่าใด เพราะคณะกรรมการต้องพิจารณาในภาพรวมว่า หากขยายแล้วฐานสินค้าจะเป็นอย่างไร ผู้บริโภคจะลดลงหรือไม่ ราคาสินค้าจะปรับขึ้นจนเป็นภาระให้ประชาชนเกินไปหรือไม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด" นพ.พฤฒิชัยกล่าวและว่า ในการพิจารณาครั้งนี้กระทรวงการคลังนำผลการศึกษาทั้งของคณะกรรมการชุดที่มีน.ส.สุภา เป็นประธาน ผลการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และผลการศึกษาของกรมสรรพสามิต มาประกอบกันเพื่อให้รอบด้านมากที่สุด


ส่วนความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเช็คช่วยชาตินั้น นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า สมาคมธนาคารไทยได้หารือเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ถึงเรื่องค่าธรรมเนียมการขึ้นเช็คช่วยชาติ 2,000 บาทกรณีต่างพื้นที่ ได้ข้อสรุปว่าธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจะสนองนโยบายของรัฐบาล โดยจะเว้นค่าธรรมเนียมการขึ้นเช็คในต่างพื้นที่ให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเช็ค ทำให้ผู้มีสิทธิสามารถนำเช็คไปขึ้นเงินโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม 10 บาท การเว้นค่าธรรมเนียมในกรณีนี้ธนาคารจะเป็นผู้แบกรับต้นทุนดังกล่าวไว้เอง


นางนงนุช เทียนไพฑูรย์ รองกรรมการผู้จัดการผู้บริหารสายงาน สายงานเครือข่าย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 500 บาท โดยให้ผู้สูงอายุนำสมุดบัญชีเงินฝากไปลงทะเบียนที่สำนักงานเขตหรือเทศบาล ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 15 มีนาคมนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุ ธนาคารได้จัดเจ้าหน้าที่บริการเปิดบัญชีกับผู้สูงอายุเป็นกรณีพิเศษ ในวันที่ 14 -15 มีนาคม เฉพาะสาขาที่เปิดให้บริการ 7 วันทำการ ทั้งนี้ ธนาคารคิดค่าเปิดบัญชีในอัตรา 100 บาท แต่ไม่คิดค่าธรรมเนียมในการโอนเงินกับลูกค้า

 

จัดเส้นทางเที่ยวรอบกรุง เจาะต่างชาติรอต่อเครื่อง

โพสต์ ทูเดย์ - นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้ร่วมกับสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (แอตต้า) จัดแพ็กเกจทัวร์ท่องเที่ยวที่มีสถานที่ตั้งระยะทางไม่เกิน 100 กิโลเมตร จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอย่าง จ.สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ราชบุรี พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ นำเสนอขายให้กับ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่แวะเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศอื่น

 

ทั้งนี้ เบื้องต้นการจัดโปรแกรมทัวร์ดังกล่าวมีประมาณ 10 เส้นทาง เช่น วัด วัง สปา ตลาดน้ำ ร้านอัญมณีและเครื่องประดับ นิทรรศการงานศิลป์แผ่นดินสยาม เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ เป็นต้น โดยการนำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวจะเน้นความหลากหลายและการท่องเที่ยววิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม โดยแพ็กเกจนี้จะเริ่มจำหน่ายในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้

 

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ เดินทางมาเปลี่ยนเครื่องในประเทศไทยที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฉลี่ยปีละ 3 ล้านคน มีระยะการรอเปลี่ยนเครื่อง 3-11 ชั่วโมง ในปีแรกตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าว 1% ราว 3 หมื่นคน เดินทางเที่ยว

 

นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าจะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น แอตต้า บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพื่อรวบรวมข้อมูลทางการท่องเที่ยว รวมถึงทำความเข้าในโครงการดังกล่าวในเป็นทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องการผ่อนผันค่าธรรมเนียมเข้า-ออก (วีซ่า) ฟรี ซึ่งแคมเปญนี้รัฐบาลได้อนุมัติให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยโดยไม่ต้องทำวีซ่าด้วย

 

ด้านนายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า ททท.ได้เปิดตัวโครงการ เช็ค อิน อีสาน เที่ยวอีสานครึกครื้น เศรษฐกิจอีสานคึกคัก ระหว่างวันที่ 12-15 มี.ค. ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อ จูงใจให้คนกรุงเทพฯ เดินทางท่องเที่ยวในอีสาน ซึ่ง ททท.ตั้งเป้า ดึงนักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวอีสาน 25 ล้านคน เทียบกับปีที่ผ่านมา 21 ล้านคน

 

ธกส.อุ้มไร่อ้อย ปล่อยกู้ภัยแล้ง 3 ปีเท 6 พันล้าน

ไทยโพสต์ - นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการ รักษาการผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ได้สานต่อโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย ระยะที่ 2 ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยตั้งวงเงินสินเชื่อไว้ 6,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี หรือปีละ 2,000 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยกู้เพื่อนำไปลงทุนพัฒนาและบริหารจัดการน้ำทุกรูปแบบ จากโครงการระยะที่ 1 ให้เฉพาะกรณีขุดสระน้ำกับขุดเจาะน้ำบาดาลเท่านั้น

 

ซึ่งเกษตรกรจะกู้ได้รายละไม่เกิน 2.6 แสนบาท ชำระคืนใน 3 ปี เสียดอกเบี้ยเพียง 2% ต่อปี เนื่องจากรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 3.5% (จากอัตรา MRR-2%) หรือสูงสุดราว 180 ล้านบาท โครงการมีระยะเวลาตั้งแต่เดือน ต.ค.2551 สิ้นสุดเดือน ก.ย.2554

 

อย่างไรก็ดี เนื่องจากโครงการระยะแรกที่ให้เกษตรกรกู้เงินโดยให้โรงงานน้ำตาลคู่สัญญาเป็นผู้ค้ำประกันเท่านั้น ปรากฏว่ามีเกษตรกรขาดความรับผิดชอบ ทำให้ภาระหนี้ตกอยู่กับโรงงานน้ำตาลเพียงผู้เดียว ดังนั้น ในระยะที่ 2 จึงปรับเงื่อนไขว่า เกษตรกรจะต้องมีหลักทรัพย์มาค้ำประกันเงินกู้ด้วย หรืออาจจะใช้บุคคล 5 คนเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งให้โรงงานน้ำตาลที่เป็นคู่สัญญาร่วมค้ำประกันด้วยก็ได้

 

นายเอ็นนูกล่าวว่า นอกจากช่วยเหลือชาวไร่อ้อยแล้ว ธ.ก.ส.อยู่ระหว่างคิดโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดอื่นๆ ที่ประสบปัญหาภัยแล้งด้วย โดยเฉพาะชาวสวนผลไม้ในภาคตะวันออก ที่ทุกปีจะมีการปล่อยสินเชื่อสำหรับให้เกษตรกรซื้อน้ำไปรดต้นไม้ปีละ 200-300 ล้านบาท

 

 

คุณภาพชีวิต

 

สว.ตีกลับเลือก กทช.หลังคะแนนไม่ลงตัว

โพสต์ ทูเดย์ - การลงมติเลือกกรรมการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ในการประชุมสมาชิกวุฒิสภาวันที่ 13 มี.ค. ได้มี การพิจารณาวาระด่วนในการเลือกกรรมการ กทช.ทั้ง 2 บัญชี ปรากฏว่าไม่มีผู้ได้รับการสรรหาคนใดได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง จากการลงคะแนนเสียงทั้งสองครั้ง จึงทำให้วุฒิสภาต้องส่งเรื่องกลับให้คณะกรรมการสรรหา เพื่อกลับไปพิจารณาใหม่อีกครั้ง แล้วให้ส่งกลับให้สมาชิกวุฒิสภาพิจารณาโดยเร่งด่วน

 

ทั้งนี้ การเลือก กทช. แทนตำแหน่งที่ว่างจำนวน 4 คน ตามมาตรา 40 ของพระราชบัญญัติการจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2543 ซึ่งคณะกรรมการสรรหากรรมการ กทช.ได้เสนอรายชื่อผู้ที่เห็นสมควรได้รับเลือกเป็นกรรมการ กทช.จำนวน 2 บัญชี ต่อจากครั้งที่แล้วที่การประชุมวุฒิสภาล่มไป

 

นอกจากนี้ การประชุมได้มี การตั้งข้อสังเกตถึงข้อบกพร่องในกระบวนการสรรหาที่ให้อำนาจคณะกรรมการสรรหาสามารถเสนอรายชื่อบุคคลทั้งสองบัญชีซ้ำกันได้ ทำให้วุฒิสภาส่วนใหญ่ตั้งข้อครหาว่ามีการล็อกชื่อบุคคล

 

เครือข่าย สวล.ล่าชื่อหนุนสร้างธรรมาภิบาล "มาบตาพุด"
มติชนออนไลน์ - สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 13 มีนาคม เรียกร้องให้มีการร่วมลงชื่อสนับสนุนหัวข้อ ข้อเสนอเพื่อการเสริมสร้าง ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม "มาบตาพุด" โดย เครือข่ายธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมประเทศไทยและองค์กรภาคี ระบุว่า ตามที่ศาลปกครองจังหวัดระยองได้มีคำพิพากษาเมื่อวันอังคารที่ 3 มีนาคม 2551 ในคดีที่ชาวบ้านในพื้นที่มาบตาพุดฟ้องร้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมีคำสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศให้พื้นที่เทศบาลตำบลมาบตาพุดทั้งหมด รวมทั้ง ต.เนินพระ ต.มาบข่า ต.ทับมา อ.เมืองระยอง และ ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เป็นเขตควบคุมมลพิษภายใน 60 วัน นั้น


เครือข่ายธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมประเทศไทยและองค์กรภาคี ประกอบด้วย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย สถาบันพระปกเกล้า มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการยุทธศาสตร์นโยบายฐานทรัพยากร ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภาทนายความ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม และนักวิชาการอิสระ มีความเห็นร่วมกันว่ารัฐไม่ควรยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองระยอง และควรนำหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม อันประกอบด้วย การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการตัดสินใจ และการเข้าถึงความยุติธรรม มาดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ดังกล่าว


ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายฯ จึงได้จัดทำ แถลงการณ์ เรื่อง ข้อเสนอเพื่อการเสริมสร้างธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม "มาบตาพุด" (รายละเอียดแถลงการณ์ ดังไฟล์แนบ) โดยได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง


ในการนี้ เครือข่ายฯ ขอนำส่งแถลงการณ์กรณีมาบตาพุดฉบับนี้มายังสื่อมวลชนทุกท่าน เพื่อพิจารณาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แถลงการณ์ฉบับนี้ในสื่อต่างๆ และหากประชาชนท่านใดสนใจร่วมลงชื่อสนับสนุนแถลงการณ์ สามารถส่งมาได้ที่อีเมล maptapud@tei.or.th หรือ โทรสาร 02-504-4826-8 และติดตามรายละเอียดและความคืบหน้าของแถลงการณ์ได้ในเว็บไซต์สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย http://www.tei.or.th/PR/090311-maptapud.htm
 

 

ต่างประเทศ

 

ระทึก ตำรวจแดนกังหันสลายแผนบึ้มถล่มอัมสเตอร์ดัม
มติชนออนไลน์ - บีบีซีรายงานเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ว่า ตำรวจเนเธอร์แลนด์ได้จับกุมผู้ต้องสงสัย 7 ในข้อหาต้องสงสัยวางแผนระเบิดร้านค้าหลายแห่งในกรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงประเทศอัมสเตอร์ดัม หนึ่งวันภายหลังได้รับแจ้งโทรศัพท์จากผู้ประสงค์ดีระบุว่า จะมีแผนวางระเบิดร้านค้าหลายแห่ง ในอัมสเตอร์ดัม สร้างความเสียหายอย่างมาก โดยผู้ต้องสงสัยทั้ง 7 เป็นชาย 6 ราย และหญิง 1 ราย ซึ่งมีเชื้อชาติเป็นชาวโมร๊อกโก

 

การจับกุมดังกล่าวส่งผลให้ตำรวจได้ปิดถนนย่านการค้าสำคัญในอัมสเตอร์ดัม รวมทั้งยกเลิกคอนเสิร์ตของวงร็อคอเมริกันด้วย ด้านนายกเทศมนตรีกรุงอัมสเตอร์ดัมกล่าวว่า โทรศัพท์จากผู้ประสงค์ดีถึงตำรวจ ได้เตือนถึงภัยก่อการร้ายโจมตีสถานที่มีผู้คนพลุกพล่าน ขณะที่ก่อนหน้านี้ ตำรวจอัมสเตอร์ดัมออกแถลงการณ์กล่าวว่า ภัยดังกล่าวต้องถูกพิจารณาอย่างจริงจัง

 

พม่าไฟเขียว เพิ่มหน้าที่UN ดูแลโรฮิงญา

ไทยโพสต์ - ข้าหลวงใหญ่ยูเอ็นเอชซีอาร์เสร็จสิ้นภารกิจการเยือนพม่าเมื่อวันพฤหัสบดี พร้อมได้รับไฟเขียวจากทางการพม่าให้ยูเอ็นเพิ่มบทบาทการให้ความช่วยเหลือแก่ชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญา

 

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส ข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอชซีอาร์ เดินทางออกจากพม่าแล้ว หลังจบสิ้นภารกิจการเยือนเป็นเวลา 6 วัน เพื่อคลี่คลายปัญหาชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮิงญา ที่จำนวนมากพากันอพยพโดยทางเรือหนีการปกครองที่กดขี่ในพม่าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

 

แถลงการณ์ของสหประชาชาติระบุว่า นายกูเตอร์เรสได้เดินทางไปที่ซิตตเว เมืองหลวงของรัฐยะไข่ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่ รวมถึงเมืองท่ามะริด จุดที่ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ออกเรือหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทยและอินโดนีเซีย และท้ายที่สุดได้รับการเห็นชอบจากรัฐบาลทหารพม่าให้เพิ่มบทบาทการทำหน้าที่ของยูเอ็นในรัฐยะไข่ เนื่องจากปัจจุบันการให้ความช่วยเหลือแก่ชาวโรฮิงญาในพื้นที่ดังกล่าวยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ

 

ก่อนหน้านี้ ทางการพม่าปฏิเสธว่าชาวโรฮิงญาไม่ใช่ประชาชนของตน ขณะที่กลุ่มเรียกร้องสิทธิมนุษยชนระบุว่า คนกลุ่มนี้ถูกรัฐบาลพม่าทารุณด้วยวิธีอันโหดร้าย แถมยังต้องทนทุกข์กับสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ปัจจุบันผู้อพยพชาวโรฮิงญาจำนวนมากอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ

 

เมื่อต้นปี ชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนได้รับการช่วยเหลือบริเวณน่านน้ำอินโดนีเซียและอินเดีย โดยผู้อพยพเหล่านี้อ้างว่าถูกทหารไทยทำร้ายระหว่างพยายามหลบหนีขึ้นฝั่งที่ไทย แต่ทางการไทยปฏิเสธข้อกล่าวหานี้


จีนจับตาวิกฤต ศก.สหรัฐ หวั่นทำทรัพย์สินเงินกู้สูญมหาศาล
มติชนออนไลน์ - ผู้นำจีนแสดงความวิตกทรัพย์สินเงินกู้ในสหรัฐ เตือนจับตาสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐอย่างใกล้ชิด

"วอชิงตัน โพสต์" รายงานเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ว่า นายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน กล่าวในการแถลงข่าวประจำปีต่อผู้สื่อข่าวในกรุงปักกิ่งว่า แสดงความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจีนจะสามารถคงการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปได้ หรือในระดับ 8 % โดยรัฐบาลพร้อมจะใช้เงินทุนอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกหากจำเป็น

 

ขณะเดียวกัน ผู้นำจีนแสดงความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐซึ่งอาจกระทบต่อทรัพย์สินเงินกู้ของจีนในสหรัฐ ระบุว่า จีนกำลังจับตาสถานการณ์ในสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีบารัก โอบามา เพราะจีนมีมูลค่าทรัพย์สินเงินกู้ในสหรัฐเป็นจำนวนมหาศาล จีนจึงห่วงใยเกี่ยวกับความปลอดภัยของทรัพย์สินเหล่านี้

 

ทั้งนี้ ปัจจุบัน จีนมีทุนสำรองแลกเปลี่ยนใหญ่ที่สุดของโลก หรือคิดเป็นมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ จำนวนนี้ 2 ใน 3 เป็นการถือครองทรัพย์สินในสหรัฐ โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐ

 

ศาลสหรัฐฯสั่งขังอดีต ปธ.ตลาดหุ้นแนสแด็กฉ้อโกง ปชช.
มติชนออนไลน์ - ศาลสหรัฐฯ มีคำสั่งให้คุมขัง นายเบอร์นาร์ด มาดอฟฟ์ อดีตประธานตลาดหุ้นแนสแด็ก เพื่อรอการพิจารณาคดีในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ หลังจากที่แมดดอฟยอมรับสารภาพ ในคดีฉ้อโกงประชาชนด้วยการต้มตุ๋นในลักษณะแชร์ลูกโซ่ ซึ่งคาดว่า นายมาดอฟฟ์ ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 70 ปี อาจถูกจำคุกนานถึง 150 ปี ในความผิด 11 ข้อหา ที่ฉ้อโกงประชาชนมานานกว่า 20 ปี คิดเป็นเงินมูลค่าเกือบ 65,000 ล้านบาท หรือเกือบ 2,300,000 ล้านบาท
 

ทั้งนี้ นายมาดอฟฟ์ ยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา จึงได้รับสิทธิ์ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้อง และไม่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเงินที่โกงมานั้นอยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับคนที่ถูกโกง เพราะเชื่อว่านายมาดอฟฟ์ไม่ได้ทำงานนี้ตามลำพัง

 

โสมออกบอนด์ ระดมกองทุน อุดรูรั่วการเงิน

โพสต์ ทูเดย์ - คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจเกาหลีใต้ (เอฟเอสซี) ออก แถลงการณ์วานนี้ว่า เกาหลี แอสเซท แมนเนจเมนต์ คอร์ป (เคเอเอ็มซี) หน่วยงานบริหารสินทรัพย์ ซึ่งอยู่ภายใต้การ บริหารของรัฐบาล เตรียมออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 2.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.7 แสนล้านบาท) เพื่อระดมทุนจัดตั้งกองทุนสาธารณะขึ้น เพื่อซื้อหนี้และสินทรัพย์จากสถาบันการเงินและธนาคาร ซึ่งกองทุนนี้จะมีอายุไปถึงสิ้นปี 2557

 

นอกจากนั้น ยังจะมีการจัดตั้งกองทุนสาธารณะขึ้นอีก เพื่อเปิดทางให้นำเงินจากกองทุนนี้อัดฉีดเข้าไปในธนาคารต่างๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้ธนาคารนั้นๆ ตกอยู่ในสภาพอ่อนแอเสียก่อนด้วย

 

"เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง การให้การสนับสนุนสถาบันการเงินผ่านกองทุนต่างๆ ถือเป็นมาตรการที่จะช่วยบรรเทาความเสี่ยงในการล้มละลายที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการเงิน ทั้งอุตสาหกรรมได้ ทั้งยังเป็น การขยายการช่วยเหลือทางการเงินไปยังภาคเศรษฐกิจที่แท้ จริงด้วย" ชินดองซู ประธานเอฟเอสซี กล่าว

 

แผนการดังกล่าวของเกาหลีใต้ได้รับการสนับสนุนจาก นักเศรษฐศาสตร์เป็นอย่างดี โดยเชื่อว่าจะช่วยให้ธนาคารต่างๆ พ้นจากปัญหาด้านสินทรัพย์ และกระตุ้นให้เกิดการปรับโครงสร้างภายในองค์กรได้เร็วยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการปกป้องเงินทุน หากเศรษฐกิจยังคงอยู่ในสภาวะถดถอยอย่างต่อเนื่องด้วย

 

รายงานแจ้งว่า สภาผู้แทนเกาหลีใต้จะพิจารณากฎหมายเพื่อการจัดตั้งกองทุนพันธบัตรและการเพิ่มทุนดังกล่าวภายในเดือนเม.ย.นี้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท