Skip to main content
sharethis

 






การเมือง


พธม.ร้องนายกฯขอเปลี่ยนตัวพนง.สอบสวน อ้างรบ.เก่าตั้งหวั่นโดนแกล้ง "สุเทพ"น้อมรับคำสั่งสอน"สนธิ ลิ้มฯ"


พธม.ร้องเปลี่ยนตัวพนง.สอบสวน


นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมนายสำราญ รอดเพชร แกนนำกลุ่มพันธมิตร รุ่นที่ 2 เข้ายื่นหนังสือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 มีนาคม เพื่อร้องขอความเป็นธรรมและให้เปลี่ยนตัวคณะพนักงานสอบสวนคดีการสลายการชุมนุม ที่หน้าอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยอ้างว่าคณะพนักงานสอบสวนได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลชุดที่แล้ว หากยังคงให้อยู่ในอำนาจ อาจใช้อำนาจมิชอบในการกลั่นแกล้งประชาชนผู้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ


นายสุริยะใส กล่าวว่า พนักงานสอบสวน 14 คน ที่ขอให้เปลี่ยนตัว ประกอบด้วย 1.พล.ต.ท.ภานุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน 2.พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านการปฏิบัติการ 3.พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร.ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบตามแผนกรกฎ 48 4.พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. ที่อยู่ด้วยในการประชุมวางแผน ทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล (ดอนเมือง)และกองบัญชาการตำรวจนครบาล 5.พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.ภ.4 อดีตผบช.น. ผู้บัญชาการเหตุการณ์ 6.พล.ต.ต.วิบูลย์ วังท่าไม้ รองผบช.น.และรองผู้บัญชาการเหตุการณ์ ในวันที่ 6 ตุลาคม 2551


"มาร์ค" บอกทำได้ตามกฎหมาย


7.พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบช.น.และรองผู้บัญชาการเหตุการณ์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2551 8.พล.ต.ต.เอกรัฐ มีปรีชา รองผบช.น.และรองผู้บัญชาการเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 9.พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น .และรองผู้บัญชาการเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 10.พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยผู้ควบคุมพื้นที่ 11.พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด รองผู้บังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยกำกับดูแลฯ  12.พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. 13.พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ14.พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.


ด้านนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนนั้น ต้องดูข้อคัดค้าน เพราะในกฎหมายมีอยู่แล้วว่า คัดค้านได้ เพราะมีส่วนได้เสีย


"สุเทพ"รับสภาพไม่ถูกใจ"สนธิ"


ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ชี้แจงกรณีถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรโจมตี ว่าไม่เคยมีอะไรกับนายสนธิ และไม่ใช่เป็นคนที่เป็นปัญหากับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือใคร การเป็นนักการเมืองก็มีหน้าที่ดูแลรับใช้ประชาชน แต่การที่จะปฏิบัติอะไรต้องคำนึงถึงประโยชน์บ้านเมืองโดยส่วนรวมเป็นสำคัญ ซึ่งไม่สามารถทำอะไรให้ถูกใจคนทุกฝ่ายได้


"กลุ่มพันธมิตรนั้น ผมก็ให้ความเคารพความคิดความเห็นทางการเมือง รวมถึงประชาชนที่เป็นกลุ่มพันธมิตร และเรียนตามตรงว่า ผมก็เอาใจช่วยมาตลอด แต่ผมไม่ได้เข้าไปสนับสนุนอะไร และไม่ได้คิดว่าผมจะต้องทำอะไรตามที่นายสนธิพูด ผมให้ความนับถือนายสนธิ ในฐานะเป็นสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง เมื่อนายสนธิตำหนิ ผมก็มาสำรวจตัวเองว่า เอ๊ะ ผมทำอะไรบกพร่องอย่างนั้นหรือไม่ กรณีที่ตำรวจออกหมายเรียกกลุ่มพันธมิตร 21 คน ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของตำรวจ ทำได้ตามเนื้อผ้าแล้ว เมื่อก่อนมีข่าวว่า จะเป็นหมายจับด้วยซ้ำไป ผมก็ทักท้วงว่า ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ปกตินะ ไม่ใช่ว่าชอบหรือไม่ชอบใครแล้วทำไปเกินเหตุ ผมเองก็ไม่มีเจตนาอะไร" นายสุเทพกล่าว


น้อมรับคำแนะนำสั่งสอน


เมื่อถามว่า การออกมากดดันของกลุ่มพันธมิตรจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานรัฐบาลหรือไม่ เพราะแสดงตัวเหมือนมีบุญคุณขี่คอรัฐบาลตลอดเวลา รองนายกฯกล่าวว่า ไม่เป็นไร ที่จริงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนก็มีบุญคุณกับพรรคประชาธิปัตย์ ต้องรับฟัง และปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของความถูกต้อง มาเป็นรัฐบาลในภาวะการณ์บ้านเมืองอย่างนี้ ย่อมมีแรงกดดันเป็นธรรมดา


เมื่อถามว่า ห่วงว่าการออกมากดดันของนายสนธิ จะซ้ำรอยความขัดแย้งที่เกิดกับรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะคนเคยดีกัน แต่เมื่อไม่ได้ดังใจ ก็เป็นศัตรู นายสุเทพกล่าวว่า คงไม่ อย่ามองโลกในแง่ร้าย ให้มองโลกในแง่ดี นายสนธิตำหนิผมคนเดียวไม่ใช่เป็นเรื่องที่นายสนธิ ขัดแย้งกับรัฐบาล แต่เป็นเรื่องที่นายสนธิไม่ชอบผม และอยากแนะนำสั่งสอนผม ก็น้อมรับคำแนะนำสั่งสอน คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องมีการพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนายสนธิ เพราะไม่เคยคุยอะไรกันมาก่อนŽนายสุเทพ กล่าว


"โต้ง"ขอเป็นกาวใจ พธม.-ปชป.


นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้พยายามประสานหาจุดร่วมระหว่าง ปชป.กับพันธมิตรมาตลอด ตอนนี้ปชป.เป็นรัฐบาลแล้ว จำเป็นที่นายสุเทพ ต้องรับฟังคำแนะนำของทุกฝ่าย และอยากให้พันธมิตร เข้าใจว่าแม้ ปชป.จะมีอำนาจแล้ว แต่การใช้อำนาจในเรื่องต่างๆ ก็มีขอบเขต เพราะรัฐบาลจะทำตามใจชอบไม่ได้ ซึ่งเหล่านี้คือความคิดเห็นที่แตกต่าง


"ที่ผ่านมาผมก็รับหน้าที่ประสานตลอด แต่ครั้งนี้ดูเหมือนเรื่องมันจะเลยเถิด ดังนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายต้องมาคุยเพื่อหาจุดร่วมกัน" นายไกรศักดิ์ กล่าว


ด้านนายชุมพล กาญจนะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ในฐานะประธานส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ปฎิเสธที่จะตอบคำถามกรณีที่มีการระบุถึงนายชุมพลว่าเป็นผู้ประสานไปยังนายสนธิเพื่อประสานรอยร้าวระหว่างพันธมิตรฯ กับพรรคประชาธิปัตย์ ว่า "ไม่จริง ทุกอย่างให้ไปถามนายสนธิก็แล้วกัน"


ที่มา: www.matichon.co.th


"สมชาย"เมินไร้สิทธิเลือกตั้ง นั่งหัวโต๊ะคุมเกมยื่นถอด"มาร์ค"ปล่อย"เขมร"สร้างถนนเข้า"พระวิหาร"


"เพื่อไทย" ยื่นถอดถอนนายกฯ ทำผิดอาญา ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยเขมรสร้างถนนบริเวณเขาพระวิหาร พร้อมซักฟอก 7 รมต. มีชื่อ "สุเทพ" ด้วย มี "น้องเมียแม้ว" อยู่เบื้องหลังคุมเกม ทั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี เตรียมพร้อมรับ "ยุบสภา" เพื่อแผ่นดิน นัดเลือกหัวหน้าใหม่ 21 มี.ค.


เพื่อไทยนัด"ประสพสุข"ยื่นถอดนายกฯ


นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พท.นัดหมายนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อยื่นถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 11 มีนาคม เวลา 10.00 น. ที่ห้องรับรองประธานวุฒิสภา จากนั้นจะนัดหมายนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อไป หากทั้งสองฝ่ายไม่ติดขัดก็อาจยื่นหนังสือต่อนายชัยในบ่ายวันเดียวกันเลย แต่ถ้ามีเหตุติดขัดก็อาจจะเป็นวันที่ 12 มีนาคม สำหรับประเด็นในการยื่นถอดถอนนายกฯ คือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ส่อทุจริต บกพร่องต่อหน้าที่สร้างความเสียหายแก่ระบบราชการและการบริหารราชการแผ่นดิน


ร.ต.อ.เฉลิม  อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และประธานส.ส.ของพรรค ให้สัมภาษณ์กรณีการยื่นญัตติถอดถอนนายอภิสิทธิ์ ว่า ข้อสรุปว่าจะยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีคนใดบ้างนั้นจะยุติใน 1 -2 วันนี้  การอภิปรายครั้งนี้จะทำเป็นรูปเล่มให้สื่อมวลชนได้เห็นข้อมูลที่เชื่อมโยงทั้งหมดว่ามีเหตุมีผลอย่างไร หากการอภิปรายขครั้งนี้ไม่เป็นที่ถูกใจประชาชน พร้อมจะลาออกจากตำแหน่งประธานส.ส. และลดบทบาทตัวเองในพรรค เพราะถือว่าทำให้พรรคเสียหาย


"สมชาย" บัญชาการวอร์รูมซักฟอก


รายงานข่าวแจ้งว่า หลังการประชุมส.ส.พรรคเพื่อไทยเสร็จในช่วงเย็น คณะกรรมการยุทธศาสตร์ แกนนำพรรค ตลอดจนส.ส.ที่รับผิดชอบเรื่องการอภิปราย เรียกประชุมเพื่อหาข้อสรุปการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม โดยบรรยากาศไปอย่างเคร่งเครียด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ นายสมชาย ได้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เป็นเวลา 5 ปี ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 เมื่อครั้งเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน (พปช.) แต่กลับเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ แกนนำพรรรคเพื่อไทย ซึ่งมีข้อสงสัยว่าเป็นการทำหน้าที่เช่นเดียวกับการเป็นกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ ซึ่งกกต.เคยมีความเห็นว่าผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ห้ามทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรค


จากนั้นเวลา 19.00 น. นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทีมกฎหมายยกร่างญัตติถอดถอนเสร็จแล้ว โดยมี 4 ประเด็นหลักที่จะถอดถอนนายกฯดังนี้ 1.ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.มีการกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 ,268 ,270 3.มีความผิดตามกฎหมายอาญาและพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ4.การทุจริต โดยพรรคเพื่อไทยมีเอกสาร หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่านายกฯปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการบริหารราชการแผ่นดิน


จองอภิปรายนายกฯ-7รมต.


ด้านนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา และประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ที่ปร่ะชุมเพิ่มตัวบุคคลที่จะถูกอภิปราย  8 คนรวมนายกฯด้วย แต่ยังไม่ใช่ข้อสรุป จะประชุมอีกครั้งวันที่ 11 มีนาคมนี้ จากนั้นจะยื่นญัตติอภิปรายในวันที่ 12 มีนาคม


ข่าวแจ้งว่า รายชื่อบุคคลทั้ง 8 ได้แก่ 1.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ 2.นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 3.นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 4.นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพาณิชย์ 5.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 6.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 7.นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ 8.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในประเด็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ


ข่าวแจ้งว่า สำหรับนายอภิสิทธิ์ มีประเด็นความผิดฐานฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ทำผิดกฎหมาย ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ในกรณีเขาพระวิหาร ที่ปล่อยให้กัมพูชา สร้างถนนล้ำเข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิระหว่างไทยและกัมพูชา นอกจากนี้ยังมีประเด็นการปลอมแปลงเอกสารรับรองสมาชิกภาพของนายธานินทร์  ใจสมุทร ลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล โดยผิดจริยธรรม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 และมาตรา 266  รวมถึงความผิดจากการรู้เห็นเป็นใจกับการชุมนุมปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตร โดยแต่งตั้งนายกษิต เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และกรณีย้ายสถานที่แถลงนโยบายรัฐบาล  การฉ้อฉลนิติกรรมอำพราง ในประเด็น 250 ล้านและเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจาก กกต. จำนวน 23 ล้านด้วย


เพื่อไทยตื่นยุบสภา-จัดทัพรับเลือกตั้ง


ข่าวแจ้งว่าในการประชุมส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย ที่มีนายพายัพ ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการภาคอีสานเป็นประธาน  มีการประเมินสถานการณ์หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า รัฐบาลอาจจะชิงยุบสภา อย่างเร็วที่สุดอาจเป็นเดือนมีนาคม ไม่เกินเดือนเมษายน เพราะคิดว่าพรรคเพื่อไทยไม่พร้อม ดังนั้นที่ประชุมจึงแบ่งพื้นที่เป็น 3 โซนเพื่อทำกิจกรรมเตรียมพร้อมเลือกตั้ง โดยอีสานเหนือ มีนายพงศ์พันธุ์ สุนทรชัย ส.ส.หนองคายร่วมกับนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม เป็นผู้ประสานงาน  โซนอีสานกลาง มีนายภูมิ สาระผล ส.ส.ขอนแก่นและนายเจริญ จรรย์โกมล ส.ส.ชัยภูมิ เป็นผู้ประสานงาน และโซนอีสานใต้ มีนายพรศักดิ์ ค้าเจริญประเสริฐ ส.ส.ศรีสะเกษและนายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ เป็นผู้ประสานงาน 


รายงานข่าวแจ้งว่า สัปดาห์หน้าจะเริ่มเปิดตัวศูนย์ประสานงานของพรรคเพื่อไทยในทุกเขตเลือกตั้ง และต้องครบทุกจังหวัดภายในเดือนเมษายน พร้อมจัดทีมจากส่วนกลางที่นำโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ลงพื้นที่ตระเวนปราศัย รวมทั้งเคลื่อนไหวประสานกับคนเสื้อแดง ที่มีเป้าหมายนำพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯกลับประเทศ มาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง โดยจะใช้ความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นเหตุผลของความแตกแยกของคนในชาติ เพื่อนำไปสู่การผลักดันพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติให้ได้  และใน 1-2 เดือนนี้พรรคเพื่อไทยจะจัดงานสัมมนาทางวิชาการด้านเศรษฐกิจ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจะเชิญพ.ต.ท.ทักษิณ  มาบรรยายผ่านวีดีโอ คอนเฟอร์เรนท์ ด้วย


เพื่อแผ่นดิน นัดเลือกหัวหน้าใหม่21มี.ค.


วันเดียวกัน ที่ทำการพรรคชั่วคราวพรรคเพื่อแผ่นดิน(พผ.) นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคพผ. เป็นประธานประชุมกรรมการบริหารพรรคและส.ส.พรรค  ใช้เวล่ากว่า 2 ชั่วโมง จากนั้นนายเฉลิมชัย ตันติวงศ์ ผู้อำนวยการพรรคแถลงว่า ที่ประชุมมีมติให้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี วันที่ 21 มีนาคม ที่โรงแรมรามาการ์เด้น เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) แจ้งว่าพรรคไม่มีสิทธิรับเงินสนับสนุน 15 ล้านบาท เพราะพรรคยังไม่มีความชัดเจนว่าใครเป็นหัวหน้าพรรค


นายชาญชัยกล่าวว่า พรรค พผ.จะไม่รอผลสรุปของ กกต. เกี่ยวกับความชัดเจนของกรรมการบริหารพรรค เพราะที่ผ่านมาพรรคตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วว่ากรรมการบริหารชุดที่พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.สัดส่วน เป็นหัวหน้าพรรคนั้นเป็นโมฆะ และส่งเอกสารทั้งหมดให้กกต.แล้ว ส่วนวันประชุมจะเสนอใครเป็นหัวหน้าพรรคนั้นขึ้นอยู่กับมติ ถ้าเสนอตนก็พร้อมทำงานเพื่อประเทศชาติและพรรค


ที่มา: www.matichon.co.th


"สาทิตย์"กร้าวจัดการคลื่นวิทยุชุมชนทุกสี-ชี้แค่เตือนกลุ่มคนรักแท๊กซี่ ปลัดสปน. ปัดสั่งปิด 97.25


"สาทิตย์" ปัดสั่งปิด"วิทยุชุมชนคนรักแท๊กซี่" แค่เตือน ระบุเป็นการดำเนินการของสำนักงานปลัด ส่งหนังสือเตือนไปยังสถานีใช้เป็นเครื่องมือปลุกระดมทางการเมือง ยันคลื่นทุกสีโดนหมดละเว้น ไม่ได้ถามพันธมิตรความถี่เท่าไร ปลัด สปน. ปฏิเสธสั่งปแบนวิทยุชุมชน97.25 เมกะเฮิร์ตซ์


"สาทิตย์" ปัดปิด คลื่น 92.25 แค่เตือน


ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ถึงกระแสข่าวการสั่งปิดวิทยุชุมชน คลื่น 97.25 เม็กกะเฮิร์ต คลื่นวิทยุชุมชนคนรักแท๊กซี่ ว่า ตนเพิ่งทราบเมื่อเช้าวันที่ 9 มีนาคม มีพรรคพวกในวงการสื่อโทรมาบอกว่า มีการทำหนังสือไปถึงสถานีวิทยุชุมชน 97.25 ก็มีผู้ใหญ่บางท่านโทรมาถามว่ารัฐบาลไปดำเนินการอะไรหรือไม่ ตนจึงสอบถามไปยัง นายนที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.) ได้ทราบว่าเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมการกิจการวิทยุโทรทัศน์ซึ่งเป็นอนุกรรมการที่ทำงานร่วมกับคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) ซึ่งอนุกรรมการชุดดังกล่าวมีหน้าที่ดูแลวิทยุชุมนุม ข้อเท็จจริงคือ เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา ได้มีการดำเนินการ 2 ส่วน คือ มีการส่งหนังสือเตือนไปยังสถานีวิทยุชุมชน เนื่องจากบางสถานีมีประชาชนร้องเรียนว่าฟังแล้วเห็นว่ามีถ้อยคำที่ไม่ถูกต้อง แต่ไม่มีหลักฐานว่ามีการทำผิด ส่วนจะเป็นถ้อยคำลักษณะใดบ้าง ตนไม่ได้ซักรายละเอียดขนาดนั้น จึงเป็นการส่งหนังสือเตือนไป และสถานีวิทยุชุมชน 97.25 ก็เป็นสถานีหนึ่งที่ถูกเตือน แต่การเตือนนี้ลงนามโดยนายนที ในฐานะประธานอนุกรรมการกิจการวิทยุโทรทัศน์


ไม่ใช่อำนาจของฝ่าบริหารไปสั่งการปิดสถานี


นายสาทิตย์ กล่าวว่า จะมีสถานีวิทยุที่จะถูกดำเนินการตามกฎหมาย เรื่องจากมีการร้องเรียนและมีพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจน โดยมีการส่งเรื่องไปยังตำรวจแล้วเนื่องจากมีการดำเนินการที่ผิดกฎหมายอาญา เข้าใจว่า ทั้งสอง ส่วนนี้ อนุกรรมการมีอำนาจทางกฎหมายที่จะไปดำเนินการ ทราบว่ามีหลายคลื่น และเป็นคลื่นที่เกี่ยวกับการเมือง ไม่ได้เป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร รัฐบาลไม่ได้ไปสั่งการหรือสั่งปิด 


"เรื่องวิทยุชุมชน ฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจไปออกใบอนุญาต หรือสั่งเปิด-ปิดโดยตรง เป็นเรื่องของอนุกรรมการ แต่ก็เคยเชิญอนุกรรมการมาคัยหัน ผมก็บอกไปว่ามีชาวบ้านส่งข้อมูลมาว่ามีวิทยุชุมชนบางที่ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งก็มอบให้อนุกรรมการดำเนินการ ส่วนการดำเนินการครั้งนี้ ไม่ทราบว่ามีส่วนที่ผมได้มอบเรื่องไปให้ก่อนหน้านี้บ้างหรือไม่ ส่วนการปิดวิทยุชุมชน ก็ต้องเป็นการปิดตามกฎหมาย ขึ้นกับว่าอนุกรรมการใช้กฎหมายฉบับใด ยืนยันว่ากรณีวิทยุชุมชน รัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยหรือนิ่งนอนใจ เราได้ประสานกับอนุกรรมการที่มีอำนาจตามกฎหมายอยู่ตลอด ประชาชนที่ร้องเรียนหลักฐานมา เราก็ส่งต่อไปให้อนุกรรมการ ฉะนั้นรายละเอียดต่างๆ อนุกรรมการจะเป็นผู้ชี้แจงผมเพียงแค่รับเรื่องและประสานไปเท่านั้น โดยอนุกรรมการจะมีอายุการทำงานจนกว่าพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งร่างกฎหมายเข้าสภารับหลักการวาระแรกไปแล้ว โดยจะมีการประชุมในสัปดาห์หนี้ คงใช้เวลา 7-8 เดือนจึงเสร็จ และในเดือนเมษายนนนี้ จะมีการออกใบอนุญาตกิจการวิทยุชุมชนแบบบริการชุมชน ซึ่งเป็นการจัดระเบียบขั้นต้น"นายสาทิตย์กล่าว


ชี้คลื่นความถี่มีผลต่อความคิดความอ่านประชาชน


เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ออกใบสั่งดำเนินการเรื่องนี้ใช่หรือไม่ นายสาทิตย์กล่าวว่า ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับอนุกรรมการ ตนบอกไปว่าวิทยุชุมชนหลายที่มีประชาชนร้องเรียนมามาก มีทั้งประเด็นการปลุกระดมให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย มีการใช้ถ้อยคำหยาบคาย มีบางสถานีลุกลามไปเรื่องที่กระทบต่อการหมิ่นสถาบัน จึงอยากให้อนุกรรมการดำเนินการโดยเข้มงวด แต่อำนาจดำเนินการเป็นของอนุกรรมการ เมื่อถามว่า แสดงว่า หลังจากนี้จะมีการทยอยจัดการกับวิทยุชุมชนที่ไม่เหมาะสม นายสาทิตย์กล่าวว่า คิดว่าการดำเนินการโดยอนุกรรมการต้องดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัด เพราะเรื่องคลื่นความถี่มีผลต่อความคิดความอ่านประชาชน และถ้าใช้เป็นเครื่องมือปลุกระดมทางการเมืองจะเกิดความวุ่นวาย


"สาทิตย์"ชี้คลื่นทุกสีโดนหมดละเว้นไม่ได้


เมื่อถามว่า ในเรื่องของมาตรฐานการปฏิบัติ เหตุใดวิทยุชุมชนของกลุ่มพันธมิตรฯที่มีการปลุกระดมทางการเมืองเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีการจัดการ นายสาทิตย์ย้อนถามว่า  "พันธมิตรฯคลื่นไหนครับ ถ้าบอกว่าสีเสื้อใดสีเสื้อหนึ่ง ก็บอกว่าเที่ยวนี้ทั้งจดหมายเตือนหรือการดำเนินการนั้น โดนทุกสี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จ้องทุกสี สถานีวิทยุชุมชนใดมีหลักฐานว่าผิด อนุกรรมการดำเนินการตามกฎหมายแน่นอน ละเว้นไม่ได้ เที่ยวนี้วิทยชุมชนที่โจ๋งครึ่มก็ดำเนินการหมด รัฐบาลนี้ส่งเสริมให้สื่อสารมวลชนดำเนินการได้โดยเสรี แต่ต้องมีความรับผิดชอบภายใต้กฎหมาย รัฐบาลไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการแสดงความคิดเห็นใดๆ แต่ถ้าทำผิดกฎหมาย ก็เป็นหน้าที่รัฐบาลที่ต้องกำชับหน่วยปฏิบัติ ให้ดำเนินการตามกฎหมายโดยเด็ดขาด"


เมื่อถามว่า ช่วงนี้มีทั้งการจับกุมเว็บไซด์และการดำเนินการกับวิทยุชุมชน อาจมองได้ว่ารัฐบาลกำลังเร่งจัดการกับสื่อฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล นายสาทิตย์กล่าวว่า ก็ต้องดูด้วยว่า สื่อคนนั้นพูดเรื่องอะไร ขอถามว่าสื่อที่เป็นคนไทย หรือสื่อต่างประเทศ ที่เข้ามาหมิ่นสถาบันแล้วปิดกฎหมาย เรายอมได้หรือ เมื่อยอมไม่ได้ ก็ต้องดำเนินการ ไม่ใช่ว่าเป็นสื่อแล้วอ้างความเสรี แต่มาหมิ่นสถาบัน มันไม่ได้ เว้นแต่เป็นการแสดงวความคิดเห็นในเชิงวิชาการที่มีความระมัดระวังและอยู่ในกรอบกฎหมาย ดังนั้นหากใครพบการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งมายังอนุกรรมการ หรือมายังตน อัดเทปมาให้ด้วยจะยิ่งดี จะได้ส่งดำเนินการ


ปลัดสปน. ปฏิเสธสั่งปิดวิทยุชุมชน92.25เมกะเฮิร์ตซ์


นายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว เมื่อวันที่ 10 มีนาคมถึงกระแสข่าวเป็นผู้สั่งปิดคลื่นวิทยุชุมชน "คนรักประชาธิปไตย" เอฟเอ็ม 92.25 เมกะเฮิร์ตซ์ ว่า ยืนยันไม่ได้เป็นผู้สั่งปิด เพราะไม่มีอำนาจ คิดว่าข่าวดังกล่าวน่าจะมาจากการประชุมคณะอนุกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ที่ตนเป็นประธาน เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา โดยวิทยุชุมชนหลายคลื่นได้ของบสนับสนุนจากรัฐบาลประมาณ 40-50 ล้านบาท แต่ตนเห็นว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากคลื่นวิทยุชุมชนเหล่านี้ใกล้หมดสัญญาแล้ว จึงไม่อนุมัติงบประมาณให้ ตรงนี้อาจทำมีคนไม่พอใจ หรือหมั่นไส้ตน จึงปล่อยข่าวออกมา


ทั้งนี้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มาสอบถามเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ว่าใช้อำนาจอะไรไปสั่งปิดคลื่นวิทยุ จึงชี้แจงไปว่าไม่ได้สั่งปิด เพราะไม่มีอำนาจ และไม่รู้ว่าข่าวออกไปได้อย่างไร


นอกจากนั้นในที่ประชุมอนุกรรมการกทช. ยังประสานให้พล.ต.ท. วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ไปดูแลตรวจสอบคลื่นวิทยุชุมชนที่หมิ่นสถาบันด้วย


ที่มา: www.matichon.co.th






เศรษฐกิจ


วิกฤติเศรษฐกิจโลกหนุน เอเชียควบกิจการแบงก์


สิงคโปร์ - นักวิเคราะห์ชี้ วิกฤติเศรษฐกิจโลกจะกระตุ้นการควบรวมกิจการธนาคารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่มีธนาคารจำนวนมาก


สำนักข่าวต่างประเทศอ้างนักวิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมธนาคารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจเผชิญกระแสควบรวมกิจการรอบใหม่ ขณะที่วิกฤติในภาคการเงินและเศรษฐกิจโลกผลักดันให้ธนาคารต่างชาติถอนตัวออกจากภูมิภาค และส่งผลให้ธนาคารในภูมิภาคต้องร่วมมือกับคู่แข่งที่มีขนาดใหญ่กว่าเพื่อความปลอดภัย


ธนาคารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคยเผชิญกระแสควบรวมกิจการมาแล้วในปี 2549-2551 ซึ่งเป็นช่วงสูงสุดของภาวะกระทิงในตลาด แต่ในกระแสควบกิจการรอบใหม่ ผู้ซื้อจะเป็นผู้กำหนดราคาเนื่องจากมีแนวโน้มว่ามูลค่าการทำข้อตกลงจะลดลงจากเดิมอย่างมาก


นายปีเตอร์ เอลสตัน นักยุทธศาสตร์การลงทุน อเบอร์ดีน แอสเซ็ต แมเนจเมนต์ กล่าวว่า ยุคสมัยที่คนมองว่าธนาคารมีมูลค่าสูงกว่า 2 เท่าของมูลค่าทางบัญชีสิ้นสุดลงแล้ว


นายธนาคารบางราย กล่าวว่า ผู้มีแนวโน้มเข้าซื้อกิจการธนาคารในภูมิภาค ได้แก่ ธนาคารจีน เอชเอสบีซี สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด และธนาคารออสเตรเลีย ขณะที่นายซันดีพ พาห์วา หัวหน้าฝ่ายธนาคารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดอยช์ แบงก์ กล่าวว่า ผู้ซื้อสินทรัพย์เอเชียอาจเป็นธนาคารในภูมิภาคที่มีทุนหนา และต้องการสินทรัพย์ในประเทศ หรือเป็นกิจการที่มีธุรกิจหลักอยู่ในเอเชีย


ทั้งนี้ กระแสการควบรวมกิจการรอบใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) บริษัทประกันสหรัฐ เพิ่งขายธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค 2 แห่งในไทยให้แก่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ส่วน รอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ (อาร์บีเอส) ประกาศขายสินทรัพย์ในเวียดนามและฟิลิปปินส์


นักวิเคราะห์ กล่าวว่า แรงจูงใจให้ธนาคารในภูมิภาคควบรวมกิจการในครั้งนี้ เพิ่งปรากฏให้เห็น และปัจจัยนี้จะกระตุ้นกระแสควบรวมกิจการขั้นที่ 2 ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า การควบรวมกิจการในครั้งนี้จะเกิดขึ้นในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากภาคธนาคารใน 3 ประเทศนี้ มีการกระจายตัวมาก


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


ครม. ผ่านกรอบฝึกงาน เบี้ยเลี้ยง 5 พัน บวกค่ากลับภูมิลำเนา


แหล่งข่าวจากทำเนียบ แจ้งว่า ครม.รับทราบผลการดำเนินการโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน เพื่อใช้ในการฝึกอบรมฝีมือแรงงานสำหรับผู้ตกงาน กว่า5 แสนคน วงเงิน 6,900 ล้านบาท โดยกำหนดเป็นเงินค่าใช้จ่าย 5,000 บาทต่อคนต่อเดือน แบ่งเป็นค่าเบี้ยเลี้ยง 4,800 บาท ทั้งนี้จะจ่ายตามจริงหากรวมค่าอาหารกลางวัน 160 บาทต่อคนต่อวัน และไม่รวมค่าอาหารกลางวันอีก 120 บาทต่อคนต่อวัน โดยผู้เข้าอบรมแต่คนละจะต้องแสดงหลักฐานการรับเงินรายบุคคล


ส่วนสถาบันที่จะรับฝึกอบรมเมื่อได้รับเงินค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม จำนวน 5,000 บาทต่อคนต่อเดือนแล้ว ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางราชการเว้นแต่ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะและค่าเดินทาง สำหรับผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมให้ปฏิบัติตามที่คณะกรรมการฯกำหนด


ส่วนกรณีผู้ที่ฝึกงานและจะกลับภูมิลำเนา จะได้รับเงินอุดหนุนเพื่อประกอบอาชีพ 4,800 บาทต่อคนต่อเดือน (เป็นระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน) โดยมีค่ากลับภูมิลำเนาเป็นค่าพาหนะและค่าเดินทาง โดยกำหนดระยะทาง 1 กม.-500 กม. จะได้รับเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายรายละ 500 บาท ระยะทาง 501-1,000 กม. จะได้รับเงินเหมาจ่าย 1,000 บาท และระหว่าง 1,001 กม.ขึ้นไปจะได้เงินเหมาจ่าย 1,500 บาท


โดย สำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี (สปน.) จะเป็นหน่วยงานเพื่อเบิกจ่ายเงินและอุดหนุนในการประกอบอาชีพ และค่าเดินทางไป-กลับ ซึ่ง สปน.จะรวบรวมรายชื่อผู้ที่จะเข้ารับการฝึกอบรม และผู้ผ่านการอบรมต้องรายงานตัวต่อพนักงานปกครอง ทั้งนายอำเภอ กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งนายกเทศมนตรี หรือประธานสภาในกรณีของเมืองพัทยา


ที่มา: http://www.naewna.com


ศก.ไทยอ่วม"เครดิตส์ ลียองเนส์" ฟันธง ส่อติดลบ9% สศค.จัดเก็บรายได้วูบ 5เดือนต่ำกว่าคาด8.8หมื่นล.


ศก.โลกพ่นพิษ "เครดิตส์ ลียองเนส์" บ.หลักทรัพย์รายยักษ์อันดับโลก ออกบทวิเคราะห์ คาดศก.ไทยปีนี้มีสิทธิติดลบ 9% ยกตัวเลขจีดีพีไตรมาส4-ส่งออกม.ค.เลวร้ายสุดขีด ประกอบกับตลาดส่งออกไม่เอื้อ แต่ไม่ถึงขั้นวิกฤตเท่าปี40 สศค.เผยจัดเก็บรายได้5 เดือน ต่ำกว่าประมาณการณ์8.8หมื่นล.


"เครดิต ลียองเนส์" (ซีแอลเอสเอ) บริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่รายหนึ่งของโลก ออกบทวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 มีนาคมว่า  ไทยกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจติดลบอย่างมากในปีนี้ โดยบริษัทปรับคาดการณ์ใหม่จากเดิมจะติดลบ 5 %  เป็นติดลบ 9 % ซึ่งเป็นการติดลบเกือบเท่าปี 2541 สาเหตุเพราะในการประเมินครั้งแรกต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งในช่วงนั้นผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว ของไทยยังไม่ออกมา แต่เมื่อปรากฏว่า จีดีพีไตรมาส 4 ออกมาติดลบถึง 6.1 % เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และหากคำนวณเทียบปีต่อปีเท่ากับว่าติดลบ 22 % จากสถานการณ์ดังกล่าวประกอบกับการส่งออกในเดือนมกราคมปีนี้เลวร้ายอย่างสุดขีด ส่งสัญญาณว่าไตรมาสแรกปีนี้จีดีพีจะหดตัวรุนแรงอีกครั้ง


รัฐบาลไทยได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ใหม่เป็น 0 % แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทางเทคนิคดังกล่าวข้างต้นแล้ว การที่จีดีพีจะอยู่ที่ 0 % ได้ต้องหมายความว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เศรษฐกิจไทยต้องพลิกตัวกลับมาเป็นบวกอย่างมาก ซึ่งเมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจโลกและตลาดส่งออกที่ทรุดตัวอย่างยาวนานตลอดปีนี้ไปจนถึงปีหน้าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ตลอดปีนี้เศรษฐกิจไทยจะสามารถประคองตัวอยู่ที่ 0 %


เครดิต ลียองเนส์ ระบุว่า บ่อยครั้งที่ตัวเลขจีดีพีชักนำให้เกิดความเข้าใจผิด แต่ในกรณีของไทยจะเห็นว่าตัวเลขไตรมาสที่ 4 อ่อนแอทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ เพราะการส่งออกติดลบอย่างรุนแรง นอกจากนี้ความต้องการบริโภคภายในก็ไม่สามารถชดเชยการส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็ถูกถ่วงโดยความต้องการบริโภคของภาคเอกชนที่ลดลงอย่างมากจนติดลบ 0.1 % เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ส่วนการลงทุนของภาคเอกชนก็ติดลบ 2.5 %


การติดลบอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ เสี่ยงที่จะทำให้เกิดการว่างงานมากขึ้น,เกิดความไม่สงบทางการเมืองรอบใหม่,ขาดดุลงบประมาณมากขึ้นและอาจนำไปสู่การถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ


อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินน้อยกว่าประเทศเศรษฐกิจใหม่อื่นๆ เช่นยุโรปตะวันออก เนื่องจากมีหนี้ต่างประเทศระยะสั้นต่ำ ทำให้ไม่เผชิญกับวิกฤตในระดับเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540-2541 แม้ว่า เศรษฐกิจจะติดลบมากเกือบเท่าปี 2540-2541 ก็ตาม แต่ถึงกระนั้นก็ตามความเห็นไม่ตรงกันของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ทำให้รู้สึกกังวลว่าจะทำให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออก


บทวิเคราะห์เครดิต ลียองเนส์ชี้ด้วยว่า ดอกเบี้ยนโยบายของไทยถูกลดไปแล้ว 2.25 % และมีแนวโน้มว่าธปท.จะลดลงอีก 1 % ซึ่งจากองค์ประกอบของทั้งอัตราดอกเบี้ยต่ำ,การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น,การตั้งงบประมาณขาดดุลมากขึ้น อีกทั้งความเสี่ยงทางการเมือง ทำให้บริษัทเชื่อว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงอีก 12 % ไปอยู่ที่ 41 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐภายในปลายปีนี้


เอเอฟพีรายงานว่า นายโดมินิค สเตราส์-คาห์น กรรมการผู้จัดการกองทุนระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกมาระบุว่า ปีนี้อาจเป็นปีแรกในรอบหลายสิบปีที่เศรษฐกิจโลกอาจต่ำกว่า 0 % เนื่องจากปัญหาที่ผสมกันหลายอย่างทั้งการที่สถาบันการเงินล้มละลาย,การทรุดตัวของการบริโภคทั้งภาคครัวเรือนและธุรกิจทั่วโลก ทั้งนี้เมื่อเดือนที่แล้วนายสเตราส์-คาห์น ทำนายว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้อาจจะอยู่ที่ 0 %


นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)เปิดเผยถึงผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือนกุมภาพันธ์ ว่าเก็บรายได้ 82,430 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 23,481 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2552 (ตุลาคม 2551-กุมภาพันธ์ 2552) จัดเก็บได้ 451,527 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 88,586 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ 1.เดือนกุมภาพันธ์ 2552 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 81,430 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณเป็นจำนวน 23,481 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.2 (ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 29.1)


 ภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีรถยนต์ และอากรขาเข้า โดยภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 14,231 ล้านบาท หรือร้อยละ 32.1 เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการนำเข้าสินค้าต่ำกว่าประมาณการถึงร้อยละ 50 ซึ่งสอดคล้องกับผลการจัดเก็บอากรขาเข้าที่ต่ำกว่าประมาณการ 2,627 ล้านบาท หรือร้อยละ 35.5 นอกจากนั้น ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคในประเทศก็ต่ำกว่าประมาณการถึงร้อยละ 16.9 สำหรับภาษีรถยนต์จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 2,427 ล้านบาท หรือร้อยละ 47.6 เนื่องจากข่าวผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์ขอปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปก่อน


นายสมชัย กล่าวถึงการนำส่งรายได้เข้ารัฐของรัฐวิสาหกิจใน 5 เดือนแรกอยู่ที่ 27,268 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า 6,477 ล้านบาท คิดเป็น 19.2% ต่ำกว่าช่วงเดียวปีก่อน 32.9% โดยมีสาเหตุจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ขอเลื่อนการนำส่งรายได้ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ไม่สามารถนำส่งเงินปันผลได้


สำหรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมกลางปีงบประมาณ 2552 จำนวน 1.167 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น นายบัณฑูร สุภัควณิช ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า มี 19 หน่วยงานจาก 79 หน่วยงานรัฐได้จัดส่งรายละเอียดแผนงานการใช้จ่ายงบประมาณให้สำนักงบประมาณพิจารณาแล้ว จึงเร่งรัดให้หน่วยงานที่เหลือจัดส่งโดยเร็ว เนื่องจากต้องพิจารณาให้เสร็จภายในวันที่ 13 มีนาคมนี้  จากนั้นจะสามารถจัดสรรงบฯถึงหน่วยงานได้ทันที โดยโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลน่าจะเริ่มได้ในช่วงปลายเดือนมีนาคม-กลางเดือนเมษายนนี้


นายบัณฑูร กล่าวว่า  ในส่วนงบประมาณค้างท่อของส่วนราชการต่างๆนั้น ในสัปดาห์นี้เป็นต้นไปสำนักงานประมาณจะประสานกับหน่วยงานราชการที่ยังเบิกจ่ายล่าช้า โดยเฉพาะ 3 หน่วยงานหลัก คือกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงงบกลางปีของส่วนราชการต่างๆที่ยังพบว่าเกิดปัญหาล่าช้าในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะงบเหลื่อมปีที่มีวงเงินถึง 1.9 แสนล้านบาท ทั้งนี้สำนักงบฯจะหารือกับส่วนราชการเหล่านั้นว่าโครงการที่ขอกันงบเหลื่อมปีไว้นั้นจะดำเนินโครงการหรือไม่ หากโครงการไหนประเมินว่าไม่สามารถทำได้ จะนำงบเหลื่อมปีในโครงการนั้นไปปรับใช้กับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆของรัฐบาล เช่น การช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม การฝึกอบรมแรงงานของรัฐบาล เป็นต้น


ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เห็นชอบอนุมัติกรอบการเจรจากู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมอบให้กระทรวงการคลังดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องก่อนนำเสนอสัญญาเงินกู้ และเอกสารให้รัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้มีมติเห็นชอบแผนการปรับปรุงการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2552 ครั้งที่ 2 ที่มีวงเงินรวมของแผนเพิ่มขึ้นจาก 1,195,191.89 ล้านบาท เป็น 1,312,882.70 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 117,690.81 ล้านบาท ส่งผลให้กระทรวงการคลังจำเป็นจะต้องปรับกรอบวงเงินรวมของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ จาก 1.2 ล้านล้านบาท เป็น 1.4 ล้านล้านบาท เพื่อให้วงเงินสำรองเผื่อไว้อีก 10% ของวงเงินรวม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ การเพิ่มหนี้สาธารณะเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552 วงเงิน 1.167 แสนล้านบาทŽ นายพุทธิพงษ์ กล่าว


รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับกรอบการเจรจากู้เงินที่ครม.เห็นชอบ มีวงเงินประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 70,000 ล้านบาท โดยจะขอกู้เงินจาก ธนาคารโลก วงเงิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ  ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) แห่งละ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ 


ที่มา: www.matichon.co.th


 






ต่างประเทศ


ตั้งข้อหาอดีต ปธน.ยิว ข่มขืน-คุกคามลูกน้อง


นายเมนี มาซุซ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมอิสราเอล เปิดเผยเมื่อ 8 มี.ค.รัฐบาลเตรียมตั้งข้อหานายโมเช คาสซาฟ อดีตประธานาธิบดีและสมาชิกสภาคเนสเสตแห่งอิสราเอล หลังถูกอดีตผู้ใต้บังคับบัญชา 4 ราย ร่วมกันฟ้องร้องฐานข่มขืนทำร้ายร่างกาย และคุกคามทางเพศในทศวรรษปี 1990 แต่นายคาตซาฟได้ขอต่อรองโดยการลาออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2550 เพื่อลดกระแสกดดันทางการเมือง


อย่างไรก็ตาม ทนายความของคาตซาฟได้ขอยกเลิกข้อต่อรองเมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว พร้อมประกาศต่อสู้ตามกระบวนกรศาลยุติธรรม โดยอ้างว่าลูกความของตนเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการเล่นสกปรกทางการเมือง ทั้งยังไม่มีหลักฐานใดๆ ชี้มูลความผิดด้วย


ด้านโฆษกกระทรวงยุติธรรมชี้แจงเพิ่มเติมว่า การตั้งข้อหาบุคคลสำคัญทางการเมืองต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จึงยังมิได้กำหนดวันรับฟังข้อกล่าวหาที่ชัดเจน แต่ยืนยันว่ากระบวนการดำเนินคดีจะเริ่มต้นโดยเร็วที่สุด หากศาลตัดสินว่ามีความผิดอดีตประธานาธิบดีอาจถูกจำคุกสูงสุด 20 ปี.


ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


 






คุณภาพชีวิต-สิ่งแวดล้อม


ชงรัฐยก"หมอกควัน"วาระแห่งชาติ แนะจัดตั้งสำนักจัดการมลพิษขึ้นตรงครม.


เชียงใหม่ - นักวิชาการ กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ จี้รัฐแก้ปัญหาหมอกควัน ด้วยการยกระดับสู่การเป็นวาระแห่งชาติ เสนอตั้งหน่วยงานขึ้นตรงกับคณะรัฐมนตรี ด้านแพทย์ มช.ชี้ผลกระทบส่งผลผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้น 2 เท่า ในช่วง 3 ปี หวั่นซ้ำรอยมลพิษที่เกิดในกรุงลอนดอน เมื่อปี 1952 คร่าชีวิต 4 พันคน


นายจักรวาล วรรณาวงศ์ นักวิชาการประจำ คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า สถานการณ์วิกฤติหมอกควันที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ ทั้งจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน และเชียงราย ส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก ซึ่งการรณรงค์แก้ไขปัญหาเร่งด่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังไม่มีประสิทธิภาพเห็นผลชัดเจนมากนัก จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน


ข้อเสนอดังกล่าว ประกอบด้วย 1.รัฐบาลจะต้องยกระดับปัญหาหมอกควันประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และกำหนดเป็นนโยบายผูกพันต่อเนื่องในระยะยาว นอกเหนือจากที่เคยมีมติคณะรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงต่างๆ ร่วมบูรณาการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า 2.จะต้องทำการศึกษาถึงผลกระทบ และเยียวยาแก้ไขปัญหาที่จะเกิดตามมา โดยเฉพาะผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ซึ่งในพื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และมีมูลค่าด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจมหาศาล ดังนั้น รัฐบาลจะต้องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงผลกระทบเชิงสุขภาพ และอนามัยของประชาชน ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ ที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากปัญหาหมอกควันโดยตรง รวมถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยง อาทิเช่น พื้นที่สายใต้ของตัวเมืองเชียงใหม่ โดยเฉพาะ อ.หางดง และ อ.สารภี ที่มีสภาวะอากาศเสียปกคลุมหนาแน่นมาก ส่งผลให้มีอัตราผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจและมะเร็งปอดสูงที่สุดของประเทศ


3.ควรจัดหน่วยงานผิดชอบโดยตรงต่อการจัดการสภาพปัญหาเช่นเดียวกับเหตุการณ์คลื่นสึนามิ และแผ่นดินไหว ที่มีการก่อตั้งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ โดยอาจตั้งเป็นสำนักจัดการภาวะมลพิษทางอากาศแห่งชาติให้ขึ้นตรงต่อคณะรัฐมนตรี 4.รัฐบาลต้องเร่งผลักดันข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนที่เกิดจากการเผาป่า 5.องค์กรท้องถิ่นจะต้องมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นควบคุมการเผาในที่โล่งและการเกิดไฟป่า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาหมอกควัน


รศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ หัวหน้าหน่วยระบบทางเดินหายใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรคภูมิแพ้ในเมืองเชียงใหม่เพิ่มขึ้นราว 2 เท่าตัวในเวลา 3 ปี อุบัติการณ์ของโรคที่พุ่งสูงขึ้นมาจากปัญหามลภาวะทางอากาศ จากผลสำรวจระดับประเทศผู้ป่วยโรคหอบหืดในเชียงใหม่มีความรุนแรงมากที่สุด


ผู้ป่วยโรคหอบหืดมีอาการรุนแรงขึ้นกว่า 30% ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล ค่าเฉลี่ยผู้ป่วยโรคหอบหืดของประเทศมีสัดส่วน 15.2% ส่วนประเทศในย่านเอเชียมี 15% แต่เชียงใหม่มีสัดส่วนผู้ป่วยสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศและเอเชีย 30.1% จะเห็นว่าประชาชนใน จ.เชียงใหม่ ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น สภาพแวดล้อมของอากาศที่หายใจกลายเป็นปัญหาที่คนเชียงใหม่เคยชิน "หากไม่ได้รับการแก้ไข อาจเห็นปัญหาซ้ำรอยปัญหามลพิษที่เคยเกิดขึ้นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1952 ส่งผลให้คนเสียชีวิตกว่า 4 พันคน และเสียชีวิตเพิ่มอีก 8 พันคนในปีถัดมา" รศ.นพ.ชายชาญกล่าว


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


ร้องมูลนิธิปวีณาฯช่วยหลัง ลูกชายถูกตร.รุมตื้บตาย


นางวริศา ภูผาแนบ อายุ 36 ปี เปิดเผยเมื่อวันที่ 10 มี.ค. ว่า ได้เข้าร้องทุกข์ต่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เนื่องจากเมื่อคืนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ นายสมรวม ภูพาแนบ บุตรชายวัย 17 ปี ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 6-7 คนอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กระทุ่มแบน รุมทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส เพราะคิดว่า เป็นคนร้ายที่กำลังจะมาส่งยาเสพติดตามที่สายข่าวรายงานมา แต่เมื่อเข้าตรวจค้นไม่พบสิ่งกฎหมาย จึงนำตัวไปลงบันทึกประจำวันก่อนปล่อยตัวบุตรชายกลับบ้าน แต่หลังเกิดเหตุ 2 วัน บุตรชายรู้สึกแน่นท้องหายใจไม่ออก จึงพาไปโรงพยาบาล แพทย์พบกระดูกซี่โครงร้าว จึงจ่ายยาและให้มาพักฟื้นที่บ้าน ต่อมาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ บุตรชายมีอาการทรุดหนักและเสียชีวิตที่ รพ.นพรัตน์


ที่มา: www.matichon.co.th

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net