Skip to main content
sharethis


8 มี.ค.52  เครือข่ายพลเมืองเน็ต-คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส)- เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT) ออกแถลงการณ์ เรื่องการคุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อออนไลน์ จากกรณีการบุกจับกุมจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ให้บริการจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำผิด นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ซึ่งอาจเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยที่จะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงประเทศ และเผยแพร่ หรือส่งต่อ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) (3) (5) และ15  


 


แถลงการณ์ระบุว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายข่มขู่ คุกคาม สิทธิเสรีภาพสื่อออนไลน์ เนื่องจากทางผู้แลเว็บมีมาตรฐานที่เข้มงวดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อยู่แล้วในการที่จะต้องเก็บข้อมูลการจราจรทางคอมพิวเตอร์ และการลบข้อความที่มีความละเอียดอ่อน และที่ผ่านมาก็ได้ประสานงานและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐเสมอมาในการลบข้อความดังกล่าว แต่โดยธรรมชาติของสื่ออินเทอร์เน็ตนั้นมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ดังนั้น รัฐจำเป็นต้องใช้ความยืดหยุ่นในการกำกับดูแลสื่อออนไลน์ที่มีธรรมชาติทางเทคโนโลยีแตกต่างจากสื่อทั่วไป อีกทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐควรยึดแนวทางการเจรจาประนีประนอมและใช้มาตรการที่ละมุนละม่อมไม่ใช่การปราบปราม


 


นอกจากนี้แถลงการณ์ยังเสนอให้จัดเวทีและสร้างกลไกสำหรับการแลกเปลี่ยนให้ตัวแทนผู้ใช้สื่ออินเทอร์เน็ตและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจและกระทรวงไอซีทีฯ เพื่อนำไปสู่การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกันในการกำกับดูแลสื่อและชุมชนออนไลน์ รวมทั้งยุติวิธีใส่ร้ายว่าเว็บไซต์ประชาไทเป็น "เว็บหมิ่นฯ หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ" "มีคนหนุนหลัง" ซึ่งสะท้อนวุฒิภาวะของรัฐบาลประชาธิปไตยที่ขัดต่อแนวทางการสร้างความเชื่อมั่นทั้งต่อพลเมืองไทยและประชาคมโลก


 


 


 






 


แถลงการณ์ เรื่องการคุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อออนไลน์


สืบเนื่องจากกรณี พนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้เข้าจับกุม นางสาวจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท (www.prachatai.com) เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. ของวันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2552 และได้มีการสืบปากคำ  พร้อมทำสำเนาข้อมูลในฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์ส่วนตัวของนางสาวจีรนุช และแจ้งข้อกล่าวหาว่าได้ทำการสนับสนุนผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหา เป็นผู้ให้บริการจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำผิด นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ซึ่งอาจเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยที่จะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงประเทศ และเผยแพร่ หรือส่งต่อ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) (3) (5) และ15  


 


เครือข่ายพลเมืองเน็ต คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ(คปส)  เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (

FACT) เห็นว่าแม้รัฐอ้างว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นไปภายใต้อำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเข้าข่ายการใช้อำนาจทางกฎหมายในการข่มขู่ คุกคาม สิทธิเสรีภาพสื่อออนไลน์   ทั้งนี้เว็บไซต์ข่าวประชาไทถือเป็นหนังสือพิมพ์ออนไลน์ที่ทำงานบนกรอบของจรรยาบรรณสื่อออนไลน์ซึ่งเป็นสื่อใหม่ที่เปิดพื้นที่ให้กับประชาชนผู้อ่านแสดงความคิดเห็น ทั้งนี้ทางผู้แลเว็บมีมาตรฐานที่เข้มงวดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อยู่แล้วในการที่จะต้องเก็บข้อมูลการจราจรทางคอมพิวเตอร์ และการลบข้อความที่มีความละเอียดอ่อน และที่ผ่านมาก็ได้ประสานงานและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐเสมอมาในการลบข้อความดังกล่าว แต่โดยธรรมชาติของสื่ออินเทอร์เน็ตนั้นมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา 


 


ดังนั้นรัฐจำเป็นต้องใช้ความยืดหยุ่นในการกำกับดูแลสื่อออนไลน์ที่มีธรรมชาติทางเทคโนโลยีแตกต่างจากสื่อทั่วไป อีกทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐควรยึดแนวทางการเจรจาประนีประนอมและใช้มาตรการที่ละมุนละม่อมไม่ใช่การปราบปราม


 


ทั้งนี้ข้อกล่าวหาว่าสื่อประชาไทสนับสนุนให้มีการนำเสนอเนื้อหาที่ขัดต่อความมั่นคงของชาตินั้นเป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไม่มีการให้คำนิยามที่ชัดเจนว่าจะนำไปสู่การขัดต่อความมันคงของชาติอย่างไร   อีกทั้งเนื้อหาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าละเมิดมาตรา 14 พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ นั้น ก็มิได้ปรากฏในเว็บข่าวประชาไทแล้วตั้งแต่วันที่ พฤศจิกายน 2551 


 


ในทางตรงข้าม การใช้มาตรการที่อุกอาจเช่

นการเข้าจับกุมในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่สร้างเงื่อนไขความยากลำบากในการขอประกันตัวของผู้ถูกกล่าวหา สะท้อนเจตนาที่จะสร้างแรงกดดันให้เกิดความตึงเครียดและก่อให้เกิดบรรยากาศแห่งความกลัว ความหวาดระแวงในสังคมมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งในที่สุดแล้ว แนวทางของรัฐดังกล่าวจะไม่นำไปสู่การปกป้องสิ่งที่เรียกว่าความมั่นคงของชาติแต่อย่างใด 


ดังนั้น ทั้ง  3 องค์กรดังกล่าว ซึ่งได้ร่วมกันยื่นหนังสือเสนอข้อเรียกร้องและคัดค้านการใช้นโยบายประกาศสงครามกับสื่ออินเทอร์เน็ต (War Room)  ให้กับนายกรัฐมนตรีโดยตรงเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552 ซึ่งในครั้งนั้นนายกรัฐมนตรีได้รับปากที่จะใช้แนวทางการเจรจาร่วมกันโดยมีรูปธรรมในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อให้ตัวแทนพลเมืองผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้พูดคุยเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมถึงตำรวจที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน เพื่อแสวงหาแนวทางการปฏิบัติที่ควรจะเป็นร่วมกัน บนพื้นฐานของความเคารพในสิทธิเสรีภาพสื่อและพลเมืองตามหลักการสิทธิมนุษยชนสากล


 


 จากกรณีที่เกิดขึ้นนี้ ทาง  3 องค์กรมีข้อเรียกร้องต่อรัฐดังต่อไปนี้



  1. ขอให้รัฐยุตินโยบายการคุกคามสื่อออนไลน์ และ ไม่ใช้แนวทางการประกาศสงครามกับสื่ออินเทอร์เน็ต แต่เน้นการเจรจาและแสวงหาความร่วมมือบนพื้นฐานความเคารพต่อสิ

    ทธิเสรีภาพและเข้าใจธรรมชาติที่เป็นจริงของสื่อใหม่เช่นอินเทอร์เน็ต 


  2. ขอให้รัฐบาลจัดเวทีและสร้างกลไกสำหรับการแลกเปลี่ยนให้ตัวแทนผู้ใช้สื่ออินเทอร์เน็ตและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจและกระทรวงไอซีทีฯ เพื่อนำไปสู่การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกันในการกำกับดูแลสื่อและชุมชนออนไลน์



  1. ขอให้รัฐยุติการผลิตซ้ำ ตอกย้ำทัศนคติเชิงลบ อันนำไปสู่ความบาดหมาง ตึงเครียดและสร้างรอยร้าวลึกขึ้นในสังคม โดยเฉพาะวิธีใส่ร้ายสื่อออนไลน์เช่นประชาไทว่าเป็น "เว็บหมิ่นฯ หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ" "เป็นขบวนการทำลายล้าง" "มีคนหนุนหลัง" เป็นต้น  เนื่องเพราะการใส่ร้ายดังกล่าวไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงแต่อย่างใด อีกทั้งสะท้อนถึงวุฒิภาวะในการบริหารประเทศของรัฐบาลประชาธิปไตย ซึ่งขัดต่อแนวทางการสร้างความเชื่อมั่นทั้งต่อพลเมืองไทยและประชาคมโลก

 


ทั้ง 3 องค์กรดังกล่าวข้างต้นมีความปรารถนาดีต่อรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐในการที่จะประสานความร่วมมือเรื่องสื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์บนการสร้างสมดุลระหว่างการกำกับดูแลกับสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งรัฐมีหน้าที่โดยตรงที่ต้องธำรงพันธกิจอันสำคัญนี้


 

 


สุดท้ายนี้ เราให้สื่อสารมวลชนทุกแขนง รวมถึง สาธารณชนร่วมกันแสดงจุดยืนเรียกร้องรัฐให้ใช้หลักรัฐศาสตร์ในการเจรจามากกว่าใช้กฎหมายปราบปรามเพื่อแสวงหาทางออกที่สร้างสรรค์ทดแทนการแก้ปัญหาด้วยการข่มขู่คุกคามอย่างที่ผ่านมา


 


 


ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีของพลเมือง


 


เครือข่ายพลเมืองเน็ต


คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส)


เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT)


 


วันที่ 8 มีนาคม 2552


วันสตรีสากล


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net