Skip to main content
sharethis

การเมือง


 


พท.สรุปประเด็นซักฟอก 9 มี.ค.


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำฝ่ายค้าน ยังคงยืนยันการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลต่อไป ถึงแม้การหารือกับนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เมื่อวานนี้ (5 มี.ค.) จะไม่ประสบความสำเร็จ ในการดึงนายเสนาะเข้าร่วมวงอภิปรายด้วยก็ตาม


 



นายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ยังคงเป็นไปตามกำหนดการเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้ว่านายเสนาะจะเสนอแนะให้เปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อแก้วิกฤติของประเทศแทนก็ตาม เพราะแนวทางการยื่นอภิปรายของพรรคเพื่อไทยเป็นการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจและจะมีการยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีด้วย


 



"เท่าที่หารือกัน ท่านเสนาะอยากให้ตั้งกระทู้ยื่นญัตติขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติชาติเพราะบ้านเมืองไปไม่ไหวแล้ว และขณะนี้เหยื่อยังเข้าปากปลาไม่มิด ดังนั้นควรรอให้ปลางับเหยื่อกินเบ็ดเสียก่อน ซึ่งเหยื่อในความหมายของท่านเสนาะก็คือโครงการใหญ่ๆ ที่ขณะนี้เมื่อรัฐบาลทราบว่าฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็มีการชะลอโครงการไว้แล้ว แต่การอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นข้อมูลเฉพาะอยู่แล้ว"


 


ส่วนท่าทีนายเสนาะ คงให้พรรคเพื่อไทยดำเนินการในส่วนที่พรรคมีความเห็นต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนหน้านี้ แต่พรรคประชาราช ยังยืนยันต้องการให้เปิดอภิปรายทั่วไป ดังนั้นการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้พรรคประชาราชคงไม่ลงชื่อร่วมเสนอญัตติ จะขอเป็นคนฟังเท่านั้น


 



เมื่อถามถึงกรณีที่มี ส.ส.เสนอให้เลื่อนการยื่นอภิปรายออกไปเป็นช่วงเดือน เม.ย.นั้น นายวิทยา กล่าวว่า คงไม่สามารถเลื่อนได้


 



นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะทำงานเตรียมความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ยืนยันว่า จากข้อมูลเอกสารหลักฐานที่คณะทำงานได้เตรียมไว้ในขณะนี้มีหลักฐานเด็ดๆ อยู่ 3-4 เรื่อง ซึ่งสามารถเอาผิดรัฐมนตรีได้ 3-4 คน ซึ่งก็ถือว่ามากแล้ว และในวันจันทร์ที่ 9 มี.ค.นี้ คณะกรรมการบริหารพรรคจะประชุมกรอบในการอภิปรายในทุกเรื่อง ก่อนที่จะไปยื่นญัตติในวันที่ 11 มี.ค.


 



วานนี้ (6 มี.ค.) พรรคเพื่อไทย ได้จัดโครงการอบรม แกนนำ ส.ส.ของพรรค ก่อนลงพื้นที่ขยายความคิดกับประชาชน ตามหลักสูตรของพรรคที่คณะผู้บริหารพรรคได้จัดทำขึ้นมา โดยมี ส.ส.กว่า 40 คนจากทุกภาคเข้าอบรมเน้นให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ วิวัฒนาการและสถานการณ์ทางการเมือง เพื่อเพิ่มศักยภาพให้แกนนำและ ส.ส.เพื่อให้มองและวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองและข่าวต่างๆ ได้ทันเหตุการณ์อย่างเป็นระบบ


 



นอกจากนี้ ยังมีการประชุมคณะทำงานยุทธศาสตร์ของพรรค เพื่อเตรียมเรื่องลงพื้นที่ของ ส.ส.พรรค ซึ่งเป็นคนละส่วนกับแนวทางของกลุ่มเสื้อแดง โดยเบื้องต้นได้ให้ ส.ส.ทุกคน เดินหน้าขยายฐานเสียง หากพื้นที่ใดพร้อมเปิดสาขาพรรค ก็ให้แจ้งความจำนงเพื่อจัดโปรแกรมลงไป อีกทั้งให้เปิดรับสมาชิกพรรค เพื่อช่วงชิงมวลชนระดับรากหญ้าโดยจะมีการเสนอรายละเอียดเข้าที่ประชุมพรรควันที่ 10 มี.ค.นี้


 



โฆษก ทบ.รับกองทัพส่งทหารเข้า "ม็อบเสื้อแดง" จริง แต่แค่รักษาความปลอดภัย


เว็บไซต์แนวหน้า - พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กล่าวถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะลงพื้นที่ จ.ลพบุรี ในวันที่ 7 มีนาคมนี้ว่า การรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีเป็นหน้าที่ของผู้บังคับการ จ.ลพบุรี ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นผู้รับผิดชอบ ขณะนี้ยังไม่มีการร้องขอกำลังทหารเข้ามาเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ทั้งนี้ เชื่อว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรง เพราะแกนนำผู้ชุมนุมก็บอกแล้วว่าไม่มีความรุนแรง อย่างไรก็ตาม กองทัพได้เตรียมหน่วยกำลังทหารในพื้นที่ เพื่อเตรียมพร้อมหากมีการร้องขอ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีก็เป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) อยู่แล้ว ดังนั้น มีอำนาจหน้าที่ในการรับผิดชอบสั่งการใช้กำลังทหารได้


 


เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยระบุว่ากองทัพบกส่งทหารเข้ามาแฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง หาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นลูกผู้ชายให้ออกมายอมรับ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ไม่มีการส่งกำลังทหารไปแฝงกลุ่มผู้ชุมนุม แต่กองทัพยอมรับว่ามีการส่งกำลังทหารออกมาปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยในกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อติดตามสังเกตการณ์ และกำลังเจ้าหน้าที่มีจำนวนเพียง 100 นาย ไม่ได้มีเป็น 1,000 นาย นอกจากนี้ เราทำงานในกรอบหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอยู่ใกล้หน่วยที่ตั้ง ไม่ได้เข้าไปแฝงกับกลุ่มผู้ชุมนุม และทหารที่ถูกทำร้ายก็ปฏิบัติหน้าที่อยู่ใกล้กองทัพภาคที่ 1


 


"เทพเทือก" ลั่น ไม่ยอมแก้ กม.หมิ่น เด็ดขาด


เว็บไซต์แนวหน้า - ที่ทำเนียบรัฐบาล นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีหลายฝ่าย ต้องการให้รัฐบาลปรับปรุงเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า ยังไม่ได้คุยกันในเรื่องนี้ แต่ในฐานนะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นจุดศูนย์รวมจิตใจพี่น้องประชาชน เป็นหลักชัยของประเทศมีกฎหมายกำหนดไว้เคร่งครัดแน่นอนว่า ใครจะไปลบหลู่ดูหมิ่น หรือทำให้เสียหายไม่ได้


 



"เพราะฉะนั้นวันนี้ใครมาชวนผมแก้กฎหมายตรงนี้ ผมไม่ยอมเด็ดขาดและในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลทางด้านนี้จะไม่ยอมให้ใครละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ขณะเดียวกันผมจะดูแล ไม่ให้ใครเอาสถาบันไปเป็นเครื่องมือข่มเหงรังแกใคร" รองนายกฯ กล่าว


 



ด้านนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่าอาจมีการร่างระเบียบเพิ่มเติมเพื่อที่จะทำเกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น นายสุเทพ กล่าวว่า ก็ถูกต้องสิ่งที่นายกฯพูดเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เราจะได้มีการป้องกันไม่ให้ใครอ้างสถาบันเพื่อไปรังแกคนอื่น แต่หากใครจงใจที่จะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ละเมิดสถาบันซึ่งเป็นสิ่งสักการะสูงสุดของคนไทยเรายอมไม่ได้


 



ในขณะที่รัฐบาลจริงจังกับเรื่องการปกป้องสถานบัน แต่เรื่องคดีหมิ่นสถานบันของนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำกลุ่มนปช.กลับไม่มีความคืบหน้า ยังล่าช้าอยู่ นาสุเทพ กล่าวว่า ต้องมีการสอบถามผู้รับผิดชอบในแต่ละภาคส่วน เมื่อถามว่า ท่านเองจะติดตามถามความคืบหน้าหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า คงจะต้องถามบ้าง แต่ต้องถามด้วยความระมัดระวัง ไม่ใช่เป็นการแทรกแซง


 


"มาร์ค" มั่นใจเยือนลพบุรีราบรื่น


มติชนออนไลน์ - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่หวั่นกลุ่มเสื้อแดงตามประท้วงในการลงพื้นที่ จ.ลพบุรี วันที่ 7 มีนาคมนี้ โดยในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม นายอภิสิทธิ์ระบุว่า ทุกอย่างจะเรียบร้อย ส่วนการระดมกำลังตำรวจ ทหารมาป้องกันนั้น เป็นหน้าที่ของฝ่ายปฏิบัติการที่จะต้องป้องกันไม่ให้มีการใช้ความรุนแรง หรือปะทะกัน ซึ่งการลงพื้นที่ไม่ใช่การสร้างฐานเสียงล่วงหน้าตามที่พรรคฝ่ายค้านกล่าวหา แต่เนื่องจาก 2 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายใหม่ๆ เยอะมาก แต่บางเรื่องยังเกิดความสับสน จึงต้องไปสัมผัสข้อเท็จจริง และหาวิธีแก้ปัญหา



เมื่อถามถึงกรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขีดเส้นว่า ผู้ว่าราชการและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดที่ไม่สามารถจัดการผู้ชุมนุมได้อาจถูกโยกย้ายนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อย่าไปมองว่าเป็นการขู่ เพราะการทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่ว่าองค์กรใดก็ต้องดูประสิทธิภาพและผลการทำงานอยู่แล้ว การลงพื้นที่ไม่ใช่การลงไปวัดใจข้าราชการว่าใครยังอยู่ขั้วอำนาจเก่า



นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคได้กำชับรัฐมนตรีในส่วนของพรรค ว่าหากลงพื้นที่แล้วเกิดเผชิญหน้ากับกลุ่มเสื้อแดง ขอให้รัฐมนตรีทุกคนเป็นฝ่ายเข้าหากลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อพูดคุยและหารือ เพราะตระหนักดีว่า เป็นคนไทยและบริสุทธิ์ใจในการมีส่วนร่วมแก้ปัญหาเช่นเดียวกัน และอยากให้รัฐบาลใช้โอกาสนี้ยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน และยึดหลักว่าจะไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้นจากฝ่ายของผู้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือเป็นอันขาด



"สุเทพ" สั่งตร.บันทึกภาพเอาผิด


มติชนออนไลน์ - นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่หนักใจที่กลุ่มเสื้อแดงจะขับไล่นายกรัฐมนตรี ที่ จ.ลพบุรี และนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้หนักใจ อย่าคิดว่าเป็นการท้าทาย แต่ขอให้ต่อต้านด้วยความสงบ อย่าทำผิดกฎหมาย ถ้านำไข่ หรือก้อนหินมาขว้าง หรือบุกรุกสถานที่ราชการ หรือปิดถนน ถือว่าผิดกฎหมาย ต้องถูกดำเนินคดี โดยได้สั่งการให้ตำรวจทุกจังหวัดเตรียมกล้องวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้จงใจทำผิดกฎหมายทันที โดยไม่ต้องรอแจ้งความ เพราะเป็นความผิดซึ่งหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการ นอกจากนี้ ยังได้กำชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ว่ามีหน้าที่ดูแลให้บ้านเมืองสงบ ก็ต้องเตรียมการเรื่องนี้



"จะไม่เด้ง หรือย้ายผู้ว่าฯโดยไม่มีสาเหตุ ผู้ว่าฯที่เป็นคนดีขอให้มีกำลังใจ จะดูแลอย่างดี รัฐบาลนี้จะไม่ข่มเหงรังแกข้าราชการ จะให้ความเคารพในความเป็นมืออาชีพ แต่ขอให้ทำหน้าที่ด้วยความสุจริต อย่าไปรับใช้คนผิด ถ้าทำแบบนี้ก็ปลอดภัย" นายสุเทพ กล่าว



นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีนายสุเทพขู่ย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดที่คุมม็อบไม่ได้ว่า คิดว่าเป็นแค่การปรามเท่านั้น การโยกย้ายต้องเป็นตามความเป็นธรรม



ใช้แผนกรกฎ 48 ดูแลรัฐมนตรี
มติชนออนไลน์ - พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า ตำรวจจะใช้แผนกรกฎ 48 ในการดูแลรักษาความปลอดภัยรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่จังหวัดต่างๆ ซึ่งคาดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะจากการข่าวได้ประเมินสถานการณ์แล้วว่าเป็นการชุมนุมเพื่อต้องการแสดงออกเท่านั้น



ด้าน พล.ต.ต.สถิตย์ ต้นสงวน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) ลพบุรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพื่อให้นโยบายการรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี ที่จะลงพื้นที่ จ.ลพบุรี ว่า มีรายงานข่าวว่าจะมีกลุ่มคนเสื้อแดงจาก จ.ลพบุรี สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และชัยนาท เดินทางมาร่วมชุมนุมที่ จ.ลพบุรี ประมาณ 3,000-4,000 คน ทางจังหวัดได้สนธิกำลังตำรวจ-ทหาร ทั้งในและนอกเครื่องแบบประมาณ 1,500 คน ไว้ป้องกันกลุ่มที่จะมาประท้วงก่อกวนอย่างเต็มที่ คาดว่ารับมือได้



"ช่วงที่นายกฯ ไปมอบเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุที่สถานีอนามัยดงตาล จะปิดถนนคันคลองชลประทาน สายลพบุรี-บ้านแพรก บางช่วง เพื่อความปลอดภัย โดยให้ประชาชนหันไปใช้ถนนคันคลองชลประทาน สายบ้านกุ่ม-ลพบุรี ซึ่งอยู่ด้านหลังแทน" พล.ต.ต.สถิตย์ กล่าว


 


"ทักษิณ" โฟนอินที่หนองคายห่วงประเทศไทยวอนให้เสื้อแดงสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป


เว็บไซต์สยามรัฐ - เมื่อค่ำ วันที่ 6 มีนาคม 2552 ที่ลานเอนกประสงค์ ข้างวัดภิรมยาราม ต.จุมพล อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย กลุ่มคนเสื้อแดง อ.โพนพิสัย ได้รวมตัวกันจัดงานราตรีคนเสื้อแดงหนองคาย โดยมีการตั้งโต๊ะลงทะเบียน จำหน่ายเสื้อแดงรายการความจริงวันนี้ ราคา 150-200 บาท โดยผู้ที่ซื้อเสื้อจะได้สิทธิที่นั่งรับประทานอาหารโต๊ะจีน 1 ที่นั่ง ซึ่งมีประชาชนจากทุกอำเภอในจังหวัดหนองคายทยอยเข้าร่วมงานประมาณ 1,500 คน และมีการระบุว่าการจัดงานครั้งนี้เป็นการเปิดตัวชมรมนาคราชแดง พิทักษ์ประชาธิปไตยหนองคาย ทำการคัดเลือกประธานชมรม คือ พันเอกประจักษ์ จันทะศรี อายุ 61 ปี ชาวอำเภอโพนพิสัย จ.หนองคาย อดีตเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาสำนักเลขาธิการกองทัพบก เพื่อระดมทุนขับเคลื่อนทำกิจกรรมทางการเมืองของชาวหนองคาย ซึ่งมี นางชมภู จันทาทอง, นายพงศ์พันธ์ สุนทรชัย ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย เป็นแม่งานใหญ่ และมี ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.ราชบุรี พรรคเพื่อไทย, นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นเวทีปราศรัย ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพนพิสัย และอาสาสมัครรักษาดินแดน ประมาณ 100 คนรักษาความปลอดภัยโดยรอบบริเวณจัดงาน


 


และไฮไลท์สำคัญของงาน เวลา 20.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์เข้าเครื่องของนางชมภู จันทาทอง กล่าวทักทายกับชาวเสื้อแดง นาน 6 นาที ใจความว่า "ขอบคุณพี่น้องมารวมตัวกันโดยเฉพาะชาวนาคราชแดงที่มีการซื้อโต๊ะสนับสนุนเสื้อแดงเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง ตอนนี้ประเทศไทยไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริงก็อยู่กันลำบาก ผมเป็นห่วงพี่น้องมากเพราะช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี เป็นปัญหาทั้งภายในและภายนอกประเทศ


 



อยากให้กำลังใจทุกคนว่าต้องใช้จ่ายระมัดระวัง จะลงทุนอะไรคิดให้รอบคอบ เงินทองหายาก เศรษฐกิจคงไม่ดี ไม่ฟื้นเร็วเหมือนที่อื่น พี่น้องต้องช่วยตัวเองเต็มที่ อย่าหวังพึ่งรัฐบาล การต่อสู้ของคนเสื้อแดงเพื่อให้มีความชอบธรรมให้ความยุติธรรมคืนสู่สังคมไทย ขอบคุณในน้ำใจของชาวเสื้อแดง ขอบคุณ ส.ส.ที่ห่วงใย อยากให้ผมกลับบ้าน สีแดงนั้นคือชาติ ถ้ารักชาติ เราไม่ผิด แต่เรากำลังถูกหาว่าสร้างปัญหา เรากำลังถูกกลั่นแกล้ง วันที่พวกเราได้รับมอบหมายจากประชาชนให้บริหารประเทศ เขาก่อกวนจนเราพัง มาวันนี้เราทำบ้าง กลับบอกว่าหนวกหู จึงไม่มีความเป็นธรรม ขอให้ทุกคนต่อสู้เพื่อนำความเป็นธรรมกลับมา ผมห่วงทุกคนแม้ผมมีปัญหาเยอะ แต่ผมก็ห่วงชาวเสื้อแดงทุกคน"


 



ซึ่งขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดโทรศัพท์นั้น ชาวเสื้อแดงที่มาร่วมงานต่างปรบมือให้กำลังใจ และภายหลังการพูดคุยทางโทรศัพท์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว แกนนำคนสำคัญก็ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีปราศรัยเน้นหนักที่การโจมตีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกลุ่มพันธมิตรฯ จนถึงเวลาประมาณ 23.00 น. จึงเลิกงาน


 


กฤษฎีกา ยืน ให้ ใบแดง "สรชา"


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - กฤษฎีกา ตัดสินยืนตาม กกต.ให้ใบแดง "สรชา" ด้าน กกต.เตรียมเลือกตั้งซ่อม สมุทรปราการ เขต 1 วันที่ 29 มี.ค.นี้ วันนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นยืนตามมติของ กกต.ที่สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ของ น.ส.สรชา วีรชาติวัฒนา ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหลังจากนี้ กกต.จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเขต 1 สมุทรปราการ


 



นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า ล่าสุดทางคณะกรรมการตรวจสอบได้มีหนังสือแจ้งมายัง กกต.ว่า มีมติยืนตาม กกต.ในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง โดยเรื่องนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเห็นว่า เป็นดุลพินิจที่ กกต.ได้วินิจฉัยมาแล้วคงไม่อาจก้าวล่วงได้ จึงยืนตามมติ โดยวันที่ 10 มีนาคม จะเสนอต่อประชุม กกต.เพื่อรับทราบ พร้อมกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส. แทนตำแหน่งที่ว่างในวันที่ 29 มี.ค.นี้ ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 9 ที่ให้ กกต.มีอำนาจออกประกาศย่นหรือขยายเวลา เพื่อจัดการเลือกตั้งให้รวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรม


 


 


เศรษฐกิจ


 


ธปท.จ่อหั่นจีดีพีปีนี้ติดลบ


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 8 เม.ย.จะเสนอให้ กนง.พิจารณาปรับลดเป้าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจในปีนี้ลงจากเดิมที่คาดการณ์เอาไว้ว่าจะมีการเติบโต 0-2% เนื่องจากในไตรมาส 4 ปี 2551 แรงเหวี่ยงของระบบเศรษฐกิจปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง


 


ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกในขณะนี้แย่มาก ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงการคลังต้องเข้ามาช่วยดูแลด้วย



สำหรับเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปีนี้พบว่าสถานการณ์ยังไม่รุนแรงเท่ากับไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา แต่ไตรมาสแรกเพียงไตรมาสเดียวก็ไม่สามารถวัดอะไรได้ ต้องรอให้จบไตรมาส 2 จึงจะประเมินสถานการณ์ใหม่ได้ว่าจะเลวร้ายลงไปมากน้อยแค่ไหน


 



"โอกาสที่จีดีพีจะต่ำกว่า 0% มีอยู่แล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า กนง.จะมีการตัดสินใจอย่างไร เพราะเงินเฟ้อพื้นฐานที่เคยประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ก็จะติดลบแล้ว ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไปติดลบไปแล้ว" นางอมรา กล่าว


 



สำหรับปัจจัยที่จะนำมาประกอบการพิจารณาลดเป้าจีดีพีนั้น ส่วนหนึ่งคือเรื่องปัจจัยการเมือง เพราะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทั้งนักลงทุนและผู้บริโภค ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น ธปท. ได้ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยนโยบายไปก่อนหน้านี้แล้วถึง 2.25% เหลือ 1.5% ในขณะที่แบงก์พาณิชย์ได้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ไปแล้ว 1% ซึ่งการลดดอกเบี้ยนั้นไม่ได้ช่วยเพิ่มกำลังซื้อในระบบได้เร็วมากนัก เพราะในขณะนี้ประชาชนให้ความสำคัญกับการความสามารถในการชำระหนี้คืนของตัวเองมากขึ้น ในขณะที่แบงก์ที่ปล่อยกู้ก็มีมาตรฐานการให้สินเชื่อที่เข้มข้นมากกว่าเดิม


 



นางอมรา กล่าวว่า โอกาสที่เงินเฟ้อพื้นฐานจะติดลบนั้นมีสูง ซึ่งหากเงินเฟ้อพื้นฐานติดลบผู้ผลิตจะมีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำ ทำให้สามารถลดราคาสินค้าลงได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้ ในส่วนของเงินฝืดนั้นยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนนัก ส่วนค่าเงินบาท หากมีการอ่อนค่าบ้าง ธปท.ก็จะเข้าไปดูแลบ้าง แต่ในขณะนี้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียได้อ่อนค่าลงเหมือนกันหมด


 



สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล นั้น ในขณะนี้ยังไม่น่าห่วงมากนัก แม้ว่ามีสัญญาณที่เพิ่มขึ้นก็ตาม เพราะแบงก์มีระบบการบริหารที่เข้มงวดมากกว่าเดิม มีระบบการให้สินเชื่อที่รัดกุม โดยเฉพาะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์แบงก์ยังมีนโยบายปล่อยสินเชื่อเหมือนเดิม


 


ยอดล้มละลายบุคคล ภาคธุรกิจมะกันปี51พุ่ง


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - วอชิงตัน - ยอดล้มละลายรายบุคคลและบริษัทของสหรัฐปีที่แล้ว ทะยานเฉลี่ยกว่า 50% หลังวิกฤติเศรษฐกิจโลกเลวร้ายลงต่อเนื่อง ขณะผู้เชี่ยวชาญคาด ยอดล้มละลายส่อแววเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้


 



ข้อมูลล่าสุด จากสำนักบริหารของศาลสหรัฐ ระบุว่า การยื่นคำร้องขอล้มละลายของชาวสหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 31% ในปี 2551 เป็น 1,074,255 คน จากจำนวน 822,590 คนเมื่อปี 2550 ขณะที่การยื่นคำร้องล้มละลายของภาคเอกชน เพิ่มขึ้นถึง 54% เป็น 43,546 คน จากระดับ 28,322 คนในปีก่อนหน้านี้


 



นายซามูเอล เจอร์ดาโน ผู้อำนวยการบริหารสถาบันล้มละลายสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วย คณะผู้พิพากษา ทนายความและผู้เชี่ยวชาญคดีล้มละลาย ระบุว่า ยอดล้มละลายดังกล่าว เป็นการยืนยันว่า คนล้มละลายมีจำนวนเพิ่มขึ้น และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปีนี้


 



"คาดว่า การยื่นคำร้องล้มละลาย จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.4 ล้าน หรือมากกว่านั้นในปีนี้ หากสภาคองเกรสเปลี่ยนกฎหมาย ที่อนุญาตให้เจ้าของบ้านปรับปรุงสินเชื่อเพื่อการจดจำนองบ้าน ในการดำเนินการยื่นขอล้มละลาย" นายเจอร์ดาโนกล่าว


 



ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของแผนช่วยเหลือตลาดบ้านของนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากสภาด้วยคะแนนเสียง 234 ต่อ 191 เมื่อคืนวันพฤหัสบดี (5 มี.ค.) ที่ผ่านมา แต่ยังเผชิญความยากลำบากในการได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากอุตสาหกรรมการเงิน และสมาชิกพรรคเดโมแครตจำนวนหนึ่ง ที่เตรียมคว่ำกฎหมายนี้ในสภา


 



วันเดียวกัน สมาคมนายธนาคาร เพื่อการจดจำนองของสหรัฐ เปิดเผยข้อมูลใหม่ ว่า เจ้าของบ้านในสหรัฐ ที่มีสินเชื่อเพื่อการจดจำนองประเภทใดประเภทหนึ่ง สินเชื่อเพื่อการจดจำนองที่ปรับโครงสร้างได้ หรือถูกยึดบ้าน มีจำนวนถึง 48% ขณะที่จำนวนเจ้าของบ้านที่มีสินเชื่อเพื่อการจดจำนองประเภทใดประเภทหนึ่ง เพิ่มขึ้นสู่สถิติใหม่ อยู่ที่ 5.4 ล้านคน หรือเกือบ 12% โดยเป็นผู้ที่ชำระเงินช้าอย่างน้อย 1 เดือน หรือถูกยึดบ้านในช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งจำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากตัวเลข 10% ของไตรมาสที่ 3 และ 8% ของปี 2550


 



แนวโน้มดังกล่าว ตอกย้ำว่าแผนช่วยฟื้นฟูตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของประธานาธิบดีโอบามา เป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง แม้แผนดังกล่าวจะครอบคลุมถึงการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าไปในระบบการเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ตลาดสินเชื่อก็ตาม



 


 


คุณภาพชีวิต



ก.พาณิชย์ยืนยันท่าทีต่อการทำ "ซีแอลยา" ของไทย
มติชนออนไลน์ - นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ภายหลังบริษัทตัวแทนยาของสหรัฐเข้าพบ เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมาว่า บริษัทยามาเรียกร้องในเรื่องเดิมๆ คือการดูแลการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และยอมรับว่าข้อมูลที่บริษัทยาสหรัฐชี้แจงต่อสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) เป็นข้อมูลเก่าเหมือนปีก่อนและอยู่ในรัฐบาลชุดเดิม พร้อมทั้งรับว่าจะให้ข้อมูลที่ทันสมัยกว่าเดิมต่อยูเอสทีอาร์ที่จะมีการทบทวนสถานะกลุ่มประเทศละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ ในการหารือก็ได้ยืนยันท่าทีการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ หรือซีแอลยาของไทย ว่าได้ทำตามสิทธิและหลักเกณฑ์ของทรัพย์สินทางปัญญาโลก โดยกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้คัดค้านการใช้ซีแอล หรือนำซีแอลไปแลกกับอะไร



"เรามั่นใจว่าที่ได้ดำเนินการมาตลอดนั้น ได้ลดการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ไม่กังวลที่กลุ่มบริษัทยาสหรัฐจะคงให้ไทยติดอันดับกลุ่มประเทศที่ไม่ให้การคุ้มครองทรัพย์ทรัพย์สินทางปัญญาระดับรุนแรง (พีเอฟซี) และเชื่อมั่นว่าไทยยังคงรักษาสถานะไทยในกลุ่มประเทศจับตามองเป็นพิเศษ (พีดับเบิลยูแอล) อยู่" นายอลงกรณ์กล่าว



ขณะที่กลุ่มเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอดส์และเอ็นจีโอ ประมาณ 100 คน เดินทางไปยังกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอพบนายอลงกรณ์ และยื่นหนังสือ คัดค้าน หากกระทรวงพาณิชย์จะระงับการใช้ซีแอลเพื่อต่อรองกับการให้สหรัฐฯถอดประเทศไทยออกจากกลุ่มพีดับเบิลยูแอล มาเป็นกลุ่มจับตามอง (ดับเบิลยูแอล) หรือไม่ให้จัดอันดับไปอยู่ในกลุ่มพีเอฟซี โดยกลุ่มเครือข่ายได้แสดงท่าทีให้กระทรวงพาณิชย์ยืนยันการรักษาสิทธิการใช้ซีแอล และใช้ซีแอลเพิ่มเพื่อการเข้าถึงยาของประชาชนผู้มีรายได้น้อย


 


ชาวบ้านต้าน "บ่อขยะ" บุกร้อง มท.1 จนปะทะกับ จนท.
มติชนออนไลน์ - นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการ "ปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ เพื่อสร้างความสมานฉันท์ และหน่วยงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน" ที่สนามกีฬาจังหวัดสระบุรี เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 6 มีนาคม โดยมี ส.ส.ลพบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายวัชรพงษ์ คูวิจิตรสุวรรณ นายองอาจ วงศ์ประยูร นางกัลยา รุ่งวิจิตรชัย รวมถึงนายปองพล อดิเรกสาร อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และนายปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี พรรคเพื่อไทย ร่วมให้การต้อนรับ


 


รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างที่นายชวรัตน์ปราศรัยกับผู้มาร่วมงานนั้น ได้มีกลุ่มชาวบ้านประมาณ 300 คน ที่ต่อต้านบ่อขยะอุตสาหกรรมของบริษัทแบตเตอรี่เวิลด์กรีน พยายามปืนรั้วศาลากลางเพื่อเข้ายื่นหนังสือต่อนายชวรัตน์ แต่ถูกอาสาสมัคร (อส.) สกัด จึงเกิดการปะทะกันเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าควบคุมสถานการณ์ และอนุญาตให้ตัวแทนชาวบ้าน 10 คน เข้ายื่นหนังสือต่อนายชวรัตน์ โดยชาวบ้านเรียกร้องให้ปิดบ่อขยะดังกล่าว อ้างว่าชาวบ้าน 3 ตำบล คือ ต.หนองปลาไหล กุดนกเปล้า และห้วยแห้ง ได้รับความเดือดร้อน และให้ย้ายนายธนเษก อัศวานุวัตร ผู้ว่าฯสระบุรี รองผู้ว่าฯสระบุรี นายธวัช สุรบาล นายอำเภอแก่งคอย นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ห้วยแห้ง กำนันทั้ง 3 ตำบล ในฐานะเจ้าพนักงานที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ไม่บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน


 


ศาลปค.เผย "มหาดไทย" แชมป์ถูกร้องเรียนมากที่สุด
มติชนออนไลน์ - นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวในโอกาสครบรอบ 8 ปี ศาลปกครองถึงสถิติคดีปกครอง ว่า ตั้งแต่ศาลปกครองเปิดทำการ วันที่ 9 มีนาคม 2544 จนถึงปัจจุบัน มีคดีที่ร้องเข้ามาทั้งสิ้น 48,290 คดี พิจารณาแล้วเสร็จจำนวน 37,458 คดี คิดเป็นร้อยละ 77.57 และคดีคงค้างอยู่ 10,832 คดี คิดเป็นร้อยละ 22.43 ทั้งนี้ เรื่องที่นำมาฟ้องต่อศาลปกครองมากที่สุด คือ คดีที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ซึ่งเป็นคดีที่ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฟ้องผู้บังคับบัญชาของตนเอง มีจำนวนมากที่สุดถึง 8,446 ดคี รองลงมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดินจำนวน 7,008 คดี และคดีที่เกี่ยวกับพัสดุ จำนวน 5,357 คดี


ประธานศาลปกครอง กล่าวว่า หน่วยงานปกครองที่ถูกฟ้องคดีมากที่สุด คือ กระทรวงมหาดไทย จำนวน 12,091 คดี โดยเป็นคดีของกรมที่ดินจำนวน 4,502 คดี รองลงมากรมการปกครอง 3,225 คดี ตามมาด้วยกระทรวงศึกษาธิการ 4,740 คดี โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานถูกฟ้อง 1,654 คดี และกระทรวงคมนาคม 4,056 คดี โดยหน่วยงานที่ถูกฟ้องคือกรมทางหลวง 1,946 คดี สำหรับหน่วยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ถูกฟ้องมากที่สุด คือองค์การบริหารส่วนตำบล 2726 คดี ตามมาด้วย กทม.2,522 คดี และเทศบาล 2,121 คดี


นายอักขราทร กล่าวว่า สถิติคดีดังกล่าวไม่ใช่เป็นตัวสะท้อนว่า หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกฟ้องนั้นปฏิบัติราชการดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะต้องศึกษาในรายละเอียดของประเด็นที่มีการฟ้องคดี แต่สถิติดังกล่าวสามารถบอกได้ว่าประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางปกครองมากขึ้น และกล้าที่จะดำเนินการเพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของตน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ในส่วนคดีที่ใช้เวลาในการพิจารณาเกินกว่า 3 ปี และยังไม่แล้วเสร็จที่มีอยู่ร้อยละ 4.34 ของคดีที่แล้วเสร็จ ทั้งหมดนั้นเกิดจากปัญหาการบริหารจัดการคดี และบุคลากร ซึ่งก่อนที่ตนจะเกษียณในปี 2553 จะพยายามจัดระบบบริหารคดี เพื่อให้คดีเหลือค้างน้อยที่สุด


 


ประชุมแก้ปัญหาลักลอบนำโรฮิงยาเข้าประเทศ


เว็บไซต์แนวหน้า - ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ พล.ต.ท.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ผบช.สตม. พล.ท.นิพัทธ์ ทองเล็ก เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร พล.ท.เชาวฤทธิ์ ประภาจิตร์ ผบ.ศูนย์รักษาความปลอดภัย(ศรภ.) พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมประชุมเพื่อวางแนวทางการในแก้ไขปัญหาการลักลอบนำชาวต่างด้าวชาวเผ่าโรฮิงยาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พล.ต.ท.ชัชวาลย์ กล่าวว่า ได้ประชุมแบ่งงาน กำหนดประเด็นสืบสวนเพิ่มเติม อาจจะต้องใช้ระยะเวลา จุดนี้เป็นการเริ่มต้น ที่ให้พนักงานสอบสวนทั้งหมดรับฟังข้อมูล ให้ข้อมูลในสิ่งที่มี ก่อนจะแบ่งงานกันออกไปทำ สำหรับกรอบการทำงาน จะเร่งดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดและช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ


 


สรรพามิตโขกภาษีบาป-สินค้าฟุ่มเฟือย


เดลินิวส์ - นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้เสนอแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้ากลุ่มที่ทำลายสุขภาพ โดยเฉพาะเครื่องดื่มสำเร็จรูปประเภทชา กาแฟ และเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เพื่อชดเชยรายได้จากภาษีของรัฐบาลที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจ ชะลอตัว โดยได้มอบหมายให้ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลังดูแลการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต สินค้าที่ทำลายสุขภาพ (ซินแทค) ทั้ง สุรา ยาสูบ และสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้ประกอบการสินค้าทั้ง 3 ประเภท เข้ามาหารือเพื่อหาแนวทางการจัดเก็บที่ทุกฝ่ายยอมรับ คาดว่าจะเสนอให้ ครม.พิจารณาขึ้นภาษีได้ในอีก 2 สัปดาห์ถัดไป แต่ทั้งนี้จะไม่ปรับขึ้นภาษีทันที เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัวก่อน


 


การเก็บภาษีสินค้าประเภททำลายสุขภาพดังกล่าวนี้ กรมสรรพสามิตดำเนินการได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องขอมติ ครม.แต่อย่างใด ด้วยการสามารถออกประกาศเป็นกฎกระทรวง เพื่อจัดเก็บภาษี ซึ่งจากการประเมินการจัดเก็บรายได้ภาษีบาปดังกล่าวนี้ จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นทันทีกว่า 30,000 ล้านบาท


 


 ส่วนภาษีชา กาแฟสำเร็จรูปที่บรรจุกระป๋อง หรือกล่องนั้น ปัจจุบันมีกำหนดอัตราภาษีอยู่แล้ว แต่ได้รับการยกเว้น ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องดื่มประเภทเดียวกับน้ำอัดลม จึงให้ศึกษาว่าจะคิดภาษีตามปริมาณกาเฟอีน หรือปริมาณบรรจุภัณฑ์ ส่วนผู้ประกอบการจะผลักภาระภาษีให้ผู้บริโภคหรือไม่นั้น ยังไม่ขอตอบ


 


"ผมได้ให้แนวทางในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในภาษีบาป โดยเน้นกลุ่มที่เป็นสินค้าทำลายและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะที่เป็นเครื่องดื่มบรรจุกระป๋อง และขวดที่วางจำหน่ายตามตู้ในร้านค้าทั่วไป ที่จะทำให้ระบบจัดเก็บมีความชัดเจนและรอบคอบมาก"


 


 


ต่างประเทศ


 


บินโสมขาวผวาเปลี่ยนเส้นทางบินหวั่นถูกโสมแดงสอย
มติชนออนไลน์ - รัฐบาลเกาหลีใต้วอนเกาหลีเหนือถอนคำขู่ยิงเครื่องบินพาณิชย์โสมขาวหากบินใกล้น่านฟ้าโสมแดง ระบุขัดต่อหลักมนุษยธรรม ขณะที่เครื่องบินเกาหลีใต้เปลี่ยนเส้นทางบินกลัวถูกโจมตี

"ดิ อินดิเพนเด็นท์" รายงานเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ว่า นายคิม โฮ เนือน โฆษกกระทรวงรวมชาติเกาหลีใต้ กล่าวว่า เกาหลีเหนือควรจะถอนคำขู่ทันที หลังระบุว่าพร้อมจะยิงเครื่องบินพาณิชย์เกาหลีใต้ หากบินใกล้น่านฟ้าของเกาหลีเหนือ เนื่องจากคำขู่ดังกล่าวไม่เพียงแต่ขัดต่อกฎเกณฑ์สากล แต่ยังขัดต่อหลักมนุษยธรรมด้วย พร้อมทั้งระบุว่า ขณะนี้สายการบินเกาหลีใต้ได้รับแจ้งคำขู่ดังกล่าวแล้ว และทำให้สายการบินเกาหลีใต้เปลี่ยนเส้นทางบินที่จะเข้าประเทศจากฝั่งภาคตะวันออกด้วย อย่างไรก็ตาม สายการบินเจแปน แอร์ไลน์ และแอร์ไชน่า ยังไม่มีแผนเปลี่ยนเส้นทางบิน เหมือนเกาหลีใต้


 


คำขู่ดังกล่าวของเกาหลีเหนือมีเมื่อสัปดาห์ก่อน พร้อมทั้งยังเตือนปฎิบัติการซ้อมรบระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐ ซึ่งเปิดฉากขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลโสมแดงมักจะประณามว่ามีขึ้นเพื่อคุกคามและยั่วยุเกาหลีเหนือทางทหาร


 


ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า นายพลเกาหลีเหนือได้พบปะกับกองกำลังสหประชาชาตินำโดยสหรัฐ เพื่อหารือที่หมู่บ้านปันมุนจอม ซึ่งเป็นเขตปลอดอาวุธระหว่างพรมแดนเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เป็นเวลา 45 นาที แต่ปราศจากการเปิดเผยรายละเอียดๆ


 


ผลศึกษาชี้โทรมือถือ อาจแพร่เชื้อโรคในรพ.


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - ปารีส - นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออนโดกุซ เมยิสในตุรกี เผยผลการศึกษาวานนี้ (6 มี.ค.) ที่ระบุว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ปนเปื้อนแบคทีเรีย และอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค โดยคณะนักวิจัยได้ทดสอบโทรศัพท์และมือของแพทย์และพยาบาล 200 คน ที่ทำงานในห้องปฏิบัติการและห้องไอซียูของโรงพยาบาล


 



การทดสอบพบว่า 95% ของโทรศัพท์มือถือปนเปื้อนแบคทีเรียอย่างน้อย 1 ชนิด และอาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยตั้งแต่การระคายเคืองผิวหนังเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงโรคร้ายแรง ขณะที่เกือบ 35% ของโทรศัพท์มีแบคทีเรีย 2 ชนิด และมากกว่า 11% ของโทรศัพท์มีแบคทีเรีย 2-3 ชนิด


 



ที่น่าวิตก คือ โทรศัพท์มือถือ 1 ใน 8 มีเชื้อไวรัสเอ็มอาร์เอสเอที่เป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพร้ายแรงในโรงพยาบาลทั่วโลก


 



การศึกษาตั้งข้อสังเกตว่ามีเจ้าหน้าที่เพียง 10% ที่ล้างโทรศัพท์เป็นประจำ แม้ส่วนใหญ่จะทำตามแนวทางสุขอนามัยด้วยการล้างมือก็ตาม


 



ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วแบคทีเรียดื้อยาหลายสายพันธุ์ ไม่เป็นอันตรายต่อคนที่มีสุขภาพแข็งแรง แต่อาจทำให้คนไข้ในโรงพยาบาล ซึ่งมีสภาพร่างกายอ่อนแอ ถึงแก่ความตายได้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าต้องมีการศึกษามากกว่านี้เพื่อยืนยันการค้นพบ อันได้จากกลุ่มตัวอย่างค่อนข้างเล็ก



กระนั้น คณะนักวิจัยได้เรียกร้องให้จัดทำมาตรการทั่วไป เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการปนเปื้อน โดยเฉพาะการทำความสะอาดโทรศัพท์บ่อยๆ ด้วยยาฆ่าเชื้อ ส่วนการห้ามใช้โทรศัพท์ในโรงพยาบาลน่าจะไม่ใช่วิธีปฏิบัติที่ดี เพราะมักมีการใช้โทรศัพท์ในกรณีฉุกเฉิน


 


เรือปานามาล่มกลางแปซิฟิก ตาย-สูญหายนับสิบราย
มติชนออนไลน์ - เรือของปานามาประสบอุบัติเหตุล่มในมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้พรมแดนโคลัมเบีย หลังเดินทางมาจากเมืองท่าจาเก้ ทางตะวันออกของกรุงปานามาซิตี้ เมืองหลวงปานามา พร้อมผู้โดยสาร 25 คน เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คนและ สูญหายไปอีกอย่างน้อย 11 คน ส่วนผู้ประสบเหตุ 13 คน ได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ของปานามา



ขณะที่บรรดาญาติพี่น้องของผู้สูญหายต่างรอฟังข่าวด้วยความกระวนกระวายใจ และหวังว่าบุคคลผู้เป็นที่รักเหล่านี้จะได้รับความช่วยเหลืออย่างปลอดภัย ส่วนสาเหตุของเรือล่มครั้งนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าจะเกิดจากสภาพอากาศไม่ดี


 


ผู้นำซูดานเข้าร่วมประท้วงหมายจับของไอซีซี


เดลินิวส์ - ประธานาธิบดีโอมาร์ ฮัสซัน อัล-บาชีร์ ของซูดาน เข้าร่วมชุมนุมครั้งใหญ่ในกรุงคาร์ทูม เมืองหลวงซูดานเมื่อวันพฤหัสบดี ร่วมกับกลุ่มผู้สนับสนุนกว่า 5,000 คน เพื่อประท้วงศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือไอซีซี ที่ออกหมายจับเขาในข้อหาอาชญากรสงครามและก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในเมืองดาร์ฟูร์ ทางตะวันตกของซูดาน เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา


 


ผู้ประท้วงเปล่งเสียงสนับสนุนผู้นำซูดาน และประณามนายหลุยส์ โมเรโน-โอคัมโป อัยการของไอซีซี หมายจับนาย บาชีร์ถือว่าเป็นหมายจับผู้นำรัฐครั้งแรกของศาลโลกในกรุงเฮก ตั้งแต่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2545 นอกจากนี้ หมายจับนายบาชีร์ยังอาจจุดชนวนให้เกิดความวุ่นวายในภูมิภาคมากขึ้น การชุมนุมประท้วงมีขึ้น หลังจากมีการแสดงพลังสนับสนุนนายบาชีร์ในลักษณะเดียวกันนี้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทั้งนี้ นายบาชีร์ถูกไอซีซีกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การทำลายล้าง การข่มขืนและการปล้นระหว่างเกิดความขัดแย้งเป็นเวลา 6 ปีในดาร์ฟูร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ หรือยูเอ็น กล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 300,000 ศพ ตั้งแต่ปี 2546


 


ส่วนปฏิกิริยาของนานาประเทศที่มีต่อการตัดสินของ ไอซีซี มีแตกต่างกันไป โดยสหรัฐแสดงความยินดีกับการตัดสินดังกล่าว แต่จีนเรียกร้องเมื่อวันพฤหัสบดีให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของกลุ่มประเทศในแอฟริกาและอาหรับ และระงับการดำเนินคดีต่อนายบาชีร์ ส่วนแอฟริกาใต้ มหาอำนาจในภูมิภาค ระบุว่า หมายจับนายบาชีร์เป็นสิ่งที่น่าเสียใจ


 


นายบาชีร์ปฏิเสธหมายจับของไอซีซี และกล่าวต่อผู้ชุมนุมประท้วงว่า ผู้นำสหรัฐและยุโรปเป็นอาชญากรที่แท้จริง และหมายจับดังกล่าวยังเป็นการสมคบคิด ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายเสถียรภาพของซูดาน และทำลายความพยายามสร้างสันติภาพในเมืองดาร์ฟูร์ โดยเขากล่าวเป็นครั้งแรกต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีตั้งแต่กลายเป็นที่ต้องการตัวของไอซีซีว่า ศาลอาญาระหว่างประเทศ ยูเอ็นและองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในซูดาน เป็นเครื่องมือของลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่ ที่ต้องการควบคุมซูดานและแหล่งทรัพยากรธรรมชาติของซูดาน


 


ขณะเดียวกัน ผู้นำซูดานยังได้ประกาศว่า เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ชาวต่างชาติ 10 คน ถูกเนรเทศออกนอกประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นการตอบโต้ต่อหมายจับของไอซีซีต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก "เราจะเป็นรัฐบาลที่รับผิดชอบ ซูดานจะตอบโต้ต่อใครก็ตามที่เป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของประเทศอย่างจริงจัง เราได้ตะเพิดเจ้าหน้าที่ต่างชาติ 10 คน หลังจากตรวจสอบพฤติกรรม ซึ่งกระทำการขัดแย้งกับกฎหมายของประเทศ" นายบาชีร์กล่าวต่อที่ประชุมนักการเมืองระดับสูงและสมาชิกคณะรัฐมนตรี

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net