Skip to main content
sharethis

อาทิตย์  คงมั่น
รายงาน


 


 



 


เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 52 เป็นวันเริ่มต้นอีกวันหนึ่งที่เราได้เห็นการตื่นตัวของชาวบ้าน เผ่าปกาเก่อญอ 80 กว่าชีวิต ภายใต้กระแสโลก ที่บีบให้ชาวบ้านผู้มีวิถีชีวิตการพึ่งพาอาศัยจากทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ต้องออกมาบอกกล่าวกับสังคมส่วนใหญ่ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า การทำไร่หมุนเวียนเป็นการทำลายป่า ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และอีกหลายๆ ข้อกล่าวหาโดยที่ไม่ได้มองถึงปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาดั่งที่ว่า ดังนั้นวันนี้ชาวบ้านได้ออกมาแสดงให้กับผู้ที่ยังไม่เข้าใจในวิถีชีวิตของคนอยู่กับป่า


 


"กิจกรรมแนวกันไฟป้องกันไฟป่า" ครั้งนี้ มีขึ้น ณ บ้านป่าโปง ม. 1 ต. ป่าโปง อ. สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน บริเวณ เหล่อแฆะเฆาะโจ๊ะหรือห้วยหวาย (พื้นที่บวชป่า) ซึ่งเป็นบริเวณเขตติดต่อระหว่าง ตำบลป่าโปง กับตำบลกองก๋อย ของ อำเภอสบเมย และการทำแนวกันไฟครั้งนี้เป็นปี ที่ 8 ติดต่อกันด้วยความกว้าง 5 เมตร และความยาว 4-6 กม. ครอบคลุมพื้นที่อนุรักษ์ของชาวบ้านกว่า 750 ไร่โดยประมาณ ในวันนี้นอกจากชาวบ้านในพื้นที่แล้วยังมีชาวบ้านใกล้เคียงจาก หมู่ที่ 6 เข้าร่วม 10 กว่าคน เจ้าหน้าที่จาก อบต. และเจ้าหน้าที่จากสมาคม อิมเปค เข้าร่วมด้วย


 


เนื่องจากไม่มีพิธีรีตองอะไรกิจกรรมดังกล่าวได้ดำเนินไปจนถึงเวลาเที่ยงผู้เข้าร่วมกิจกรรมจึงหยุดพักทานอาหารเที่ยงกัน หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จก่อนที่จะลงมือทำต่อก็จะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเหมือนดั่งทุกปีที่มีเนื้อหาการพูดคุยดังนี้ โดยเริ่มจาก


 


พาตี่บารมี บุญดวง ผู้นำชุมชน อดีตกำนันและอดีต สจ. ได้กล่าวว่าที่ผ่านมาระบบการผลิตแบบใหม่ทำให้เราต่างคนต่างอยู่ต่างทำ ต่างไป ทำให้ทั้ง 2 หย่อมไม่ค่อยได้พบปะกันในฐานะคนบ้านเดียวกัน วันนี้เป็นวันดีที่เราได้มีโอกาส ได้มาพบ มาพูดคุยกันในเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมานอกจากการประชุมประจำเดือนแล้วก็ไม่มีกิจกรรมอะไรในการที่เราจะมาพูดคุยกัน ในเรื่องความเป็นอยู่ เรื่องการจัดการทรัพยากร ของชุมชนเรา


 


พร้อมกันนี้ พาตี่บารมี ยังพูดถึงวัตถุประสงค์ในการทำกิจกรรมอีกว่า การทำแนวกันไฟของหมู่บ้านนอกจากการมาพบปะกัน และการป้องกันไฟที่จะลามเข้ามาในเขตหมู่บ้านแล้ว ยังเป็นการรักษาพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ให้กับสัตว์ได้หากิน พักผ่อน ขยายพันธุ์ แล้วยังรวมไปถึงการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพที่มีอยู่ในพื้นที่ให้คงอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป                


 


ด้านนายจตุพล ใฝ่กุศลอภิชน กำนันตำบลป่าโปง ได้ให้ความเห็นว่า คนในตำบลป่าโปงส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่หมุนเวียนกัน ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นข้อกล่าวหาที่ว่า ทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน และหมอกควัน เป็นผู้ทำลายป่าการทำแนวกันไฟครั้งนี้เป็นการทำรอบนอกสำหรับในไร่หมุนเวียนยังไม่ถึงเวลาที่จะทำเมื่อถึงเวลาก็จะมีการทำอีกที โดยส่วนตัวคิดว่า กระแสโลกร้อนเป็นเรื่องที่น่ากลัวทุกคนต่างก็รู้ว่าเป็นภัยใกล้ตัวแต่ยังมาไม่ถึง จึงไม่มีใครใส่ใจที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงแก้ไขใดใด แม้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ การจัดเวทีสัมมนา แต่ผู้คนยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ยังคงบริโภคอาหารและวัตถุนิยมเกินความจำเป็น ขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ทำตัวอยู่เหนือธรรมชาติ โดยไม่ไตร่ตรอง หัวใจของการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนจึงต้องสร้างจิตสำนึกส่วนร่วมให้ทุกคนเข้าใจและตระหนักว่า ภาวะโลกร้อนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยคน ๆ เดียวหรือกลุ่มเดียว ต้องทำพร้อม ๆ กันทั่วโลก ตามภาระหน้าที่ที่แตกต่างกัน ตามลักษณะวิถีการดำรงชีวิตของแต่ละคนแต่ละชุมชน จึงจะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ และก่อเกิดความยั่งยืนต่อสภาพสิ่งแวดล้อม อันเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เองในที่สุด ไม่ใช่โยนความผิดให้กลุ่มอาชีพใดอาชีพหนึ่ง


 


อย่างไรก็แล้วแต่ในการพูดคุยทั้งหมดยังฝากข้อคิดทิ้งไว้ว่า โดยชุมชนปกาเก่อญอเรา สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์เผาป่าอย่างเด็ดขาด แต่เราก็ต้องทำแนวกันไฟ เพราะกลุ่มคนภายนอกที่เขาไม้ให้ความเคารพ ต่อพิธีที่เราทำและยังมีการแอบเข้ามาล่าสัตว์ เผาป่าในเขตอนุรักษ์ อยู่บ่อยครั้ง เราจึงต้องทำไว้ก่อน ก่อนที่ไฟมันจะเกิดและเป็นการบอกให้กับคนที่ไม่เข้าใจ หรือสังคมส่วนใหญ่รู้ว่า "เราไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นแต่เราทำในสิ่งที่เราทำได้"


 


                                                                                               


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net