Skip to main content
sharethis

มูลนิธิสยามกัมมาจล


 


"ญ้อ" เป็นชาวลาวอพยพจากกรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ที่อพยพเข้ามาอาศัยบนผืนแผ่นดินไทยตั้งแต่ช่วงที่มีการโยกย้ายคนจำนวนมากไปมาระหว่าง 2 ฝั่งในช่วงเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ทั้งภาษาญ้อที่มีสำเนียงพูดต่างจากคนไทยภาคอีสานทั่วไป และผ้าทอลายขิดดวงเดือนที่มีลักษณะเฉพาะตัว


 


ทว่าความเจริญที่หลั่งไหลเข้าไปในช่วง 10ปีที่ผ่านมาก็ทำให้วิถีชาวญ้อประมาณ 2,400 ชีวิตที่บ้านท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นชุมชนญ้อที่มีขนาดใกล้เคียงชุมชนชาวมอญเกาะเกร็ด จ.นนทบุรี เปลี่ยนแปลงไป ชาวญ้อรู้สึกอับอายที่จะพูดภาษาญ้อในที่สาธารณะจึงสอนลูกหลานให้พูดภาษากลาง ขณะที่วัฒนธรรมการละเล่นหลายๆ อย่างกลับถูกทดแทนด้วยการละเล่นสมัยใหม่อย่างการเล่นเกมในร้านอินเทอร์เน็ต


 


            อย่างไรก็ดี จากการจุดประกายของ 16 นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เยาวชนที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศโครงการกล้าใหม่...ใฝ่รู้ ประจำปี 2550 ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่เข้าดำเนินกิจกรรมได้ทำให้วัฒนธรรมชาวญ้อที่บ้านท่าขอนยางเริ่มกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง


 


 


 


อิศศิรา โทนหงสา (ตั๊ก) และกัมปนาท มโนธรรม (เป้)


 


 


 


กิจกรรมระบายสีชุมชนของฉัน


 


 


 


ร่วมกันทำเรือไฟแบบพื้นบ้าน


 


 


 


แปลนศาลาศูนย์วัฒนธรรม


 


 


 


 


กัมปนาท มโนธรรม หรือ "เป้" นักศึกษาชั้นปี 5 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ประธานโครงการฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมชุมชนอย่างยั่งยืน กล่าวว่า โครงการของพวกเขาจึงมีเป้าหมายเพื่อให้ชุมชนเกิดความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมอยู่รอด


 


การฟื้นฟูวัฒนธรรมชาวญ้อให้กลับมาเข้มแข็ง พวกเขาเริ่มจากการศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมดั้งเดิมของชุมชนจากผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ ตั้งแต่กิจกรรมการเล่านิทานพื้นบ้านแก่ลูกเด็กเล็กแดงบ้านท่าขอนยางให้รู้จักวัฒนธรรมดั้งเดิมของท้องถิ่น เช่น เรื่องของ "ไอ้เฮ่า" หรือท้าวทองแดง จระเข้ตัวร้ายที่ถูกถวายมาเป็นบรรณาธิการแก่เจ้าเมืองญ้อ แต่กลับสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่ว โดยพบว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดี มีเด็กและเยาวชนบ้านท่าขอนยางเข้าร่วมกิจกรรมถึงกว่า 120 คน ตั้งแต่เด็กเล็กชั้นอนุบาล ประถมฯ จนถึงนักเรียนมัธยมฯ


 


"ยิ่งเด็กเล็กยิ่งดี พ่อแม่เขาต้องมาดูแลใกล้ชิด ยิ่งนานเขาก็ยิ่งมาร่วมกิจกรรมกับเราเยอะขึ้น วันเสาร์วันอาทิตย์พ่อแม่ก็จะพาลูกหลานมาร่วมกิจกรรมกับเรา ผู้ใหญ่ก็เข้ามาร่วมด้วย" เป้กล่าวและว่า เมื่อผู้ใหญ่เริ่มรู้จักกับสิ่งที่พวกเขาทำมากขึ้น 16 นิสิตเยาวชนกล้าใหม่...ใฝ่รู้ จึงจัดกิจกรรมการทำป้ายบอกทางภาษาไทยและภาษาญ้อ การแปลคำขวัญภาษาไทยมาเป็นภาษาญ้อ และการทำแผนที่วัฒนธรรมชาวญ้อแสดงตำแหน่งบ้านหมอตำแย บ้านหมอสมุนไพร บ้านปราชญ์ ชาวบ้าน ฯลฯ เพื่อสร้างความภูมิใจในวัฒนธรรมญ้อแก่คนอื่นๆ ในชุมชนด้วย 


 


ทั้งนี้ จากสิ่งที่เยาวชนทั้ง 16 ได้จุดประกายนี้เองได้ทำให้ชาวญ้อในชุมชนเริ่มเห็นและตระหนักถึงคุณค่าของการฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กลับคืนมามากขึ้น ดังจะเห็นได้จากผู้นำชุมชนได้เปิดโอกาสให้เยาวชนนำวาระการฟื้นฟูวัฒนธรรมญ้อเป็นหัวข้อการหารือในวงเสวนาพาแลงพัฒนาหมู่บ้าน โดยมีพระครูอุดมพัฒนคุณ เจ้าอาวาสวัดเจริญผล ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในพื้นที่เป็นประธานการประชุม ขณะที่เยาวชนทั้ง 16 คนได้ปรับบทบาทตนเองใหม่ให้กลายมาเป็นกองหนุนให้แก่ชาวบ้านที่ตอนนี้มีความกระตือรือร้นต้องการฟื้นฟูวัฒนธรรมญ้อด้วยตัวเองแล้ว


 


"ก็มีคนแสดงความคิดเห็นมา เช่น จะมีการฟื้นฟูวัฒนธรรมไหลเรือไฟ บุญบั้งไฟ ประชันแห่กลองยาวด้วยไหม เราก็จะเชิญคนเฒ่าคนแก่มาคุยกันว่าเมื่อก่อนมีอะไรบ้างที่เกี่ยวกับญ้อ มีประเพณีไหนในวันใดบ้าง โดยเฉพาะวัฒนธรรมไหลเรือไฟของชาวญ้อ เป็นเรือไฟโบราณ เราก็หาผู้เฒ่าผู้แก่ที่รู้ว่าเรือไฟคืออะไร ทำเพื่ออะไร คือทำเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ทำแล้วลอยตามน้ำใส่ของสะเดาะเคราะห์ไหลตามน้ำไป เรือไฟมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรเราก็ร่างภาพขึ้นมา แล้วก็มีการลงมือทำเรือไฟร่วมกัน" เป้เล่าถึงประเพณีไหลเรือไฟในเทศกาลออกพรรษาปี 2550 ซึ่งเป็นปีแรกของการฟื้นฟูก็พบว่ามีเรือไฟจากชุมชนญ้อร่วมงานถึง 5 ลำ


           


ส่วนเทศกาลออกพรรษาปี 2551ประเพณีไหลเรือไฟยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น เป้กล่าวว่า ครั้งนี้ไม่จำกัดเพียงชุมชนชาวญ้อเท่านั้นที่มีส่วนร่วม "ปรากฏว่าประเพณีไหลเรือไฟปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้วพบว่าบูมมากเพราะคนเริ่มสนใจ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเข้ามา มีการสร้างเรือไฟขึ้นมาอีกหนึ่งลำ อธิการบดีให้เกียรติมาเปิด ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงก็เริ่มส่งไหลเรือไฟเข้ามาร่วม ไม่เฉพาะแต่ชาวญ้อแล้ว งานเอิกเกริกขึ้น วัฒนธรรมไหลเรือไฟของชาวญ้อเริ่มกลายเป็นเรื่องเป็นจริงเป็นจังมาแล้ว ถึงจะมีเรือลอยจริงไม่เยอะนัก แต่ก็มีเรือแห่ร่วมงานเยอะมาก"


 


และแม้ว่าการตัดสินรางวัลโครงการกล้าใหม่...ใฝ่รู้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ชาวบ้านท่าขอนยางยังมีแนวคิดจัดทำศูนย์วัฒนธรรมชาวญ้อขึ้นบนพื้นที่วัดเจริญผลด้วย คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 2 ล้านบาท และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี จุดประสงค์เพื่อให้วัฒนธรรมญ้อมีความเข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว โดยมีแหล่งเก็บรวบรวมข้อมูลประวัติศาสตร์ บันทึกและนิทานปรัมปรา พจนานุกรมเทียบภาษาไทย-ญ้อ ฆ้อง-กลองเพลโบราณ ผ้าทอเก่าและวิธีการผลิตผ้าทอลายขิดดวงเดือน ฯลฯ ซึ่งเทศกาลกฐินที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์ฯ เห็นชอบให้จัดพิธีทอดกฐินธนาคารประจำปี 2551 เพื่อนำปัจจัยร่วมสร้างศูนย์วัฒนธรรมชาวญ้อ โดยมียอดเงินบริจาคกว่า 1.95 ล้านบาท


 


อิศศิรา โทนหงสา หรือ "ตั้ก" สมาชิกในโครงการอีกคน กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วมองว่าวัฒนธรรมญ้อเริ่มมีความยั่งยืนเกิดขึ้นแล้ว คนในชุมชนรักในวัฒนธรรมตัวเอง และกระตุ้นให้ลูกหลานรักและภูมิใจในวัฒนธรรมด้วย ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือศูนย์วัฒนธรรมที่จะมีส่วนยึดโยงวัฒนธรรมชาวญ้อให้อยู่ได้ จากแต่ก่อนที่ต่างคนต่างอยู่ เลื่อนลอย ภาษาญ้อพูดในบ้านตัวเอง ไม่กล้าพูดกับคนอื่นๆ ตอนนี้เริ่มกล้าพูดภาษาญ้อในที่สาธารณะ โดยหลังจากศาลาวัฒนธรรมแล้วเสร็จ พวกเขาจะเริ่มลดบทบาทลงเพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนดูแลรักษาวัฒนธรรม   ญ้อด้วยตัวเอง


 


ตั๊กกล่าวถึงสิ่งที่เขาได้รับจากการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วยว่า ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย เช่น ประสบการณ์การทำงานเป็นหมู่คณะ การรู้จักนิสัยเพื่อน การได้พบปะชุมชน และการที่ได้รับรู้ว่า จริงๆ แล้ว เขาก็สามารถทำอะไรเพื่อคนอื่นได้ เป็นจิตอาสาทำไปโดยไม่คิดถึงประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ


 


เช่นกันกับเป้ที่ปิดท้ายว่า เขาได้ประสบการณ์จากการลงพื้นที่ชุมชนมากแบบที่ได้สัมผัสจริงๆ ไม่ใช่แค่ขี่จักรยานผ่านเฉยๆ เหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่ได้ลงไปคลุกคลีตีโมง ได้พูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่ ได้รู้จักวัฒนธรรมชาวญ้อ จนทำให้รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มาเรียนหนังสือที่นี่ ภูมิใจในเอกลักษณ์ชุมชน ความมีตัวตนของคนในพื้นที่ ไปที่ไหนชาวบ้านก็จะคุ้นหน้า เข้ามาทักทาย เห็นเป็นลูกเป็นหลาน และชาวบ้านยังมีความรักความคุ้นเคยกับนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามมากขึ้นด้วย


 


ไม่เกินเลยที่จะกล่าวว่า "การให้ย่อมทำให้ผู้ให้เป็นที่รักของผู้รับ" จริงๆ กับ 16 เยาวชนกล้าใหม่...ใฝ่รู้ และชุมชนชาวญ้อที่จะมีศาลาวัฒนธรรมเป็นของตนเองแห่งนี้.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net