Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis


ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข


 


 


5 ปีทักษิณ กับ 5 วันพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดสนามบิน อะไรสูญเสียมากกว่ากัน


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า 5 ปีภายใต้การปกครองของนักการเมืองไร้จริยธรรม กับกลุ่มผู้ชุมนุมนอกกฎหมายที่เชิดชูจริยธรรม พร้อมๆ การสนับสนุนของแกนนำพันธมิตรในชุดเครื่องแบบ ในคราบนักวิชาการ และแกนนำในชุดครุย ได้สร้างความสูญเสียให้ประเทศชาติบ้านเมืองมากกว่ากันขนาดไหน แม้จะนับเฉพาะกรณีปิดสนามบินเพียง 5 วันที่ผ่านมาก็ตาม


 


และนี่คือกลุ่มคนที่กำหนดโครงสร้างการเมืองไทย กำหนดการขับเคลื่อนของอำมาตย์ข้าราชการ กำหนดการขับเคลื่อนของกลุ่มคนที่ผูดขาดตัวเองว่าคือภาคประชาชน กำลังจะมาเป็นผู้ปกครอง และกำลังสร้างวัฒนธรรมการเมืองที่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย


 


เพราะปัญหาของการชุมนุมปิดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ไม่ใช่เรื่องความสูญเสียที่คำนวณได้เป็นเม็ดเงินเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาในอนาคตอย่างสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน เราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า มีชาวต่างประเทศที่รับรู้ข่าวสารเรื่องนี้จากสื่อทุกรูปแบบหลายร้อยล้านคน และมีที่ต้องเผชิญกับปัญหาโดยตรง ทั้งเรื่องการเดินทางและที่เกี่ยวข้องกับสินค้าบริการหลายแสนคน ชาวต่างชาติหลายล้านคนเหล่านี้ เขาไม่ได้ตั้งคำถามหรอกว่า ทำไมรัฐบาลไม่ลาออก เหมือนที่คนไทยให้ท้ายพันธมิตรตั้งคำถามกัน แต่เขาถามว่า ทำไมรัฐบาลจึงไม่จัดการกับการชุมนุมที่เป็นเสมือนกับการก่อการร้ายนี้


 


เชื่อหรือไม่ คำตอบที่ดูเหมือนยากนี้ สำหรับชาวต่างประเทศนับล้านคนเหล่านี้ตอบได้ไม่ยากเลย และนิยามที่ชัดและตรงไปตรงมาว่า "ม็อบเด็กเส้น" ดูเหมือนจะเป็นคำตอบในกรณีนี้ และใครกันที่เส้นใหญ่ ก็ดูจะเป็นคำตอบที่สร้างความสงสัยไปทั่วโลก


 


เพราะฉะนั้น เราก็น่าจะวิเคราะห์ต่อได้ไม่ยากเช่นกันว่า หากพันธมิตรฯได้รับชัยชนะจากการชุมนุมปิดสนามบินครั้งนี้ ผลกระทบที่จะสร้างปัญหาอย่างสำคัญต่อการเมืองไทยคืออะไร คำตอบประการสำคัญก็คือ "ความไม่มั่นคงอย่างถาวร" เพราะเมื่อวิธีการเช่นที่พันธมิตรฯกำลังทำอยู่นี้ใช้ได้ มันก็จะใช้ได้อีกเสมอ


 


แน่นอน เราอาจจะคิดได้ว่า คงไม่มีใครทำเรื่องสามานย์ได้เท่านี้อีกแล้ว แต่ทำไมครั้งนี้จึงทำได้เล่า


 


ดังนั้น ปัญหาจึงไม่ได้อยู่แค่การชุมนุมปิดสนามบินของพันธมิตรฯ แต่ปัญหาที่กำลังจะตามมาคือการชุมนุมปิดสนามบินของประชาชนกลุ่มอื่นๆ พูดง่ายๆ ก็คือ หากการปิดสนามบินครั้งนี้ได้รับอภิสิทธิ์ในฐานะม็อบเด็กเส้น การปิดสนามบินครั้งที่ 2 3 4 ของประชาชนกลุ่มใดก็ตาม ย่อมถูกคาดหวังว่าถึงอภิสิทธิ์นี้ด้วยเช่นกัน  และหากการปิดนี้ได้ผล การปิดสนามบินแบบนี้ก็จะต้องมีอีก หนีไม่พ้น


 


บรรดาผู้ให้ท้ายพันธมิตรฯ จึงควรตระหนักและสังวรเสียตั้งแต่ตอนนี้ว่า จะมีท่าทีอย่างไรหากวันหนึ่งมีประชาชนกลุ่มอื่นๆ ไปปิดสุวรรณภูมิบ้าง


 


และคุณจะรับผิดชอบอย่างไร กับภาพลักษณ์ของประเทศที่ถูกเชื่อไปแล้วว่า มีเส้นใหญ่หนุนหลัง ที่ไม่ว่าจะเล่นนอกกติกาหรือก่อความเดือดร้อนอย่างไรก็ไม่ถูกจัดการ


 


ที่ไม่ว่าจะเล่นนอกกติกาหรือก่อความเดือดร้อนอย่างไร การเรียกร้องความรับผิดชอบก็ไปลงที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพียงฝ่ายเดียวโดยการอธิบายด้วยตรรกะที่ผิดเพี้ยน เช่น รัฐบาลจัดการไม่ได้ควรออกไป รัฐบาลล้มเหลวควรออกไป โดยหลงลืมข้อสังสัยและข้อสังเกตที่ว่า ทำไมกองทัพและตำรวจจึงปล่อยให้ยึดสุวรรณภูมิโดยง่ายดาย ทำไมกองทัพจึงไม่จัดการตั้งแต่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งแรก หรือทำไมจึงร่วมกับข้าราชการเรียกร้องให้ยุบสภา ซึ่งเท่ากับให้อำนาจกองทัพ อำมาตย์ ข้าราชการ สร้างสถานการณ์เพื่ออนุมัติว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาลได้ อันเป็นบทสะท้อนชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย


 


เช่นเดียวกัน แม้เราจะสังเกตได้ไม่ยากว่า กรณีปิดสนามบินนี้ แรงหนุนของม็อบเด็กเส้น และแรงที่กดดันรัฐบาลกลับน้อยลงกว่าที่เครือข่ายพันธมิตรและการรัฐประหารเคยทำได้ กระนั้นความอ่อนแรงของพันธมิตรฯ ก็ไม่ได้หมายความว่าเครือข่ายพันธมิตรและการรัฐประหารจะมีเครื่องมือเพียงแค่แรงหนุนเท่านั้น


 


เพราะในที่สุด การนัดปิดคดีของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 โดยไม่ไต่สวนพยาน ก็ตอกย้ำให้ได้ยิน ได้เห็น และปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่เลือกรัฐบาลไทยรักไทย-พลังประชาชน รวมทั้งคนที่ไม่เอารัฐประหาร 19 กันยา และไม่เห็นด้วยกับการปิดสนามบินของพันธมิตร คือ "ไพร่" ผู้เป็น "ประชาชนชั้นสอง" ที่ไม่มีสิทธิเลือกรัฐบาล ไม่มีสิทธิกำหนดว่า การเมืองและระบอบการปกครองที่เรียกว่าประชาธิปไตยคืออะไร ไม่มีสิทธิเลือกที่อยู่ในสังคมภายใต้กติกา แม้กติกาเหล่านี้จะเป็นกติกาที่ฝ่ายผลักดัน-สนับสนุน  "รัฐประหาร 19 กันยาฯ" เป็นคนกำหนดขึ้นมาเองก็ตาม


 


เรายังไม่รู้คำตัดสินของศาล เพราะเมื่อคุณรู้ มันก็สายเกินไป รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ไพร่เลือกก็มีอันต้องหมดสภาพ และพรรคการเมืองที่ประชาชนชั้นสองเลือกมาก็จำต้องสลายตัว


 


ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่า เครือข่ายรัฐประหารได้สร้างระบอบใหม่ "ระบอบรัฐประหาร" เป็นแก่นเป็นเนื้อสถิตถาวรอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2550 และให้ค่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็นแค่เครื่องมือของกลุ่มอำนาจบางกลุ่มบางกลุ่มบางชนชั้นเท่านั้น แทนที่จะหมายถึงกติกาที่ทุกคนทุกกลุ่มทุกชนชั้นมีสิทธิใช้มันอย่างเท่าเทียม


 


มันให้คำตอบว่า ทำไมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงปกป้องมัน แม้จะต้องแลกด้วยทรัพยากรและโอกาสทั้งหมดของชาติอย่างการปิดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ


 


มันให้คำตอบว่า ทำไมทหาร ตำรวจ และข้าราชการบางส่วน ซึ่งเปิดทางให้พันธมิตรยึดสนามบินได้อย่างง่ายดาย จึงไม่กระทำการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเสีย โดยปล่อยให้ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยหลงเชื่ออยู่สักพักว่าเป็นเพราะกริ่งเกรงหรือกลัวประชาชนเสื้อแดง ที่แท้เขาก็ไม่ได้อยากฉีกรัฐธรรมนูญที่เขาสร้างมากับมือ เพราะมันยังคงทำหน้าที่ขับไล่รัฐบาลที่เขาไม่ชอบได้อยู่ต่างหาก


 


ฉากที่ศาลรัฐธรรมนูญ งดไต่สวนพยานและนัดปิดคดีแบบเร็วผิดสังเกต ทำให้เราต้องย้อนหลังกลับไปฉากแล้วฉากเล่าของการรัฐประหาร


 


ลืมกันหรือยังว่า ความไม่สงบที่เกิดก่อนการรัฐประหารมีอะไรบ้าง การดำเนินคดีกับคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ถูกฝ่ายต่อต้านรัฐบาลไทยรักไทยกล่าวหาว่ารับใช้ทักษิณ การปลุกและให้อำนาจตุลาการภิวัตน์ได้ทำงาน ฉากความวุ่นวายถูกจุด เสียงระเบิดที่ดังตูมแล้วตูมเล่าบริเวณสถานที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรและเครือข่าย โดยไม่มีคนเจ็บ หรือคาร์บอมบ์บนเส้นทางที่อดีตนายกฯผ่าน ถูกสร้างขึ้น การปั่นกระแสม็อบชนม็อบ และภาพการวิวาทของมวลชนสองฝ่ายที่ถูกวาดจนน่ากลัวโดยสื่อ กลายเป็นเงื่อนไขล้มล้างรัฐบาลไทยรักไทยด้วยการรัฐประหาร


 


วันนี้เป้าหมายก็ยังคงเท่านี้


 


77 ปี เป้าหมายก็เท่านี้


 


หรือบ้านเมืองไม่ใช่ของเราจริงๆ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net