Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ชำนาญ จันทร์เรือง


 


ในช่วงหลังๆนี้หากเราสังเกตให้ดีจะพบว่าในคำพิพากษา คำสั่งหรือคำวินิจฉัยของศาลในคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองหรือพรรคการเมืองจะพบว่ามีการแสดงความเห็นเพิ่มเติมลงไปในคำพิพากษา คำสั่งหรือคำวินิจฉัยในลักษณะของการอบรมสั่งสอนคู่ความหรือคู่กรณีในคดีในแง่ของหลักศีลธรรมจรรยานอกเหนือจากหลักกฎหมายที่ใช้การพิพากษาฯ ซึ่งหากดูเผินๆแล้วก็น่าจะดีเพราะโดยสมมุติฐานทั่วไปแล้วเรามักจะมองว่านักการเมืองนั้นควรที่จะต้องมีศีลธรรมจรรยามากกว่าที่เป็นอยู่ และหลายๆคนก็อาจรู้สึกสะใจเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายตรงกันข้ามของคู่ความหรือคู่กรณีที่แพ้คดี


 


อันที่จริงแล้วไม่ว่าในกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง วิธีพิจารณาความอาญา วิธีพิจารณาคดีปกครองหรือวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญต่างก็บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า คำพิพากษา คำสั่งหรือคำวินิจฉัยของศาลประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ดังนี้


 


ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๑ วรรคหนึ่งบัญญัติไว้ว่า


"คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทำเป็นหนังสือและต้องกล่าวหรือแสดง


(๑)ชื่อศาลที่พิพากษาคดีนั้น


(๒)ชื่อคู่ความทุกฝ่ายและผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนถ้าหากมี


(๓)รายการแห่งคดี


(๔)เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยทั้งปวง


(๕)คำวินิจฉัยของศาลในประเด็นแห่งคดีตลอดทั้งค่าฤชาธรรมเนียม"


 


ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๖ บัญญัติไว้ว่า


"คำพิพากษาหรือคำสั่งต้องมีข้อสำคัญเหล่านี้เป็นอย่างน้อย


(๑)ชื่อศาลและวันเดือนปี


(๒)คดีระหว่างใครโจทก์ใครจำเลย


(๓)เรื่อง


(๔)ข้อหาและคำให้การ


(๕)ข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความ


(๖)เหตุผลในการตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย


(๗)บทมาตราที่ยกขึ้นปรับ


(๘)คำชี้ขาดให้ยกฟ้องหรือลงโทษ


(๙)คำวินิจฉัยของศาลในเรื่องของกลางหรือในเรื่องฟ้องทางแพ่ง


คำพิพากษาในคดีที่เกี่ยวกับความผิดลหุโทษ ไม่จำต้องมีอนุมาตรา(๔)(๕)และ(๖)"


 


ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๖ ข้อ ๓๑ กำหนดไว้ว่า


"คำวินิจฉัยหรือคำสั่งของศาลต้องประกอบด้วยความเป็นมาหรือคำกล่าวหา สรุปข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการพิจารณา เหตุผลในการวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิง"


 


พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า


"คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองของศาลปกครองอย่างน้อยต้องระบุ


(๑)ชื่อผู้ยื่นคำฟ้อง


(๒)หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี


(๓)เหตุแห่งการฟ้องคดี


(๔)ข้อเท็จจริงของเรื่องที่ฟ้อง


(๕)เหตุผลแห่งคำวินิจฉัย


(๖)คำวินิจฉัยของศาลในประเด็นแห่งคดี


(๗)คำบังคับ ถ้ามี โดยให้ระบุหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องปฏิบัติตามคำบังคับไว้ด้วย


(๘)ข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา ถ้ามี"


 


จากที่ยกมาแสดงทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าจุดมุ่งหมายของคำพิพากษาฯก็คือการให้เหตุผลว่าเหตุใดมีคำพิพากษาฯเช่นนั้น มิได้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้มีการอบรมสั่งสอนคู่ความในคดีแต่อย่างใด


 


จริงอยู่การอบรมสั่งสอนเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องเป็นการอบรมสั่งสอนของผู้ที่มีภาระหน้าที่และมีสถานะเหนือกว่าไม่ว่าจะเป็นโดยตำแหน่งหรือภาวการณ์ของเรื่องที่อบรมสั่งสอนนั้นว่าผู้อบรมฯอยู่ในภาวะที่สูงกว่าจนเป็นที่ยอมรับโดยปราศจากข้อสงสัย


 


แต่ในเรื่องของการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นมิใช่เรื่องของการอบรมสั่งสอน เพราะจะทำให้คู่ความหรือคู่กรณีฝ่ายที่แพ้คดีเข้าใจว่าศาลได้นำเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของหลักกฎหมายเท่านั้นที่นำมาลงโทษตนเอง ซึ่งเรื่องอื่นที่ว่านั้นก็คือเรื่องของศีลธรรมจรรยานั่นเอง


 


อนึ่ง การพิจารณาพิพากษาคดีนั้นเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยอย่างหนึ่งคืออำนาจตุลาการ ซึ่งมิได้หมายความว่าอำนาจตุลาการจะมีสถานะเหนืออำนาจอธิปไตยอื่นจนสามารถทำหน้าที่อบรมสั่งสอนประมุขของฝ่ายบริหารหรือนิติบัญญัติซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรีหรือประธานรัฐสภานั่นเอง  เพราะอำนาจตุลาการก็เป็นหนึ่งในสามของอำนาจอธิปไตยที่มีสถานะเท่าเทียมกัน


 


ไม่มีใครปฏิเสธว่าสถานะของฝ่ายตุลาการนั้นอยู่ในสถานะที่ควรเคารพนับถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการดำรงตนในสังคมว่าเป็นที่เชื่อได้ว่าเป็นอาชีพที่มีมาตรฐานของความซื่อสัตย์สุจริตสูงกว่าอาชีพอื่น แต่ก็มิได้หมายความจะมีศีลธรรมจรรยาสูงส่งดังเช่นนักพรต นักบวช หรือมีศีลห้า ศีลแปดสูงกว่าบุคคลอื่นในสังคมเพราะยังเป็นปุถุชนอยู่


 


การที่มีการเพิ่มเติมคำสั่งสอนเข้าไปในคำพิพากษาที่ถึงแม้ว่าจะได้อธิบายหลักกฎหมายและเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยไว้จนสิ้นสงสัยแล้ว แต่ในช่วงหลังๆนี้หากเราสังเกตให้ดีว่า เราไม่ค่อยได้ยินคำกล่าวของคู่ความหรือคู่กรณีที่แพ้คดีออกมายอมรับผลแห่งการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างชัดถ้อยชัดคำ เพราะเหตุแห่งการที่ได้มีการเพิ่มเติมการอบรมสั่งสอนเข้าไปนั่นเอง


 


อย่างไรก็ตามก็มิได้มีการวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาฯแต่อย่างใดด้วยเกรงว่าจะเข้าข่ายหมิ่นศาลนั่นเอง (ยกเว้นเสียแต่การโฟนอินเข้ามาจากต่างประเทศของอดีตนายกฯทักษิณที่ประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่ยอมรับผลแห่งการตัดสินคดีของตนเอง)


 


จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผู้เขียนเพียงแต่ต้องการให้ทุกฝ่ายได้ยอมรับผลแห่งคำพิพากษา คำสั่งหรือคำวินิจฉัยไม่ว่าจะเป็นของศาลใดก็ตามอย่างสนิทใจ แต่การที่จะทำให้คู่ความหรือคู่กรณีที่แพ้คดีหรือกองเชียร์ยอมรับผลแห่งคำพิพากษาฯอย่างสนิทใจนั้น นอกจากเหตุผลของหลักกฎหมายในคำวินิจฉัยแล้ว ไม่ควรที่จะมีการเพิ่มการอบรมสั่งสอนเข้าไปในคำพิพากษาฯ เพราะจะทำให้เกิดความสงสัยในเหตุผลแห่งการวินิจฉัยว่าได้มีการใช้ หลักศีลธรรมจรรยาแทนหลักกฎหมายแล้วหรืออย่างไร


 


 


หมายเหตุ  เผยแพร่ครั่งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุทธที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net