ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศยืนยัน "เราจะไม่เป็นรัฐที่ล้มเหลว"

"กษิต ภิรมย์" เจอผู้สื่อข่าวต่างประเทศจี้ถามเรื่องสถานะในกลุ่มพันธมิตรกับการรับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ ตอกนักข่าวไม่เข้าใจสังคมและการเมืองไทย ยืนยันไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองได้โดยไม่ใช้ความรุนแรงต่างชาติต้องยอมรับ พร้อมกับส่งสัญญาณถึงต่างประเทศรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็น "ของจริง" มีแผนงานชัดเจนเตรียมตัวเป็นรัฐบาลมาสามปีแล้ว ย้ำหลายครั้งว่าประชาธิปัตย์มือสะอาด โปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำงานเป็นทีมแม้จะมี "ยี้" ผสมและจะไม่ลุแก่อำนาจ     

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2551 นายกษิต ภิรมย์ อดีตนักการทูตหลายสมัย สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และตัวเก็งรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ได้เข้าร่วมการอภิปรายเรื่อง " A Democrat Party-led Government; Undercurrents and Prospects" ที่จัดโดยสถาบันศึกษาความมั่นคงนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การอภิปรายของนายกษิตกลายเป็นจุดสนใจของบรรดาผู้เข้าร่วมรับฟังที่ส่วนหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ นักการทูตและผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และสาระที่นายกษิตอภิปรายก็ได้กลายเป็นการส่งสัญญาณถึงต่างชาติ โดยนายกษิตได้พยายามตอกย้ำตลอดการอภิปรายถึงความโปร่งใส ความเป็นนักการเมืองมือสะอาดของรัฐบาลกับผู้นำคนใหม่และการไร้ผลประโยชน์ทับซ้อนว่าจะเป็นแนวทางพื้นฐานในการทำงานทุกระดับชั้นและยังแสดงความเชื่อมั่นว่าด้วยคุณสมบัติอันนี้จะทำให้ได้รับการยอมรับ

นายกษิตยังพยายามให้ภาพถึงความพร้อมในการทำงานบริหารประเทศของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมักได้รับการกล่าวขวัญถึงว่าถนัดในเรื่องการเป็นฝ่ายค้านมากกว่าการบริหาร โดยยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ในช่วงสามปีที่ผ่านมา

พรรคได้ทำการบ้านด้วยการจัดพบปะผู้คนหลายสาขาอาชีพหลายหนเพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการ และจากข้อมูลที่ได้มาพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดทำร่างนโยบายที่จะนำมาใช้เมื่อเข้ารับหน้าที่รัฐบาล จึงมิได้มาแบบมือเปล่าหรือไม่เตรียมตัวทว่ามีแผนงานพร้อม แผนดังกล่าวนั้นนายกษิตระบุตัวอย่างว่ามีแผนที่จะใช้ในระยะเวลาเก้าสิบวันแรกของการบริหารงาน เช่นจะสนับสนุนด้านการเงินแก่ประชาชนทางด้านการศึกษา สุขภาพ จัดสรรเงินทุนสนับสนุนหมู่บ้านและชาวบ้านเพื่อให้พัฒนาตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง แนวทางต่างๆเหล่านี้ใช้ควบคุมไปกับหลักการบริหารแบบธรรมรัฐที่ใช้ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ นอกจากนั้นในช่วงไม่กี่วันมานี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ยังได้พบปะกับผู้แทนหลายฝ่ายไม่ว่าแรงงานจะด้านแรงงาน ชาวบ้านที่ทำอาชีพชาวไร่ชาวนาและภาคธุรกิจ จึงรับทราบปัญหาของประชาชนทุกด้านมีแนวทางพร้อมและชัดเจนในการทำงาน และงานเร่งด่วนนั้น นายกษิตกล่าวว่า สำหรับรัฐบาลจะจัดการเรื่องปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะปัญหาคนตกงาน

นอกจากภาพความพร้อมในการทำงานบริหารประเทศแล้ว นายกษิตยังย้ำเรื่องของความเป็นนักการเมืองมือสะอาดและโปร่งใสของรัฐบาลใหม่ "แม้ว่าจะมีหลายคนในรัฐบาลที่เราเรียกกันว่า ยี้ ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดอย่างไรในภาษาอังกฤษ" ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศอ้างถึงวลีที่หมายถึงกลุ่มนักการเมืองจากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมหลายคนรวมทั้งกลุ่ม "เพื่อนเนวิน" หรือกลุ่มของนายเนวิน ชิดชอบจากอดีตพรรคพลังประชาชนซึ่งก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยที่สมาชิกหลายคนของพรรคประชาธิปัตย์และนายกษิตเองสนับสนุนระบุให้เป็นนักการเมืองที่ไร้จรรยาบรรณ แต่ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลใหม่ยืนยันว่า รัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์จะทำงานเป็นทีม โดยนายอภิสิทธิ์ได้ย้ำว่า การแบ่งงานกระทรวงต่างๆไม่ได้หมายความว่า รัฐมนตรีแต่ละรายหรือพรรคแต่ละพรรคที่ได้โควต้าไปบริหารจะดำเนินการอย่างไรก็ได้กับหน่วยงานนั้นๆ ทุกอย่างที่จะเป็นการทำงานร่วมกันและผ่านการรับผิดชอบร่วมกัน  "ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คณะรัฐมนตรีทั้งทีมจะเข้าคุกด้วยกัน" แต่ในเรื่องเศรษฐกิจนั้น นายกษิตกล่าวว่านายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์จะเป็นผู้นำทีมเอง และกำลังมีการพิจารณากันว่าจะตั้งกลุ่มที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจที่มาจากภาคเอกชนได้หรือไม่ เพื่อให้การทำงานด้านเศรษฐกิจเป็นการระดมความคิดเห็นและการทำงานมาจากความเห็นชอบจากหลายฝ่ายอันเป็นไปตามบรรยากาศประชาธิปไตยและเป็นบุคคลิกของพรรคประชาธิปัตย์ที่นายกษิตย้ำว่าอยากจะผลักดันออกไปสู่สังคม และว่ารัฐบาลใหม่จะทำงานด้วยท่วงทำนองแบบประชาธิปไตย ไม่มีการสั่งการจากบนลงล่าง อดีตทูตไทยซึ่งไม่ปฏิเสธว่ากำลังจะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศกล่าวเสริมในช่วงหนึ่งว่า ตนอยากจะบอกกับประชาคมโลกว่า "เราคือของจริง เราไม่มีวาระซ่อนเร้นและ เราจะบริหารงานอย่างโปร่งใส"  

นายกษิตกล่าวถึงกรอบเวลาด้วยว่า คาดว่าวันที่ 29 - 31 ธันวาคมจะเป็นช่วงที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาได้ นอกจากนี้ในด้านต่างประเทศได้ตั้งเป้าว่าจะไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอาเซียนในกรุงเทพฯในช่วงเดือนมค.หรือต้นเดือนกพ.

อย่างไรก็ตามเมื่อถึงช่วงของการเปิดให้ซักถามปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมรับฟังการอภิปรายรวมทั้งผู้สื่อข่าวไทยและต่างประเทศหลายคนให้ความสนใจประเด็นความสัมพันธ์ของนาย

กษิตในฐานะผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยกับการทำงานในฐานะส่วนหนึ่งของรัฐบาลที่ประกาศตนจะเยียวยาและสร้างความสมานฉันท์ทางการเมือง รวมทั้งประเด็นการได้มาของรัฐบาลชุดนี้ ประเด็นการใช้ความยุติธรรมเป็นตัวนำในการสร้างความสมานฉันท์วิธีการปฏิบัติต่อกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยและความเสียหายจากการยึดสนามบินของกลุ่ม ซึ่งนายกษิตเลือกที่จะตอบคำถามเฉพาะบางประเด็น บางเรื่องทำด้วยการย้อนถามรวมทั้งกล่าวปกป้องพันธมิตร กับเรื่องของบทบาททหารในการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้

ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวสั้นๆเพียงว่าไม่ทราบ

กับคำถามถึงแนวทางการสร้างความเป็นธรรมเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งในเรื่องปัญหาสามจังหวัดภาคใต้และการเมืองระดับประเทศว่า จะมีความพยายามให้ความยุติธรรมนั้นเกิดกับทุกฝ่ายอย่างเสมอหน้าอย่างไร นายกษิตบอกว่ารัฐบาลใหม่จะยึดหลักกฏหมาย ไม่แทรกแซงศาล

เมื่อมีผู้ถามเรื่องการยึดสนามบินนายกษิตยืนยันว่าจะไม่ยอมให้มีการกระทำเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก

ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงบทบาทของนายกษิตกับกลุ่มพันธมิตร ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศตอบโดยพูดถึงบทบาทของกลุ่มพันธมิตรในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยยกตัวอย่างว่า โลกได้เห็นการปฏิวัติหลายหนซึ่งเต็มไปด้วยความรุนแรง แต่กลุ่มพันธมิตรกลับสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยมิได้ใช้กำลังหรือการรัฐประหาร และยกตัวอย่างในกรีซที่ยังคงเกิดความวุ่นวายโดยตั้งคำถามกับนักข่าวว่า เหตุใดไม่ชื่นชมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย "พวกคุณจะไม่ชื่นชมเชียวหรือ แล้วในเวลาที่เรามีปัญหาพวกคุณไปอยู่ที่ไหน ทำไมไม่มาช่วยเรา สิ่งที่เราพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นในเมืองไทยนี้ในสังคมของคุณมีแล้ว แต่เราไม่มี เราต้องต่อสู้ สังคมมันต้องเปลี่ยนและมันต้องมีต้นทุนสำหรับการเปลี่ยนแปลงอันนั้น"  

"วันนี้ผมอยู่ในรัฐบาล เป็นนักการเมืองเต็มตัวเพราะฉะนั้นไม่ใส่หมวกอื่น หมวกอันเดียวที่มีและทำมาตลอดคือผลักดันสังคมไปสู่สิ่งที่ดี โดยเฉพาะหลังจากออกจากราชการ คัดค้านต่อต้านเผด็จการมาตลอดเพื่อเอาธัมมะกลับมาสู่ประเทศ" พร้อมยืนยันว่า สิ่งที่เป็นกิจกรรมของกลุ่มพันธมิตรถือเป็นกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งของประชาสังคมที่คนไทยควรภูมิใจ "สิ่งที่ผมพูดในที่ชุมนุมพันธมิตรเป็นข้อมูลและข้อเท็จจริงและทำไปตามจิตสำนึกของผม" พร้อมกับระบุว่าต่อจากนี้ไปรัฐบาลต้องยึดหลักกฏหมายและแม้แต่พันธมิตรเองก็ต้องรู้ว่าพวกเขาต้องเตรียมตัวสู้ในเรื่องกฏหมาย

ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ยังตั้งคำถามกับผู้สื่อข่าวบีบีซี โจนะธัน เฮดซึ่งตั้งคำถามเรื่องกลุ่มพันธมิตรกับกิจกรรมการเมืองที่ผ่านมาโดยเฉพาะเรื่องปิดสนามบินว่า "คุณอยู่เมืองไทยมากี่ปีแล้ว ผมว่าคุณไม่เข้าใจสังคมไทย ไม่เข้าใจพัฒนาการการเมืองของไทย" และยืนยันว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทางการเมืองผ่านการชุมนุมที่รวมเอาคนทุกกลุ่มนับตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาไปจนถึงคุณหญิงคุณนายเข้าไว้ด้วยกัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อเรื่องการได้มาซึ่งรัฐบาลชุดนี้ซึ่งเป็นรัฐบาลเสียงส่วนน้อย นายกษิตกลับตั้งคำถามว่าอดีตนายกรัฐมนตรีพตท.ทักษิณ ชินวัตรก็เคย "ซื้อ" พรรคการเมืองจนได้เป็นพรรคเสียงข้างมากทั้งการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในสมัยที่อดีตพรรคพลังประชาชนอยู่ในอำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเหตุใดจึงไม่มีใครตั้งคำถาม "หรือว่าคุณอยากเห็นการต่อสู้กันบนท้องถนนต่อไป เราเสนอให้สมชายยุบสภาหลายหนแต่ไม่มีคำตอบ เขาก่อความรุนแรงวันที่ 7 ตุลาคม พวกคุณไปอยู่ที่ไหน พวกคุณคิดแต่ว่าพวกพันธมิตรติดอาวุธ ภรรยาผมไปร่วมทุกเย็นไม่เห็นเธอมีอาวุธอะไรนอกจากอาหาร คนเข้าร่วมเจ็ดสิบเปอรเซ็นต์เป็นผู้หญิง เราทำได้อย่างสงบ ความรุนแรงมีมาจากแค่ฝ่ายเดียว ทำไมพวกคุณไม่ชื่นชมในสิ่งเหล่านี้"

นายกษิตย้อนถาม ในช่วงหนึ่งได้กล่าวถึงการปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรว่า ถือเป็นการ "เดิน"เข้าสู่สนามบินโดยที่ไม่มีการต่อต้านเท่านั้น แต่การเคลื่อนไหวของพันธมิตรนั้น

นายกษิตกล่าวว่า "เราได้กำจัดรัฐบาลที่แย่ รัฐที่ล้มเหลว ตอนนี้เราจะเป็นรัฐบาลที่ไม่ลุแก่อำนาจ"

นอกจากนั้นนายกษิตกล่าวต่อไปถึงการแก้ไขปัญหาภาคใต้ว่าภายในพรรคปชป.ได้หารือกันมากว่าจะใช้แนวทางการเมืองนำการทหาร และแนวคิดอันหนึ่งที่กำลังพิจารณากันอยู่คือการให้มีหน่วยงานเฉพาะขึ้นมาดูแลภาคใต้เช่นเดียวกันกับที่อังกฤษมีกระทรวงไอร์แลนด์เหนือ และญี่ปุ่นมีกระทรวงโอกินาวา

อีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากคือการดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยเฉพาะการสานความสัมพันธ์กับรัฐบาลกัมพูชาหลังจากที่ขัดแย้งกันเรื่องเขาพระวิหารอันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวจุดประเด็นสำคัญโดยกลุ่มพันธมิตรฯ นายกษิตบอกว่า ตนเชื่อว่ายังมีรากฐานที่ดีหลงเหลืออยู่ให้สร้างใหม่ได้ และว่านักการเมืองของพรรคใกล้ชิดนักการเมืองกัมพูชา ความสัมพันธ์ที่ดีก็ยังมีให้เห็น เมื่อนายอภิสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้ง นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นรายแรกที่ส่งจม.มาแสดงความยินดี รวมทั้งสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านนับเป็นสัญญาณที่ดีที่จะสานต่อได้ นอกจากนี้ยังมีข้อตกลงเดิมหลายเรื่องที่จะเป็นฐานในการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลใหม่ไม่ทำธุรกิจก็จะสามารถรับมือปัญหานี้ได้อย่างตรงไปตรงมาโดยอาศัยความเป็นเพื่อนบ้านที่มีวัฒนธรรมเดียวกันและจะต้องใช้วิธีการเจรจา

ในขณะที่กับพม่านั้นไทยจะใช้วิธีการพูดจากับรัฐบาลทหารพม่าอย่างตรงไปตรงมาจะไม่มีการติดต่อแบบหลักฉากและจะไม่ทำร้ายชุมชนพม่าด้วยการทำโครงการที่ไม่ให้ประโยชน์ต่อชุมชนอย่างเช่นการสร้างเขื่อน และจะไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยทางด้านธุรกิจหรือการลงทุน

เมื่อมีผู้ถามถึงปัญหาความเข้าใจของต่างประเทศกับบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์

นายกษิตบอกว่าทางการจะต้องพยายามเผยแพร่ความเข้าใจและความรู้ในเรื่องสิ่งที่สมาชิกราชวงศ์กระทำเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงอุทิศเวลาทุกนาทีเพื่อช่วยเหลือราษฏร ทรงมีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้กระทรวงต่างประเทศจะต้องพยายามเผยแพร่ออกไปมากขึ้นไม่ใช่การไปท้วงติงทีละเรื่องทีละรายกับผู้เขียนบทความเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์แค่สองสามราย

ก่อนหน้านี้นิตยสารดิอีคอนิมิสต์ได้ตีพิมพ์บทความสองบทเรื่องการเมืองของไทยกับบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งแม้ไม่มีการสั่งห้ามอย่างเปิดเผยแต่ไม่ปรากฏว่ามีการวางจำหน่ายนิตยสารฉบับนี้ในเมืองไทย

กับคำถามที่ว่ารัฐบาลชุดนี้ตั้งเป้าจะอยู่นานแค่ไหนนั้น นายกษิตกล่าวว่าหากรัฐบาลแก้ปัญหาปากท้องไม่ได้ภายในเวลาไม่กี่เดือนก็คงออกจากตำแหน่ง


ดาวน์โหลดไฟล์เสียง นายกษิต ตอบคำถามผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท