ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 10 ธันวาคม 2551

 





การเมือง

ครม.ไฟเขียวฟ้องแพ่ง-อาญาแกนนำพันธมิตรฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่กระทรวงต่างประเทศ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)ก่อนมีมติให้ดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญากับแกนนำพธม. แต่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมหลักฐานและประสานกับพนักงานสอบสวนและอัยการสูงสุดให้ดีเพื่อป้องกันการโต้แย้งของพธม.ในอนาคต

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

"ป๋าเหนาะ"ลั่นเกมส์ตั้งรัฐบาลยังไม่จบ    ยันตัวเลข  "ปชป."ยังสับสน   มั่นใจ "เชษฐา-ประชา" ยังเคียงข้าง

นายเสนาะ  เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ให้สัมภาษณ์รายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" ทางช่อง3 โดยกล่าวถึงการเดินเกมส์ตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ขณะนี้เกมส์ยังไม่จบ เพราะยังมีความสับสนในเรื่องของตัวเลขอยู่ จากข่าวที่ออกมา  ถามว่าตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์ มั่นใจได้ยังไงว่าตัวเลขครบตามจำนวน เพราะ เอาแค่ตัวเลข ที่คนโน้นคนนี้หยิบให้  ซึ่งเราจะต้องไปดูกันในวันโหวต   ส่วนที่4พรรคร่วมรัฐบาลไปแถลงก็ยังไม่มีอะไร  ทั้งนี้ตนยังยืนยันว่าเพือให้เกิดความสมานฉันท์และประโยชน์ของประเทศ จะต้องตั้ง "รัฐบาลเพื่อชาติ"ให้ทุกพรรคมารวมกัน เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาตนรู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจะเอาอีกขั้วมาเป็นรัฐบาลก็จะเกิดปัญหา บ้านเมืองก็ย่อยยับ ที่ผ่านมาเราก็รู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไปอยู่ร่วมกับพันธมิตรฯ วันนี้ก็เกิดเหตุการณ์ไปล้อมบ้านส.ส.  มีการวางระเบิดบ้านส.ส. ตรงนี้เป็นแค่จุดสต๊าทเท่านั้น ตรงนี้จะทำอย่างไร จะทำใหเกิดไทยเหนือ ไทยใต้ หรืออย่างไร

 

เมื่อถามย้ำว่า สูตร "รัฐบาลเพื่อชาติ"จะเป็นไปได้หรือ เพราะนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ไปกันคนละทิศ นายเสนาะ กล่าวว่า  เพราะอะไรถึงจะเป็นไปไม่ได้  เพราะพรรคเพื่อไทยก็แถลงชัดเจนแล้วว่าเห็นด้วยแนวทางนี้แล้ว  ในเมื่อพรรคใหญ่สุดยอมแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะยังไงตนไม่ทราบ เพราะไม่ได้ประสาน ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่เมื่อวันที่4ธ.ค.ที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็เห็นด้วย แต่ผ่านไป2 วัน ไม่รู้อะไรเกิดขึ้นทำไมถึงเปลี่ยนแปลง ทำเพื่อใครหรือไม่

 

เมื่อถามว่าได้คุยกับพล.อ.เชษฐา และพล.ต.อ.ประชา หรือยัง  นายเสนาะ กล่าวว่า  ตนเพิ่งวางสายโทรศัพท์ จากพล.อ.เชษฐา ซึ่งยืนยันว่ายังอยู่กับตน ซึ่งพล.อ.เชษฐา บอกว่าวันนี้โกธรมาก เหมือนกับต้มกัน เอาไปนั่งหัวโด่  ทั้งๆ ที่ พล.อ.เชษฐา  เป็นผู้ใหญ่ แต่ลากไปแถลงข่าวร่วม ซึ่งพล.อ.เชษฐา ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับที่แถลง ส่วนพล.ต.อ.ประชา  ก็ยืนยันว่าจะอยู่ตรงนี้เพราะถ้ามีการเปลี่ยนแปลง พล.ต.อ.ประชา  คงกลับ จ.อุดรธานี ไม่ได้

 

เมื่อถามว่า นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ติดต่อมาหรือไม่ นายเสนาะ กล่าวว่า โทรมาทุกวัน  วันนี้ก็โทรมาชวน ก็บอกด้วยว่า นายอภิสิทธิ์ จะมาพบที่บ้านเมืองทองธานี แต่ตนบอกไปว่าไม่ต้องมา ตนไม่ได้รังเกียจนายอภิสิทธิ์ แต่ตนมีจุดยืนเพราะลั่นวาจาไปแล้ว      เมื่อถามย้ำว่า พรรคเพื่อไทย มอบให้เป็นผู้ประสานงานจัดตั้ง "รัฐบาลเพื่อชาติ" นายเสนาะ  กล่าวว่า ตนก็จะประสานเท่าที่ทำได้ หากทำไม่สำเร็จก็ช่วยไม่ได้  ทั้งนี้ตนประกาศไปแล้วว่าไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  คนทีเหมาะสมก็มีหลายคน  นายกฯไม่จำเป็นต้องเก่ง แต่ต้องใช้คนทำงานให้เป็น

ที่มา: http://www.naewna.com

ผบ.ทอ.หนุนปชป.ตั้งรัฐบาลยันกองทัพเป็นกลาง-ปัดแทรกแซง

พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ.ให้สัมภาษณ์ถึง สถานการณ์การเมืองว่า จากสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งที่รุนแรงคิดว่าขณะนี้น่าจะดีขึ้น แต่ในเมื่อยังไม่มีการเลือกนายกรัฐมนตรีได้อย่างชัดเจนว่าจะมาจากฝั่งไหนก็อาจมปัญหาบ้างอย่างไรก็ตามพรรคการเมืองควรจะคำนึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์จะเห็นว่าแต่ละฝ่ายพยามที่จะดึง ส.ส.ให้ไปอยู่ในฟาก ของตัวเองให้มากที่สุด

 

ผมพูดในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่งว่าจุดที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือเรามีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หลังจากที่มีรัฐธรรมนูญใหม่ มีรัฐบาลและมีนายกรัฐมนตรี แล้วถึง 2 คน แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการบริหารที่ผ่านมายังมีอุปสรรคค่อนข้างมากยังไม่สามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งผมก็หวังว่าหากมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และพรรคการเมืองมีจุดยืนเพื่อประเทศชาติจริงๆ ก็น่าจะนำพาประเทศชาติได้อย่างราบรื่น

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากจะมีการสลับขั้วเพื่อให้ประเทศชาติสามารถเดินไปได้น่าจะเป็นทางออกที่ดีใช่หรือไม่ พล.อ.อ.อิทธพร กล่าวว่า น่าจะเปิดโอกาสให้พรรคการเมือง อีกฟากหนึ่งมาลองบริหารประเทศดู ซึ่งจากการดำเนินการที่ผ่านมามันมีอุปสรรค ค่อนข้างมาก ทั้งอำนาจฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติในรอบปีที่ผ่านมามีการปิดประชุมสามัญ ซึ่งในอดีตจะมีการสรุปผลงาน แต่ครั้งล่าสุดไม่มีการแถลงผลงานเลย จะเห็นได้ว่า ผลงานของนักการเมืองค่อนข้างจะน้อยมาก อยากจะให้การเมืองของไทยสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารประเทศ

 

ส่วนหากผู้นำรัฐบาลคือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กองทัพจะรับได้หรือไม่นั้น พล.อ.อ.อิทธพร กล่าวว่า ในส่วนของกองทัพเราก็คงจะไม่เข้าไปแทรกแซง ใครก็แล้วแต่ที่เข้ามา และตั้งใจที่จะบริหารประเทศ โดยที่ไม่ยึดประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือของพรรค คิดว่าประชาชนส่วนใหญ่คงน่าจะให้การสนับสนุน

 

ส่วนผู้นำควรยึดหลักอะไรในการบริหารประเทศที่อยู่ในช่วงความชัดแย้งนั้น พล.อ.อ.อิทธพร กล่าวว่า ที่ผ่านมามีข้อขัดแย้ง โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเราจะต้องรีบดำเนินการ เพราะว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 หลังจากที่ใช้มาแล้ว ซึ่งมีมาตราต่างๆ ที่นักการเมืองพยายามที่จะนำมาเป็นประเด็น ซึ่งอยากให้นักการเมืองรีบดำเนินการตามบทเฉพาะกาลว่าปกติจะต้องมีการออกกฎหมายลูกให้ทันภายใน 1 ปี ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน ภายในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2552 ก็จะครบ 1 ปี แต่ตอนนี้กฎหมายลูกยังไม่สามารถที่จะนำออกมาใช้ได้

 

ผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แสดงท่าทีว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาลก็จะไม่ยอมรับ กังวลหรือไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนที่ผ่านมาที่คนไทยฆ่ากันเอง พล.อ.อ.อิทธพร กล่าวว่า คนไทยทุกคนน่าจะนำบทเรียนที่เกิดขึ้นในอดีตว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ไม่ยอมรับกฎหมาย กฎกติกา ทำให้ประเทศชาติเสียหายน่าจะเปิดโอกาสให้พรรคการเมือง เข้ามาบริหารตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถ้าหากเขาดำเนินการหรือบริหารไม่ได้ก็จะต้องปล่อยให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยน่าจะดีกว่ามาใช้กฎหมู่ เมื่อถามว่า แสดงว่าพรรคเพื่อไทยควรเปิดโอกาสให้พรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลใช่หรือไม่ พล.อ.อ.อิทธพร กล่าวว่า ความเห็นของตนน่าจะให้ประเทศชาติเดินไปได้

 

ส่วนที่มีการมองกันว่าการจัดขั้วรัฐบาลครั้งนี้ มีกองทัพเข้าไปแทรกแซง จนถูกมองว่าเป็นการปฏิวัติซ่อนรูปนั้น พล.อ.อ.อิทธพร กล่าวว่า คนไทยทุกคนไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรต้องมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย คำว่าทหารแทรกแซง ในส่วนตัวยังไม่มีใครมาถามตน ซึ่งตนก็จะแสดงความคิดเห็นในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่ง แต่คงจะไม่ไปบีบบังคับว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ในส่วนของทหาร ก็คงจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากกลุ่ม นปช.ดำเนินการเคลื่อนไหวเหมือนกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกองทัพมีการเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร พล.อ.อ. อิทธพร กล่าวว่า กองทัพก็จะต้องปฏิบัติเหมือนกับที่ผ่านมา เราไม่อยากให้มีการปะทะกัน และคงไม่อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเราจะปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่เลือกข้าง ซึ่งทหารจะปฏิบัตินอกเหนือจากอำนาจหน้าที่คงไม่ได้ จะมี พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง กฎอัยการศึก เพราะฉะนั้นการที่ทหารจะออกมาก็คงจะอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกฎหมาย

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าช่วงนี้ ผบ.เหล่าทัพ ได้มีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง อย่างไรบ้าง พล.อ.อ.อิทธพร กล่าวว่า เราก็พูดคุยกันตลอด แต่ไม่มีอะไรที่บ่งบอก เป็นที่ชัดเจน แต่จะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์

 

ผมอยากฝากให้นักการเมือง นึกถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก อย่าต่อรองกันจนจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้ามีคนเสนอให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นนายกรัฐมนตรี ถือว่าเหมาะสมหรือไม่ พล.อ.อ.อิทธพร กล่าวว่า คิดว่าคงอยากเป็นทหารมากกว่า ไม่อยากยุ่งการเมือง

 

ด้านพล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร.กล่าวว่าพรรคใดก็ได้ที่จะนำพาประเทศชาติ เดินหน้าต่อไปได้ โดยให้มีความขัดแย้งน้อยที่สุด และเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศ ใครจะจับขั้วใคร ไม่ทราบ แต่ขอให้ได้รัฐบาลที่เข้ามาแล้วไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ส่วนกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงอาจไม่ยอมรับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นั้น ระบบเป็นอย่างไร ต้องเป็นเช่นนั้น คิดว่าคงไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้

 

ส่วนแนวคิดรัฐบาลเพื่อชาตินั้น พล.ร.อ.กำธร กล่าวว่าอะไรก็ได้ที่จะนำพาประเทศชาติให้พ้นวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ ให้พี่น้องประชาชน โดยทุกฝ่ายต้องร่วมมือ ร่วมใจกันเพื่อประเทศชาติ ทั้งนี้ มาตรา 74 ระบุว่า ข้าราชการต้องมีความเป็นกลาง ทางการเมือง ขอพูดเป็นกลางที่คิดว่าเป็นทางออกที่ดีว่า ใครก็ได้ที่เข้ามาทำให้ประเทศชาติดีขึ้น ตนรับได้ทั้งนั้น ไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือทะเลาะ ตีกัน สิ่งที่ดีที่สุดคือ ร่วมมือกันทำงานได้ ผมพอใจแล้ว

 

ที่มา: ASTV ผู้จัดการรายวัน

 

"อมร"แนะแนวทางการเมืองใหม่ต้องแก้รธน.ปลดเผด็จการพรรค

นายอมร จันทรสมบูรณ์ กรรมการกฤษฎีกา และนักกฎหมายมหาชน กล่าวตอนหนึ่งระหว่างงานเสวนา เรื่อง รัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับประเทศไทย ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร วานนี้ (9 ธ.ค.) ว่าใครก็ตามที่จะเข้ามาแก้ไขจะต้องทราบ 3 ขั้นตอนของปัญหาคือต้องรู้สาเหตุของปัญหา ต้องรู้จุดหมายของการแก้ปัญหาและต้องรู้วิธีการที่จะไปสู่จุดหมาย

 

ทั้งนี้ สาเหตุของปัญหาการเมืองไทยคือ การทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬารของนักการเมืองซึ่งเกิดจากการผูกขาดอำนาจรัฐโดยนักการเมืองนายทุนในระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง นายทุนธุรกิจในระบบรัฐสภาประเทศเดียวในโลก และเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535

 

ขณะที่รัฐธรรมนูญที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ความจริงแล้วส.ส.ไม่มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ได้ตามมโนธรรมของตนเอง ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย แต่กลับบัญญัติให้พรรคการเมืองมีอำนาจให้ส.ส.พ้นจากการเป็นส.ส. หากไม่ปฏิบัติตามมติพรรค

 

ส่วนจุดหมายของการแก้ปัญหาบ้านเมือง หรือการมีการเมืองใหม่ คือการสร้างระบบสถาบันการเมืองรูปแบบใหม่ที่ให้ฝ่ายบริหารมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพโดยไม่บังคับว่าส.ส.ต้องสังกัดพรรค และสำหรับวิธีการที่จะไปสู่จุดหมายได้คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมืองหรือสร้างการเมืองใหม่ ที่จะต้องนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความเสื่อมทางการเมืองและการทุจริตคอรัปชั่นของนักการเมืองที่มาจาก การเลือกตั้ง ซึ่งจะทำได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการจัดรูปแบบและการกำหนดกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญขององค์กรยกร่างรัฐธรรมนูญที่จะต้องดีและเหมาะสม เพราะหากไม่ดีและไม่เหมาะสม ผลงาน ขององค์กรดังกล่าวก็จะไม่ดีเป็นเงาตามตัว

 

นายอมร กล่าวว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีรัฐบาลแห่งชาตินั้น ในขั้นแรกจะต้องให้ สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกในปัจจุบันไว้ แต่ต้องยกเลิกอำนาจของ พรรคการเมืองในการมีมติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.พ้นออกจากตำแหน่ง และให้นายกรัฐมนตรีมาจากบุคคลภายนอกได้ แต่บุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นกลาง ทางสังคม ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีก็จะมีอำนาจแต่งตั้งรัฐมนตรีจากบุคคล ที่พรรคการเมืองต่างๆ เสนอขึ้นมาเพื่อจัดตั้งเป็นรัฐบาลแห่งชาติต่อไป

 

นอกจากนี้ควรเพิ่มมาตรการให้ ส.ส.ลงมติไม่ไว้วางใจในตัวนายกรัฐมนตรีได้ ส่วนยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องยกเลิกระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง เสียก่อน และสร้างระบบสถาบันการเมืองที่รัฐบาลมีเสถียรภาพอย่างแท้จริงพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีต ผบ.สูงสุด ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมเสวนาเรื่อง รัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับประเทศไทยว่า การบรรยายนำโดย ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ที่เป็นนักกฎหมายมหาชนที่หลายคนยอมรับ โดยท่าน มองว่า รัฐธรรมนูญข้อหลักที่น่าจะแก้อย่างเร่งด่วน มี 3 มาตรา คือ 1.มาตราให้ส.ส.สังกัดพรรคการเมือง 2.มาตราให้ส.ส.อยู่ในความควบคุมของพรรค 3.นายกรัฐมนตรีต้องมาจากส.ส. เพราะมาตราเหล่านี้เป็นข้อกำหนดว่าใครจะเป็นผู้มีอำนาจ เพราะจะให้อำนาจเผด็จการกับบ้างกลุ่มไม่ได้ และข้อสำคัญคือ ไม่มีประเทศไหนในโลก ที่ไม่มีข้อนี้เลยแม้แต่ข้อเดียว ซึ่งทั้ง 3 มาตราทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขณะนี้เพราะ ใครๆ พยายามแย่งกัน เพื่อให้ได้อำนาจเผด็จการรัฐสภา ส่วนรัฐบาลแห่งชาติ ไม่ได้มีการพูดถึง แต่รัฐบาลแห่งชาติเป็นแนวทางที่ดีและหลายคนเห็นด้วย แต่เป็นไปได้ยาก

 

หากข้อหลักของกติกาบ้านเมือง หรือระบบของบ้านเมืองอยู่ในหลักที่เหมาะสม ถึงแม้จะมีผลเสียเกิดขึ้น แต่ก็น้อย เราเดินซ้ำแล้วซ้ำอีก และยอมที่จะเดินในวงจรอุบาทว์เก่าๆ และไม่เคยคิดว่าเกิดเพราะอะไร คลำกันอยู่ แต่ไม่ถูกจุด ซึ่งเชื่อว่ารัฐธรรมนูญมีผลในเรื่องหลักๆ และเกิดจากคนด้วย ถ้าคนดีมากๆ ระบบไม่ดีเท่าไร ไปได้สบาย แต่ถ้าคนเลวมากๆ จะทำระบบให้ดีคงยาก หากคนกลางๆ ระบบจะช่วยได้มาก เพราะระบบเลวก็แย่ ทั้งนี้การสร้างระบบใช้เงินน้อยมาก รัฐธรรมนูญ ทำให้ดีแล้วประโยชน์จะสู่บ้านเมืองเรา เราแก้เรื่องอื่นแทบแย่ แต่ถ้ารัฐธรรมนูญไม่เอื้อจะแก้ได้ยาก

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่า รัฐธรรมนูญ 50 ในยุค คมช. เกิดความผิดพลาด พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ไม่ได้เกิดเฉพาะ คมช. แต่เกิดมาตั้งแต่ปี 2517 และค่อยๆ กลืนเข้าไปเรื่อยๆ จนขณะนี้สมบูรณ์แบบ คือ เผด็จการโดยพรรคเมืองที่ได้อำนาจ

 

ส่วนที่ฝ่ายการเมืองวิ่นฝุ่นตลบเพื่อจับขั้วตั้งรัฐบาลนั้น พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ไม่มีความเห็น แต่เรื่องฝุ่นตลบในเมืองไทย ตนเห็นมาหลายตลบ นึกว่า ฝุ่นตลบเสร็จจะมีม้าขาวออกมาหลัง ฝุ่น แต่อาจจะเป็นสีอื่นก็ได้ ขณะนี้สิ่งที่ดีที่สุด คือ ขอให้ทุกคน นึกถึงความเสียสละเพื่อบ้านเมือง หากคนเสียสละไม่พอ ฝุ่นตลบคงไม่พอ

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าเห็นด้วยหรือไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ขอไม่แสดงความคิดเห็น แต่ขอให้ได้คนที่ดีที่สุด และทีมที่ดีสุดช่วยกันเสียสละเพื่อบ้านเมือง เมื่อถามถึงกรณีที่ทหารพยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า พูดไปคงไม่เหมาะ แต่ในตอนที่ตนดำรงตำแหน่งคิดว่า การวางตัวเป็นกลางสำคัญที่สุด เมื่อเกษียณออกมาแล้ว คงพูดในรายละเอียดไม่ได้ ส่วนจะฝากอะไรถึงพล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.หรือไม่นั้นพล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ไม่มีอะไรเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว

 

ต้องไปถามท่านโดยตรง ต้องคุยกับท่านเพราะความชัดเจนอยู่ที่ท่าน ท่านอาจจะมีอะไรชี้แจง และไม่ได้เป็นอย่างที่คนหลายคนคิดก็เป็นได้ หรือเราอาจจะเข้าใจผิด แต่สมัยที่ผมเป็นผบ.สูงสุด พยายามทำให้ทุกอย่างเป็นกลางอย่างเต็มที่ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งปกติถ้ากองทัพไม่เป็นกลางก็ยุ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวผบ.เหล่าทัพพอสมควร ดังนั้นทุกคนควรจะยืนให้ดี ยืนเพื่อสร้างสรรค์ แต่ถ้าจะยืนเอียงสักหน่อย ต้องชี้แจงให้โปร่งใส เพื่อให้คนเข้าใจว่ามีความจำเป็นอย่างไร ซึ่งผมเชื่อว่า หากมีเหตุผล ทุกคนเขาจะฟัง แต่โดยทั่วไป ดีที่สุดคือยืนให้ดีในที่ที่ควรจะยืน ไม่ยากเย็นอะไร

 

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะแก้วิกฤติชาติควรมีลักษณะอย่างไร พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ควรเป็นคนที่ดี เสียสละ เข้มแข็ง เมื่อถามว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เหมาะสมหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ท่าทาง คุณสมบัติ ท่านไม่เลว ทั้งนี้ในที่สุดเมื่อฝุ่นตลบหายไปแล้วออกมาเป็นใครต้องช่วยกัน ไม่เช่นนั้นจะแย่ไปใหญ่ ส่วนจะมีกลุ่มเสื้อแดงออกมาสร้างความวุ่นวายหรือไม่ ตนเดาไม่ออก เพราะเกี่ยวกับความคิดเห็นของคนหลายฝ่าย

 

ที่มา: ASTV ผู้จัดการรายวัน

 





เศรษฐกิจ

ก.แรงงานเตรียม1.1แสนตำแหน่งรับตกงานปี 52

ก.แรงงาน เตรียมตำแหน่ง 1.1 แสนตำแหน่งรับคนตกงานปี 52 ดีเดย์เดินสายพานายจ้างพบคนว่างงานทั่วประเทศ ตั้งเป้าช่วยคนงานได้กว่า 1 แสนคน ลั่น สปส.จ่ายเงินให้คนตกงานได้มากกว่า 1 ล้านคน

 

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม นายพรชัย อยู่ประยงค์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่าในต้นปี 2552 จะมีคนตกงานสูงกว่า 9 แสนคน ว่า เป็นตัวเลขที่คาดการณ์ ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่กระทรวงแรงงานคาดคะเนเอาไว้เพื่อดำเนินการช่วยเหลือเช่นกัน ขณะนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้แก่ 5 หน่วยงานหลักทั่วประเทศ จัดศูนย์บริการเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร เช่น การให้สิทธิประโยชน์กรณีถูกเลิกจ้าง การให้สิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน การจัดหาตำแหน่งงานว่างรองรับ และพัฒนาฝีมือแรงงานสำหรับคนตกงานที่ต้องการประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งหากนายจ้างไม่จ่าย กระทรวงแรงงานจะนำเงินในกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างที่มีอยู่กว่า 300 ล้านบาท เข้าให้การช่วยเหลือ ทั้งนี้กรมการจัดหางานกำลังเจรจากับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้คนตกงานเพื่อนำไปประกอบอาชีพ

 

 "ส่วนประกันสังคม ขณะนี้ได้เพิ่มการจ่ายเงินกรณีว่างงานจาก 6 เดือน เป็น 8 เดือน และกำลังดำเนินการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของลูกจ้างในยามนี้ โดยจะนำเงินจำนวนกว่า 1 หมื่นล้านบาท ไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ปล่อยกู้ดอกเบี้ยวต่ำ คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนกว่า 9 ล้านคน มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการใช้จ่ายและการลงทุน ประกอบอาชีพ และไม่ต้องกลัวว่าเงินดังกล่าวนี้จะสูญหายเป็นหนี้เสีย เพราะระบบธนาคารจะติดตามทวงได้หมด ส่วนที่หลายคนกังวลว่าในปี 2552 นั้น จะมีคนตกงานจำนวนมากทำให้กองทุนว่างงานจะไม่มีเงินจ่าย อันนี้ไม่ต้องกังวลเพราะจากการรายงานของเลขาธิการ สปส.นั้นบอกว่าสำหรับกองทุนว่างานที่มีอยู่ในขณะนี้สามารถรับรองคนตกงานได้มากถึง 1 ล้านคน" นายพรชัยกล่าว

 

นายพรชัยกล่าวอีกว่า มาตรการที่กระทรวงแรงงานเร่งช่วยเหลือคนตกงานในปี 2552 อย่างเป็นรูปธรรม คือ ได้เตรียมตำแหน่งงานไว้กว่า 118,304 อัตรา ตำแหน่งพนักงานใช้กำลัง เช่น ทำความสะอาด ขนของ บรรจุหีบห่อ พนักงานขาย พนักงานปฏิบัติงานในโรงงาน เป็นต้น โดยจะเริ่มนัดนายจ้างลูกจ้างที่สนใจทำงาน คนตกงาน นักศึกษาที่จบใหม่ เข้ามาเจอกัน พร้อมพูดคุยบรรจุงานทำในโครงการนัดพบแรงงานและมหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพ ทุกวันเสาร์ที่กระทรวงแรงงานและสำนักงานจัดหางานทุกพื้นที่ โดยจะเริ่มในเดือนมกราคม 2552 และจะจัดกิจกรรมครั้งใหญ่ทั่วประเทศภายในเดือนมีนาคม โดยประสานกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าฯ รวบรวมตำแหน่งงานและเชิญนายจ้างทั่วประเทศให้มารับสมัครงาน ทั้งใน กทม.และสำนักงานแรงงานประจำแต่ละจังหวัด คิดว่าจะสามารถช่วยเหลือคนตกงานได้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน

 

นายพรชัยยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือพนักงานโตโยต้าที่ถูกเลิกจ้างว่า ได้รับรายงานจากสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการว่า มีตัวเลขการเลิกจ้างโดยการสมัครใจแค่เพียง 350 คนเท่านั้น ส่วนอีก 1,000 คน เป็นการหารือถึงแผนงานในอนาคต แต่ยังไม่ได้ทำการเลิกจ้าง อย่างไรก็ตามทราบว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ทั้ง 4 หน่วย ได้เข้าช่วยเหลือ พร้อมให้คำแนะนำถึงสวัสดิการเงินค่าชดเชยที่จะได้รับตามกฎหมายหากมีการเลิกจ้าง

ที่มา: http://www.komchadluek.com

 


พนักงาน800คนฮือประท้วงปิดหน้าบริษัทกรุงเก่า

พนักงาน 800 คน ฮือประท้วงปิดหน้าบริษัทเอ็มแอนด์เจเทคโนโลยี ผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หลังถูกปลดกระทันหัน

 

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 9 ธ.ค. ร.ต.อ.ระเด่น เนียมโภคะ รองสวป.สภ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งจากสายตรวจว่า มีการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพนักงานที่หน้าโรงงานบริษัทเอ็มแอนด์เจเทคโนโลยี จำกัด ตั้งในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เลขที่ 40/36 ม.5 ต.คานหาม อ.อุทัย หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.อนุสรณ์ วะยาคำ ผกก.สภ.อุทัย พร้อมกำลังตำรวจ 10 นายไปดูแลความเรียบร้อย

 

พบว่าโรงงานดังกล่าวผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ส่งให้กับบริษัทแม่ที่อยู่ในนิคมเดียวกัน ซึ่งบริษัทแม่ขณะนี้ได้มีการกำนดการทำงานไม่เกิน 15.00 น. และมีการลดพนักงาน ลดโอที และไม่มีโบนัส โดยที่หน้าโรงงานเอ็มแอนด์เจ มีพนักงานชายหญิงของโรงงานจำนวนกว่า 800 คนนั่งชุมนุมกันอยู่ โดยมีการผลัดกันกล่าวโจมตีบริษัทที่มีการประกาศเลิกจ้างให้พนักงานหยุดการทำงานโดยไม่บอกเลิกจ้างล่วงหน้า ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมต่อพนักงาน

 

นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย ได้เดินทางมาให้ความช่วยเหลือพนักงาน เปิดเผยว่า ตนได้เดินทางมาเจรจาปัญหาแรงงานที่บริษัทฮิตาชิในนิคมอุตสาหกรรม และทราบว่า ที่บริษัทเอ็มแอนด์เจ มีการบอกเลิกจ้างพนักงานอย่างกระทันหัน ที่ส่วนใหญ่เป็นพนักงานที่มาจากซับคอนแทคทั้งสิ้น

 

โดยทางบริษัทแจ้งว่าจะรับผิดชอบจ่ายเงินโอนผ่านธนาคารให้กับพนักงานคนละ 15 วัน ภายในวันที่ 17 ธ.ค. ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นธรรมในเรื่องการไม่บอกล่วงหน้าแล้ว ยังไม่ถูกต้องในการจ่ายเงินด้วย ในฐานะที่สหภาพแรงงานของบริษัทนี้เป็นสมาชิกก็จะเข้ามาดูแล และประสานกับทางสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้ทางบริษัทดำเนินการช่วยเหลิอพนักงานตามกฎหมายแรงงานในเรื่องการบอกเลิกจ้างล่วงหน้า

 

นางวรภรณ์ เพียรจิตเลิศขจร นักวิชาการแรงงาน สำนักงานสวัสดิการสังคมและคุ้มครองแรงงานจังหวัดฯ ได้เดินทางมาร่วมเจรจา โดยทางบริษัทรับที่จะไปหารือกับทางบริษัทแม่ในการช่วยเหลือ เนื่องจากขณะนี้ทางบริษัทซับคอนแทคยังไม่แสดงความรับผิดชอบและช่วยเหลือแต่อย่างใด คาดว่าจะมีการเจรจาอีกครั้งในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ เพื่อให้พนักงานได้รับความเป็นธรรมต่อไป

ที่มา: http://www.komchadluek.com


 





สังคม

ก.พ.กำหนด 11 ธ.ค. 51 ยกเลิก "ซี" จัดแบ่ง 4 ประเภทตำแหน่ง

นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการ สำนักงานข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) กล่าวว่า ในวันที่ 15 กันยายน 2551 สำนักงาน ก.พ.ได้แจ้งเวียนหนังสือเวียนที่ นร 1006/ว 6 เรื่องแนวทางการปฏิบัติการกำหนดอัตรากำลังและแต่งตั้งข้าราชการในระหว่างปรับใช้ พ.ร.บ.ใหม่เพื่อให้ข้าราชการคงกรอบอัตรากำลังเดิมและชะลอการบรรจุแต่งตั้ง  เมื่อตำแหน่งหยุดการเคลื่อนไหวในช่วงระยะเวลาหนึ่งจะสามารถจัดตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญเข้าประเภทตำแหน่ง สายงาน และระดับตำแหน่ง ตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่งใหม่ ให้เสร็จในวันที่ 11 ธ.ค. 51เพื่อให้การบังคับใช้ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551  โดยแบ่งข้าราชการพลเรือนสามัญออกเป็น  4 ประเภท คือ บริหาร อำนวยการ วิชาการ และทั่วไป ซึ่งขั้นตอนภายหลังจากนี้จะต้องดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการพลเรืองให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน

 

"วันที่ 11 ธันวาคม 2551 ทางก.พ.จะประกาศบัญชีจัดตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญตามกฏหมายใหม่ เพื่อส่งให้หน่วยราชการ หรือเป็นวันที่จะประกาศว่าข้าราชการพลเรือนสามัญที่เดิมเคยอยู่ในตำแหน่ง ซี 1 ซี 2 ไปจนถึง ซี 11 จะไปอยู่ไปตำแหน่งใด ประเถทใด แต่ต้องแบ่งข้าราชการเป็น 4 ประเภท จะทำให้การปรับเปลี่ยนบัญชีเงินเดือนทำได้สะดวกมากขึ้น และค่าตอบแทนตามบัญชีจะใกล้เคียงราคาตลาดที่ปัจจุบันมีการแข่งขันกันมากขึ้น  "นายปรีชา กล่าว

 

ที่มา: http://www.naewna.com

 

กรมศิลป์เข้มติดกล้องอุทยานฯทั่วปท. หวั่นนทท.ทำอนาจาร

เหตุพฤติกรรมนักท่องเที่ยวทำอนาจาร สยามรัฐ - ศิลปวัฒนธรรม 9 ธ.ค. นายเขมชาติ เทพไชย รองอธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยมาตรการป้องกันโบราณสถานที่นักท่องเที่ยวเข้าไปทำอนาจาร ว่า ได้แจ้งไปยังผู้อำนวยการอุทยานประวัติศาสตร์แต่ละแห่งแล้ว ให้เพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย เพิ่มติดตั้งกล้องวงจรปิดในจุดที่ลับตาให้ทั่วพื้นที่ ติดป้ายเตือนนักท่องเที่ยวทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เพื่อเตือนนักท่องเที่ยวให้เคารพสถานที่ และประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ให้คอยตรวจตราบุคคลที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในโบราณสถาน หากพบเห็นนักท่องเที่ยวกระทำสิ่งที่ไม่สมควรก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวที่กระทำอนาจารมีจำนวนน้อย และคิดว่านักท่องเที่ยวทุกคนมีจิตสำนึกและเคารพในสถานที่อยู่แล้ว สำหรับมาตรการดังกล่าวต้องการเข้มงวดมากขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการเสื่อมเสียทางวัฒนธรรม

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

 

ครม.เห็นชอบหยุดปีใหม่เพิ่มศุกร์ที่2มกราฯ

นส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษก แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบ ให้เพิ่มวันหยุดราชการในช่วงเทศกาลปีใหม่เพิ่มอีก 1 วัน เนื่องด้วยวันหยุดเทศกาลปีใหม่ปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 31 ธันวาคม 2551 และวันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2552 โดยในวันศุกร์ ที่ 2 มกราคม 2552เป็นวันปฏิบัติราชาการตามปกติ

 

ดังนั้นทางสำนักงานปลัดสำนักนากยกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้วันหยุดเทศกาลปีใหม่นี้เป็นวันหยุดที่ติดต่อกัน เพื่อให้ประชาชนและข้าราชการ ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาไปเยี่ยมครอบครัว เพื่อสร้างความอบอุ่นในครอบครัวยิ่งขึ้น อีกทั้งยังต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยว อันจะกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้ฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมได้โดยเร็ว จึงเห็นสมควรให้วันที่ 2 ธันวาคม 51 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มอีก 1 วัน

 

ที่มา: ASTV ผู้จัดการรายวัน

 

กทช.เดินหน้ากำหนดพื้นที่อันตรายในการใช้มือถือ

กทช.เตรียมออกร่างกำหนดพื้นที่อันตรายกับการใช้โทรศัพท์มือถือ ระบุ หลังรับฟังความคิดเห็นผู้เกี่ยวข้องยังต้องสร้างความชัดเจนในตัวร่างประกาศเพิ่มเติม

 

นายประเสริฐ อภิปุญญา รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. เปิดเผยว่า จากการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับร่างประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง "หลักเกณฑ์และวิธีการงดหรือระงับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน หรือมีความจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนความมั่นคงของประเทศ หรือเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หรือเพื่อป้องกันประโยชน์สาธารณะ" โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันปัญหาเหตุฉุกเฉินหรือเหตุการณ์จุดฉนวนระเบิดโดยผ่านอุปกรณ์สื่อสารที่อาจส่งผลกระทบหรือความเสียหายให้กับประเทศได้  เพราะที่ผ่านมามีผู้ไม่หวังดีนำอุปกรณ์สื่อสารมาใช้ในการจุดฉนวนระเบิด กทช.จึงต้องการให้มีร่างดังกล่าว เพื่อป้องกันบุคคลและสถานที่นั้นๆ ไม่ให้เกิดเหตุร้ายได้จากการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ พบว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือผู้ประกอบการที่เข้ารับฟังความคิดเห็นต่างเป็นห่วงและให้เหตุผลประกอบในร่างนี้ว่า ร่างดังกล่าวยังมีหลายจุดที่ยังไม่ครอบคลุมสถานที่เกิดเหตุ หรือความชัดเจนในตัวผู้รับผิดชอบ และผู้รับคำสั่งที่มีหน้าที่ระงับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากปัจจุบันอุปกรณ์ในการสื่อสารมีมากขึ้น อีกทั้งในการสั่งบล๊อกพื้นที่อันตรายควรมีการกำหนดรายละเอียดของพื้นที่และต้องมีการประเมินด้านความเสียหายด้วย เพราะบริเวณใกล้เคียงอาจได้รับผลกระทบ

ที่มา: เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 10 ธ.ค. 2551

 





ต่างประเทศ

ปากีฯบุกรวบ 15 ผู้ต้องสงสัยเอี่ยวถล่มมุมไบ

ทางการปากีสถานจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 15 คน ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีนครมุมไบของอินเดีย ขณะที่ รมว.ต่างประเทศสหรัฐระบุ อาจมีคนนอกใช้ปากีสถานเป็นฐานโจมตีเพื่อนบ้าน

 

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของปากีสถาน เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า กองกำลังทหารปากีสถานได้บุกยึดค่ายแห่งหนึ่งของกลุ่มหัวรุนแรงที่ถูกระบุว่า เป็นพวกที่โจมตีนครมุมไบของอินเดีย พร้อมจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 15 คน ซึ่งการเข้ากวาดล้างครั้งนี้ นับเป็นปฏิบัติการแรกของรัฐบาลปากีสถาน เพื่อตอบโต้กลุ่มก่อการร้ายที่โจมตีนครมุมไบ จนก่อให้เกิดความตึงเครียดอย่างรุนแรงระหว่างอินเดียกับปากีสถาน สองมหาอำนาจนิวเคลียร์แห่งเอเชียใต้

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่กำลังทหารจะเข้ายึดค่ายดังกล่าว มีการยิงปะทะกับกลุ่มคนในค่าย ช่วงระหว่างการจู่โจมเมื่อวันอาทิตย์ ทำให้มีคนเจ็บหลายราย สำหรับผู้ถูกจับกุมกำลังถูกเจ้าหน้าที่สอบสวนว่า เกี่ยวข้องในเหตุการณ์โจมตีนครมุมไบหรือไม่ ส่วนค่ายแห่งนี้อยู่ใกล้กับเมืองมูซาฟฟาราบัด ในแคว้นแคชเมียร์ที่เป็นของปากีสถาน และเคยถูกกลุ่มติดอาวุธ ลัชการ์-อี-ทาอิบา ใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนนักรบเพื่อเอาไว้ต่อสู้กับอินเดีย

 

เมื่อเช้าตรู่วันจันทร์ เกิดเหตุเผารถบรรทุกทหารขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในเมืองเปชาวาร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน โดยสมาชิกกลุ่มตาลีบันราว 200 คน ได้บุกโจมตีหน่วยยานยนต์ของนาโต พร้อมกับจุดไฟเผารถบรรทุกของทหารอีก 50 คัน นับเป็นครั้งที่สองที่กลุ่มตาลีบันเข้าโจมตี หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ ได้บุกเผาไปกว่า 100 คัน

 

หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายต่อต้านก่อการร้ายของสหรัฐ กำลังทำการประเมิน และต้องสงสัย กลุ่มลัชการ์-อี-ทาอิบา อยู่เบื้องหลังการโจมตีนครมุมไบ จนคร่าชีวิตผู้คน 172 ศพ รวมทั้งมือปืน 9 ศพ แต่ไม่พบหลักฐานว่า หน่วยข่าวกรองปากีสถานเกี่ยวโยงกับเรื่องนี้

 

ขณะที่ ดร.คอนโดลีซซา ไรซ์ รมว. ต่างประเทศสหรัฐแถลงที่กรุงวอชิงตันว่า ปากีสถาน ต้องเร่งดำเนินการช่วยเหลืออินเดีย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโจมตีขึ้นมาอีก ท่ามกลางหลักฐานที่ว่า อาจมีกลุ่มคนภายนอกปากีสถานใช้ดินแดนปากีสถานโจมตีอินเดีย

 

ที่มา: เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 10 ธ.ค. 2551

 

จักรพรรดิญี่ปุ่นทรงประชวร

โตเกียว  -  สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงานว่า จักรพรรดิอากิฮิโตของญี่ปุ่น มีพระอาการประชวร   หลังพระโลหิตออกบริเวณช่องพระอุทร   และการเต้นของพระหทัยไม่ปกติ  อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีแถลงการณ์จากสำนักพระราชวังของญี่ปุ่นถึงพระอาการประชวรดังกล่าว แต่ประการใด รายงานข่าวแจ้งว่า จักรพรรดิอากิฮิโต เคยรับการถวายการรักษาด้วยการผ่าตัดจากพระอาการประชวรโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก  เมื่อเดือน     ม.ค. ปี 2546 มาครั้งหนึ่งแล้ว

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท