Skip to main content
sharethis

รายงานโดย เบน ไฮร์เชลอร์ ผู้สื่อข่าวธุรกิจเภสัชภัณฑ์ในยุโรป


แปลและเรียบเรียงโดย - องค์การหมอไร้พรมแดน (MSF)


 


(ลอนดอน/รอยเตอร์) -นีลลี โครส์ กรรมธิการการแข่งขันของยุโรป วิพากษ์การทำธุรกิจของบริษัทยายักษ์ใหญ่ทั่วโลก ถือเป็นสัญญาณเปิดสงครามกับภาคธุรกิจยาหลังจากที่กล่าวหาบริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำของโลกว่าปิดกั้นการแข่งขันของยาชื่อสามัญที่มีราคาถูกกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต่อต้านการผูกขาดจะเริ่มสืบสวนเพื่อดำเนินคดีกับบริษัทยาเป็นรายบริษัท ซึ่งคาดว่าจะต้องมีการจ่ายค่าปรับกันเป็นจำนวนมหาศาล


 


เจ้าหน้าที่ยุโรปคำนวณว่าประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรปต้องสูญเสียงบฯ ไปกว่า 3 พันล้านยูโร หรือ 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงปี ค.ศ. 2000 -2007 โดยไม่จำเป็น เพราะยาชื่อสามัญไม่สามารถนำเข้าสู่ตลาดได้เนื่องจากถูกประวิงเวลา ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทยาได้นำกลยุทธ์ในเรื่องสิทธิบัตรและการดำเนินคดีมาใช้เพื่อถ่วงเวลา


 


จากจำนวนเงินดังกล่าวแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นงบฯ ในสัดส่วนที่สูง ซึ่งทำให้งบฯ การดูแลรักษาสุขภาพสูงขึ้นและมีผลต่อภาวะงบประมาณของรัฐบาล อย่างไรก็ดีการใช้มาตรการไม้แข็งด้วยการดำเนินคดีกับบริษัทยาจะเป็นการกำหนดขอบเขตวิธีดำเนินธุรกิจที่บริษัทยาได้ใช้มาอย่างยาวนานในหลายๆ ด้าน


 


"ณ บัดนี้คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปได้ประกาศสงครามกับภาคธุรกิจยา และมีคำถามท้าทายต่อธุรกิจยาในเรื่องความถูกต้องทางกฎหมายต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทยาได้ใช้มาเป็นเวลายาวนาน" สตีเฟน โรส หุ้นส่วนการแข่งขันทางการค้าของสำนักงานกฎหมายสากลเอเวอร์เชดส์กล่าว


 


ยุทธศาสตร์การคุ้มครองสิทธิบัตรและการตกลงระหว่างบริษัทยาชั้นนำกับบริษัทยาชื่อสามัญในการแบ่งปันผลประโยชน์กันสองฝ่ายเป็นเสมือนการพึ่งพากันเพื่อความอยู่รอดของภาคธุรกิจนี้ แต่ในบางครั้งข้อตกลงนั้นรวมถึงการที่บริษัทยาชั้นนำยอมจ่ายให้แก่บริษัทผลิตยาชื่อสามัญเพื่อแลกกับการประวิงเวลาการนำเข้ายาชื่อสามัญคู่แข่งเข้าสู่ตลาด


 


"ทั้งบริษัทยาต้นตำรับและบริษัทยาชื่อสามัญจำเป็นต้องทบทวนวิธีการทำธุรกิจตัวเอง


และต้องทำให้แน่ใจว่าการทำธุรกิจเช่นนั้นจะไม่ถูกนำมาใช้เป็นกรณีทดสอบให้คนอื่นปฏิบัติตามต่อไปอีก"โรสกล่าว


 


รายงาน "For Big Pharma" ที่นีลลีโครส์ กรรมธิการการแข่งขันของยุโรป ได้วิพากษ์ภาคธุรกิจอย่างดุดันและได้ตีพิมพ์เมื่อวันศุกร์


 


สิทธิบัตรสำหรับยาจำนวนมากกำลังจะหมดอายุลงในอีก 4 ปีข้างหน้า และผู้ควบคุมดูแลของสหภาพยุโรปจะเฝ้าจับตามองอย่างจริงจังว่าจะมีบริษัทยาใดพยายามขัดขวางการแข่งขันของยาชื่อสามัญหรือไม่ อย่างกรณียาลดคลอเรสเตอรอล Lipitor ของบริษัท Pfizer


 


ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่บริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำอย่าง Pfizer, GlaxoSmithKline, AstraZeneca และ Sanofi-Aventisจะพยายามผลักดันเรื่องสิทธิตามสิทธิบัตรมากน้อยแค่ไหน


 


"เป็นที่แน่นอนว่าการขึ้นทะเบียนและการคุ้มครองสิทธิบัตรอย่างแข็งกร้าวเป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมการแข่งขัน และนั่นก็คือประเด็นหลักในการที่ต้องมีระบบสิทธิบัตร"เอ็ดเวิร์ด มิลเลอร์ หุ้นส่วนของสำนักงานกฎหมายรีด สมิธ กล่าว


 


คำถามคือว่ากรณีนี้ถูกพัฒนากลายมาเป็นเรื่องขัดต่อกฎหมายเมื่อไร


 


ประสบการณ์ในสหรัฐฯ ที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่าการที่จะขีดเส้นขึ้นมาให้ชัดเจนเป็นเรื่องยาก


 


เดือนที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ยืนคำตัดสินอนุญาตให้ข้อตกลงของบริษัท Bayer AG ที่ทำกับบริษัท Barr Pharmaceuticals ถูกกฎหมาย ในข้อตกลงนั้นเป็นการยินยอมที่จะประวิงเวลาในการผลิตยาชื่อสามัญของยาปฏิชีวนะที่ชื่อ Cipro ซึ่งนีลลี โครส์ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ในคำแถลงการณ์ด้วย


 


คณะกรรมาธิการการค้าของสหรัฐฯ (The U.S. Federal Trade Commission) พิจารณาแล้วเห็นตามคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปว่าข้อตกลงต่างๆ ที่เป็นการถ่วงเวลาการนำเข้ายาชื่อสามัญสู่ตลาด


ถือว่าขัดต่อกฎหมายป้องกันการผูกขาด แต่ศาลยังมีความเห็นไม่ตรงกันว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่


 


อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนไปจากนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ว่าที่ประธานาธิบดี บารัก


โอบามาเคยสนับสนุนการออกกฎหมายเพื่อห้ามการตกลงกันในลักษณะดังกล่าว


 


มาร์ค ดัลบี ผู้เชี่ยวชาญด้าน life science ของสำนักงานกฎหมาย โลเวลล์ส คาดการณ์ว่า คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปจะต้องมีคดีความกับบรรดาบริษัทยายักษ์ใหญ่ในกรณีแบบนี้จนล้นมือ และดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะต่อสู้จนมีคำตัดสิน


 


ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้บริหารระดับสูงของสหภาพยุโรปได้มีคำถามต่อภาคธุรกิจทั้งหมด ที่ผ่านมาผู้บริหารของสหภาพยุโรปได้เข้าไปตรวจสอบอุตสาหกรรมพลังงานและภาคบริการการเงินแล้ว


 


แต่การประกาศผลการสอบสวนภาคธุรกิจยาในเดือนมกราคม เป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกที่การสอบที่เริ่มต้นโดยการสืบโดยไม่แจ้งให้รู้ล่วงหน้า


 


คณะกรรมาธิการแย้งว่า การรุกเช่นนี้ (รวมถึงการเปิดฉากรุกที่เพิ่งผ่านมาในอาทิตย์นี้) เป็นเรื่องจำเป็นในสถานการณ์ที่ข้อมูลที่เป็นความลับระดับสูงสามารถถูกกลบเกลื่อน ปกปิด หรือทำลายได้อย่างง่ายดาย


 


บริษัทยาไม่พอใจต่อการดำเนินการไม้แข็งเช่นนี้


 


"ผมได้บอกท่านกรรมาธิการไปว่า การรุกแบบนี้เป็นเพียงการโน้มน้าวสร้างภาพให้เห็นว่าบริษัทยาเป็นฝ่ายผิดจนกว่าจะมีคำพิพากษาว่าบริสุทธ์" อาร์เธอร์ ฮิคกิน Chief Executive ของ Bayer HealthCare และประธานสมาคมและอุตสาหกรรมยาแห่งสมาพันธรัฐยุโรป (European Federation of Pharmaceutical Industries and Associations) กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net