Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ศรัทธา สารัตถะ


 


กลุ่มพันธมิตรประกาศยุติการชุมนุมยืดเยื้อทันที ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีผลให้รัฐบาลสมชายต้องมีอันพ้นสภาพไปพร้อมกัน การประกาศยุติการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สอดประสานรับลูกอย่างเหมาะเจาะกับการตัดสินยุบพรรคการเมือง นับเป็นปฏิบัติการทางการเมืองที่ไม่ธรรมดา เพราะการเดินเกมส์สอดรับกันอย่างแยบยลระหว่างการเมืองในระบบกับการเมืองนอกระบบ ส่งผลให้เกิดสูญญากาศทางอำนาจ และเกิดวิกฤตความชอบธรรมขึ้นโดยพลัน


 


ไฮไลท์ของกระแสทางการเมืองพุ่งสูงสุด เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคการเมืองพร้อมกันถึง 3 พรรค ตามด้วยการประกาศยุติการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรซึ่งยึดสนามบินสองแห่งเอาไว้ จนทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกือบจะกลายเป็นอัมพาตตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่การตัดสินคดียุบพรรคการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญ ถูกตั้งข้อสังเกตจากนักการเมืองและสาธารณชนอย่างกว้างขวางว่า เป็นการตัดสินที่ค่อนข้างรวบรัดและรวดเร็วอย่างผิดปกติ นำไปสู่ความคลางแคลงใจเกี่ยวกับบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งในแง่ที่มาของอำนาจ ตัวผู้ใช้อำนาจ และวิธีการใช้อำนาจ


 


ในท่ามกลางความสงสัย และไม่มีความพยายามใดๆ ที่จะให้คำอธิบายเกี่ยวกับเหตุผลเบื้องหลังการเร่งตัดสินคดีดังกล่าวแล้ว การตัดสินคดียุบพรรคที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งทางการเมืองกำลังเขม็งเกลียว ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกมส์การเมืองพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ จึงเลี่ยงไม่พ้นคำถามที่ตามมาว่า ตุลาการภิวัฒน์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการชิงความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองหรือไม่


 


ในขณะที่สาธารณชนยังไม่หายข้องใจกับบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญ การประกาศยุติการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรกลายเป็นข่าวที่มาเร็วเหนือความคาดหมาย เพราะก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรไม่มีท่าทีแม้แต่น้อยว่าจะยุติการชุมนุม เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการประกาศยุติการชุมนุม แกนนำพันธมิตรยังประกาศว่าจะไม่ถอนกำลังออกจากสนามบิน รวมถึงมีการตระเตรียมความพร้อมเพื่อรักษาพื้นที่สนามบินดอนเมืองให้แน่หนามากขึ้น  เพราะเหตุนี้ จึงมีผู้ตั้งข้อสังเกตผ่านเว็บบอร์ประชาไทว่า แม้แต่พันธมิตรก็ยังไม่รู้ตัวว่าต้องเลิกชุมนุมวันนี้ (http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=755680)


 


ดูเผินๆ ราวกับว่าการประกาศเลิกชุมนุมของพันธมิตรเป็นสิ่งที่ไม่ได้จงใจหรือวางแผนไว้ล่วงหน้า หรือเป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองในทางบวกต่อผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ พูดง่ายๆ ว่า เพราะพอใจผลการตัดสินของศาล จึงเลิกชุมนุม ตรรกะง่ายๆ นี้ฟังดูสมเหตุผล หากไม่พิจารณาข้ออ้างที่แกนนำยกมา ได้แก่ หนึ่ง ได้รับชัยชนะในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้เป็นผลสำเร็จ และสองได้รับชัยชนะในการขับไล่รัฐบาลทรราชฆาตกรหุ่นเชิดเป็นผลสำเร็จ


 


หากพิจารณาเหตุผลที่ยกมาอ้างเพื่อเลิกชุมนุมกระทันหัน สาธารณชนคงไม่ปักใจเชื่ออย่างง่ายดายว่า พันธมิตรได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กล่าวอ้างมาแล้วจริงๆ เพราะหากพันธมิตรมั่นใจในชัยชนะจริง ก็คงไม่จำเป็นต้องประกาศชัยชนะไป พร้อมกับตั้งเงื่อนไขข่มขู่ไปว่า จะกลับมาชุมนุมอีกครั้ง หากเงื่อนไขที่ตั้งเอาไว้ไม่เป็นไปดังต้องการ ประเด็นที่น่าสังเกตอยู่ที่ว่า แถลงการณ์ยุติการชุมนุม (ชั่วคราว) ของกลุ่มพันธมิตรครั้งล่าสุด คือเงื่อนงำสำคัญที่ชี้ให้สาธารณชนเห็นถึงสถานะที่แท้จริงของกลุ่มพันธมิตร


 


ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก สังคมเริ่มตั้งข้อสงสัยถึงเป้าหมายของกลุ่มพันธมิตร เพราะข้อเรียกร้องที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของกลุ่มพันธมิตร ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อเรียกร้องไม่มีที่สิ้นสุด มาจนถึงข้อเรียกร้องเรื่องการเมืองใหม่ ซึ่งความหมายที่แท้จริงยังไม่มีความชัดเจน จนมาถึงวันที่กลุ่มพันธมิตรเข้ายึดพื้นที่สนามบินทั้งสองแห่ง ทั้งๆ ที่กลุ่มพันธมิตรเองรู้ดีว่าการยึดสนามบินย่อมสร้างความเดือดร้อนและความไม่พอใจให้กับคนทั้งในและต่างประเทศ แต่พันธมิตรก็ยังคงเลือกยุทธ์ศาสตร์ปิดสนามบินเพื่อต่อรองทางอำนาจกับรัฐบาล ข้ออ้างที่ว่าต้องการชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อต้อนรับนายกสมชายที่เดินทางกลับจากต่างประเทศฟังไม่ขึ้น เพราะแม้นายกสมชายประกาศว่าจะไม่เดินทางมาที่สุวรรณภูมิ พันธมิตรก็ยังคงยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองต่อไป การยึดสนามบินเป็นตัวประกัน สร้างความงุนงงสงสัยให้กับสาธารณชนวงกว้างว่า แท้จริงแล้ว พันธมิตรต้องการอะไรกันแน่


 


แล้ววันที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคการเมือง ก็กลายเป็นวันที่พันธมิตรเฉลยสถานะแท้จริงของตนเอง เพราะหากไม่มีพันธมิตรคอยประณามรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างหนักหน่วง และยึดสนามบินสร้างกระแสความปั่นป่วนตึงเครียดให้กับสังคมวงกว้าง การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญก็คงไม่มีน้ำหนักมากถึงเพียงนี้ หรืออาจถูกต่อต้านอย่างหนักจากมวลชนอีกฝ่ายหนึ่ง ในทางกลับกัน หากไม่มีตุลาการภิวัฒน์เป็นบันได พันธมิตรก็คงหาทางลงให้กับปฏิบัติการยึดสนามบินที่ไร้ความชอบธรรมได้ยากขึ้นทุกที  


 


เงื่อนไขที่กลุ่มพันธมิตรทิ้งท้ายเอาไว้ว่า  "ขอให้หยุดยั้งอย่าให้มีนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณ ขอให้สะสางความผิดนักการเมืองในระบอบทักษิณ และขอให้ร่วมกับประชาชนสร้างการเมืองใหม่เพื่อปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง" ชี้ชัดว่าชัยชนะที่พันธมิตรเพิ่งประกาศไปนั้น ยังไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด หากเป้าหมายสูงสุดยังไม่บรรลุผล พันธมิตรก็ยังคงไม่ยอมลงจากเวทีเป็นแน่


 


การเคลื่อนไหวทางการเมืองในฐานะกลุ่มกดดันนอกสภาที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อชัยชนะ คอยส่งลูก รับลูก สอดประสานกับกลุ่มอื่นๆ ทำให้พันธมิตรกลายเป็นกลุ่มกดดันทางการเมืองที่ทรงอิทธิพล ยากที่กลุ่มการเมืองในระบบจะแข่งขันได้ ปฏิบัติการยึดสนามบินที่ส่งผลให้เกิดสูญญากาศทางการเมืองขึ้นสำเร็จในขณะนี้เป็นการปูทางให้กับการเปลี่ยนขั้วอำนาจในระบบ ภายใต้การกำกับของอำนาจนอกระบบ ซึ่งจะมีที่ทางและความชอบธรรมมากขึ้นที่จะเข้ามากำหนดทิศทางการเมืองขั้นต่อไป


 


ชัยชนะที่เพิ่งประกาศของพันธมิตร จึงไม่ใช่ชัยชนะของประชาชน!


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net