จากกล้าอ่อนสู่ไม้แกร่ง จากดงดอยสู่แดดแล้งแดนอีสาน

กฤษณา พาลีรักษ์          

มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม(มอส.)

 

 

1

 

วันที่ 29 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2551 นี้ เครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน ร่วมกับอาสาสมัครรุ่น 28 ของมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม(มอส.) จะจัดโครงการกล้าอ่อนสู่ไม้แกร่ง การเรียนรู้ส่วนภูมิภาค เพื่อความเข้าใจองค์รวมในงานพัฒนา ครั้งที่ 2 ขึ้น ต่อเนื่องจากโครงการกล้าอ่อนสู้ไม้แกร่งฯ ครั้งที่ 1 ซึ่งเครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคเหนือ ได้พาเพื่อนๆ จากต่างภูมิภาคลงศึกษาดูงานเรื่องการจัดการทรัพยากรโดยชุมชน บ้านแม่คองซ้าย ต.เมืองคอง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อ 25-28 มกราคม 2551 ที่ผ่านมา   

 

 

 

 

2

 

เมื่อวันคืนย่างกรายเข้าสู่ฤดูดอกแดดสีฟาง ลมหนาวปลายปีหวีดหวิว รวงข้าวลู่ระเนน และไม้ดอกหลากสีค่อยๆ คลี่บานขึ้น เป็นฤดูเดียวกับฤดูค่ายของหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยบางกลุ่ม ที่ยกชมรมไปพักค้างอ้างแรมถึงหมู่บ้านสุดทางเกวียน หรือชุมชนบนเชิงดอยอวลหมอกเหมยที่ไหนสักแห่ง เพื่อสร้างศาลา สร้างโรงเรียน สร้างประปาภูเขา ฯลฯ พร้อมโอกาสในการศึกษาวิถีชีวิตของชุมชนไปพร้อมกัน    

 

ไม่ต่างจากกลุ่มหนุ่มสาวรุ่นใหม่ในวงงานพัฒนากว่า 40 ชีวิต จากต่างเครือข่ายการทำงาน ต่างภูมิภาคทั้งเหนือกลางอีสานจรดใต้ ที่เล็งเห็นความสำคัญของการเชื่อมโยงทำความรู้จักกันไว้ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เพื่อยกระดับพัฒนาศักยภาพตนเอง จนอาจหนุนเสริมการทำงานของเพื่อนได้ตามวาระตามโอกาส ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเน้นกระบวนการศึกษาดูงานในพื้นที่ชุมชนต้นแบบ หรือพื้นที่ที่เพื่อนบางคนทำงานอยู่ และแต่ละรอบของการจัดกิจกรรมจะเวียนลงเรียนรู้แต่ละพื้นที่ปัญหา แต่ละภูมิภาคต่างกันออกไป

 

ต้นปี 2551 น้องคนรุ่นใหม่ภาคเหนือพาเพื่อนๆ ขึ้นไปศึกษาดูงานกับองค์กรชุมชน "บ้านแม่คองซ้าย" ชุมชนปกาเกอะญอขนาดหย่อม ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวมานานกว่า 300 ปี กลายเป็นชุมชนต้นแบบเรื่องการจัดการทรัพยากรโดยชุมชน หลังโดนมรสุมจากนโยบายสัมปทานป่า และนโยบายย้ายคนออกจากป่าของรัฐส่วนกลาง ชาวบ้านตื่นตัวรวมกลุ่มกันพิสูจน์ตัวเองจนคนภายนอกเห็นว่า คนอยู่กับป่านั้น รักษาป่าด้วยภูมิปัญญาที่สั่งสมมาแต่อดีต จนเติบโตสืบลูกสืบหลาน ป่าน้อยใหญ่ดั้งเดิมที่ชุมชนใช้สอยพึ่งพา ก็ยังคงความอุดมสมบูรณ์

แม่

โอกาสในการเรียนรู้ชุมชนครั้งนั้น นอกจากหนุ่มสาวจะได้หลายแง่มุมจากชุมชน จากเพื่อนๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรม มาปรับใช้กับหน้างานในความรับผิดชอบของตนเองแล้ว ยังได้โอกาสแลกเปลี่ยนกับพี่ๆ นักพัฒนาภาคเหนือหลายคน เป็นอีกหนึ่งความต้องการร้อยรัดให้น้องพี่ต่างรุ่นได้รู้จัก ได้ถ่ายเทความรู้ประสบการณ์แก่กันและกันด้วย

 

 

3

 

เมื่อวันคืนย่างกรายเข้าสู่ฤดูดอกแดดสีฟาง ลมหนาวปลายปีหวีดหวิว รวงข้าวลู่ระเนน และไม้ดอกหลากสีค่อยๆ คลี่บานขึ้น เป็นฤดูเดียวกับฤดูอันเป็นหมายนัดดำเนินโครงการกล้าอ่อนสู่ไม้แกร่งฯ ครั้งที่ 2 ต่อเนื่องจากครั้งแรก เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนๆ ที่เคยเข้าร่วมโครงการ และยังเป็นโอกาสในการลงเรียนรู้ขบวนการรวมกลุ่มต่อสู้ขององค์กรชาวบ้าน 2 องค์กร ผ่าน 2 ชุมชนตัวอย่าง ซึ่งมีบริบทปัญหาที่แตกต่างกัน หากอยู่ในขอบเขตจังหวัดอุบลราชธานีเหมือนกัน หนาวปลายปีนี้ จึงมีเครือข่ายคนรุ่นใหม่และอาสาสมัครรุ่น 28 ภาคอีสาน รับบทบาทเป็นเจ้าภาพหลัก  

 

ชุมชนแรกที่จะลงไปเรียนรู้คือ "ชุมชนลับแล" เป็นชุมชนเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟอุบลราชธานี ในเขตการปกครองของเทศบาลวารินชำราบ ลับแลเป็นชุมชนดั้งเดิม ผู้บุกเบิกถากถางทำกินอย่างสุจริตมาก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง จนปี พ.ศ.2497 รถไฟในสมัยที่ยังใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงจึงวิ่งปุเลงๆ มา พร้อมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ประกาศเขตรถไฟทับที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ชุมชนลับแลจึงกลายเป็นผู้บุกรุกที่ดินไปโดยปริยาย

 

มีชาวบ้านถูกจับกุมคุมขังหลายราย ก่อนคนในชุมชนจะกลายสถานภาพเป็นผู้เช่าเมื่อปี 2515 บนความจำกัดของเนื้อที่ 21 ไร่ 2 งาน มีผู้อาศัยถึง 265 หลังคาเรือน จนยุคฟองสบู่แตก มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้ลงไปทำงานพัฒนาชุมชนร่วมกับชาวบ้าน จากกิจกรรมพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน สู่การต่อรองเรื่องค่าเช่าที่เป็นธรรม จากกิจกรรมออมทรัพย์ กิจกรรมกับกลุ่มเยาวชน ยกระดับสู่การต่อสู้เรื่องสิทธิในที่ดิน สิทธิในที่อยู่อาศัย ถึงเรื่องประชาธิปไตยและเรื่องอื่นๆ

 

ปัจจุบัน "ลับแล" เป็นหนึ่งในสมาชิกเครือข่ายชุมชนอุบลราชธานี ซึ่งมีอีกสิบกว่าชุมชนริมแม่น้ำมูลเป็นสมาชิก ในเครือข่ายมีงานออมทรัพย์ที่เข้มแข็ง มีสหกรณ์ มีการจัดระบบสวัสดิการชุมชน มีงานเยาวชน และมีวงดนตรีของเครือข่ายเป็นแนวรบอีกทางหนึ่ง

 

กล่าวได้ว่าพี่น้องในเครือข่ายฯ ไม่เคยขาดสายต่อการเข้าร่วมต่อสู้กับคนจนกลุ่มอื่น ทั้งในระดับประเทศ และในระดับสากล ในนาม "เครือข่ายสลัม 4 ภาค" ซึ่งวันนี้ยังคงต่อรองผลักดันการเช่าที่ดินให้ได้ในระยะยาว 30 ปี

 

หากมองตามสิทธิที่ชุมชนดั้งเดิมอย่างชุมชนลับแลควรมีควรได้นั้น "สถานะผู้เช่าระยะยาว" ยังเกรงจะเป็นข้อเรียกร้องที่น้อยเกินไป ไม่ควรค่าสมฐานะ "ผู้บุกเบิก" แม้แต่น้อย

 

ส่วนอีกหนึ่งชุมชนที่ทางเจ้าภาพจะพาเพื่อนๆ ลงไปเรียนรู้ คือ "บ้านโนนหินแร่" ต.หนองทันน้ำ อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี หมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ตีนภูขาม และเป็น 1 ใน 11 หมู่บ้านที่เป็นสมาชิกเครือข่ายป่าชุมชนภูขาม

 

กว่าจะมาเป็นเครือข่ายนั้น ป่าใหญ่ภูขามถูกทำลายลงจนเหลือพื้นที่ป่าแค่ 2,600 ไร่ หลังนโยบายเปิดให้สัมปทานป่า ปี 2514 ก่อนป่าภูขามจะถูกขีดให้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดงขุมคำ เมื่อปี 2525 ผลจากคำประกาศให้ป่าภูขามเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งทับที่อยู่ที่ทำกินของชาวบ้านโนนหินแร่ และหมู่บ้านใกล้เคียง ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบล 2 อำเภอ(กุดข้าวปุ้น, เขมราฐ) ชาวบ้านกลายเป็นผู้บุกรุกและอยู่อย่างผิดกฎหมาย หนำซ้ำยังถูกผลักดันให้ออกจากพื้นที่นับแต่นั้น แต่ชาวบ้านยังคงขัดขืน

 

เมื่อกระแสการปลูกพืชเศรษฐกิจเป็นที่นิยม สถานการณ์การรุกป่าก็รุนแรงขึ้น ก่อนปี 2547 เครือข่ายป่าชุมชนภูขามจึงพูดคุยหารือจริงจัง เพื่อฟื้นฟูอนุรักษ์ป่าภูขามให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ภายใต้การสนับสนุนของเครือข่ายป่าชุมชนดงขุมคำ และสมาคมป่าชุมชนอีสาน  

 

เมื่อชุมชนขัดขืน และลุกขึ้นป่าวร้องทวงคืนซึ่งสิทธิอำนาจในการจัดการทรัพยากรจากรัฐ เส้นทางสู่ชัยชนะถาวรคลับคล้ายยังทอดยาวไกล ปัจจุบันสมาชิกเครือข่ายป่าชุมชนภูขามกว่า 300 คน จึงยังคงค้นคิดหาคำตอบหลายระดับเป็นทางออกให้กับปัญหา ระดับครัวเรือน มีความพยายามพึ่งตนเองด้วยการทำเกษตรผสมผสาน ระดับชุมชนมีการหารือเพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูป่าหัวไร่ปลายนาขึ้น ระดับเครือข่ายมีกฎกติกาเพื่อดูแลรักษาป่าให้ได้หาอยู่หากินอย่างยั่งยืนสืบถึงลูกหลาน ในระดับนโยบายยังเข้าร่วมเคลื่อนไหวผลักดัน พ.ร.บ.ป่าชุมชน ให้กฎหมายกลับมาคุ้มครองคนอยู่กับป่าให้ได้อีกด้วย

 

 

 

 

4

 

พี่แต-สนั่น ชูสกุล ผู้อำนวยการโครงการทามมูล เคยกล่าวไว้ว่า การที่คนเราจะเรียนรู้ได้ต้องเกิดการเปรียบเทียบกันขึ้น ระหว่างเรากับคนอื่น เรากับสิ่งอื่น จะโดยการพูดคุย การสัมผัส การเห็นจริง การฟัง การอ่าน หรือวิธีอื่นใดอีกหลายวิธี ก่อนคนเราจะชั่งน้ำหนักหาความเหมาะสมลงตัวของใครมัน แล้วพัฒนาการต่อยอดการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ

 

เช่นกัน การปะทะสังสรรค์กับเพื่อน ผ่านกิจกรรมลงศึกษาชุมชนในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่คนรุ่นใหม่จะได้เรียนรู้  ด้วยกระบวนการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างของสองชุมชน ทั้งบริบทที่มา ปัญหา และศักยภาพของชุมชนในการคลี่คลายแล้วสร้างความเข้มแข็ง

 

ด้วยจิตเจตนาดีต่อความอยากเรียนรู้ของคนหนุ่มสาว ซึ่งอยู่เบื้องหลังการก่อเกิดกิจกรรมดังกล่าว ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อันอาจก่อประโยชน์โพธผลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งต่อคนในชุมชนเอง และตัวคนรุ่นใหม่ เพื่อการต่อยอดเรื่องราวคนทุกข์คนยาก จนเกิดสำนึกเลือกยืนเคียงข้างความถูกต้องเป็นธรรมให้ได้ในระยะยาว กิจกรรมการเรียนรู้ดีๆ แบบนี้ จึงสมควรแก่การค้นคิด กระทำการสืบเนื่องไปเรื่อยๆ ส่วนจะเป็นรูปแบบใด ชุมชนหรือสภาพปัญหาอะไร และพื้นที่ภาคไหนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูความเคลื่อนไหวของพวกเขากันต่อไป

 

5

 

เมื่อวันคืนย่างกรายเข้าสู่ฤดูดอกแดดสีฟาง ลมหนาวปลายปีหวีดหวิว รวงข้าวลู่ระเนน และไม้ดอกหลากสีค่อยๆ คลี่บานขึ้น เป็นฤดูเดียวกับฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตของชาวนา ซึ่งในปีนี้ฤดูน้ำยาวนานกว่าปกติ ข่าวแว่วว่าในช่วงเริ่มลงมือเก็บเกี่ยวข้าว ท้องทุ่งบางที่มี "เรือ" เป็นอุปกรณ์จำเป็นด้วย หากสมมติน้ำยังคงหลากจนถึงวันจัดกิจกรรม ชาวบ้านภูขามได้พายเรือเกี่ยวข้าว น้องๆ ที่มีโอกาสลงเรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้าน ก็คงรู้สึกสนุกดี กับโอกาสมาช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าวซึ่งมีแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่กับชาวนาคงได้แต่ก่นด่าฟ้าฝน และบ่นกับลมกับทุ่งไปตามประสา....

 

"อย่าเปลี่ยนแปลงไปนักเลย...วิถีชีวิต"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท