Skip to main content
sharethis


ประชาชนเข้าสักการะพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ วันสุดท้ายอย่างเนืองแน่น

เว็บไซต์แนวหน้า : ประชาชนเข้าสักการะพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง อย่างหนาแน่กว่าทุกวัน เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายในการเปิดให้เข้าสักการะ โดยหลายคนเดินทางมากจากต่างจังหวัด ซึ่งบางส่วนจะอยู่รอดูการเคลื่อนขบวนพระราชอิสริยยศ จึงจะเดินทางกลับบ้าน


 



สำหรับการถวายสักการะพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง วันที่ 13 พ.ย. สำนักพระราชวังสรุปจำนวนประชาชนที่เดินทางมาถวายสักการะพระศพตั้งแต่เวลา 07.30 - 16.00 น. มีทั้งสิ้น 9,612 คน มียอดบริจาค 708,757.50 บาท รวมยอดบริจาคทั้งสิ้นเป็นเงิน 162,033,927.42 บาท



 


ขึ้น LPG ขนส่ง6บ./กก.ทยอยขยับ 2 บาท 3 ครั้ง


ผู้จัดการรายวัน : น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ เป็นประธานวานนี้ (13 พ.ย.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการแนวทางปรับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) สำหรับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมยกเว้นปิโตรเคมีผ่านการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อชดเชยภาระการนำเข้าจำนวน 6 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) หรือ 3.20 บาทต่อลิตร แต่เพื่อลดผลกระทบให้พิจารณาทยอยจัดเก็บเดือนละ 2 บาทต่อ กก. หรือ 1 บาทต่อลิตรติดต่อเป็นเวลา 3 เดือน โดยราคาแอลพีจีครัวเรือนไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงสิ้น ม.ค.52 ดังนั้นคาดว่า กบง.จะเรียกประชุมให้เร็วที่สุดเพื่ออนุมัติปรับขึ้นซึ่งน่าจะเป็นช่วงสัปดาห์หน้า


 


ทั้งนี้ การกำหนดราคาที่ปรับขึ้น 6 บาทต่อ กก.มาจากฐานประเมินว่าราคาแอลพีจี ปีหน้า จะอยู่ที่ประมาณ 700 ดอลลาร์ฯ ต่อตัน และราคาสมมติฐานน้ำมันดิบประมาณ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จึงทำให้ส่วนต่างดังกล่าวที่ต้องชดเชยคือ 6 บาทต่อ กก.จึงเป็นเหตุผลที่จะต้องปรับขึ้นในอัตรานี้เพราะตั้งแต่ เม.ย.มา ปตท.ต้องนำเข้ามาเพราะการใช้เกินกว่าการผลิตซึ่ง ต.ค. ปตท.นำเข้าแล้ว 7,422 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ขึ้นเดือนละ 2 บาทต่อ กก. จะนำไปจ่าย ปตท.ในการนำเข้าล็อต พ.ย.เป็นต้นไปและคาดว่า เม.ย.52 กองทุนฯก็ไม่มีภาระจะสามารนำเงินที่ขึ้นมาทยอยจ่ายหนี้ปตท.ตั้งแต่พ.ค.52 จนหมดในพ.ย. 53


 


นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้กำหนดมาตรการดูแลช่วยเหลือผู้ขับขี่รถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีหันมาเปลี่ยน NGV จำนวน 2 หมื่นคันในระยะเวลา 4 เดือน โดยแท็กซี่ใหม่จะได้รับการสนับสนุนเงิน 4 หมื่นบาทต่อคันในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ ขณะที่แท็กซี่เก่าจะได้รับสนับสนุนเช่นเดียวกันพร้อมทั้งกองทุนน้ำมันจะรับซื้ออุปกรณ์แอลพีจีเก่าคืนในราคาชุดละ 3,000 บาท พร้อมทั้งตั้งคณะทำงานขึ้นมา 5 ชุดในการดูแลและกำกับไม่ให้ใช้แอลพีจีผิดประเภท การลักลอบไปประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น


 


กพช.ครั้งนี้ยังอนุมัติแผนการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์อี 85 เพื่อส่งเสริมการใช้เอทานอลเป็นวาระแห่งชาติ โดยเห็นชอบหลักการที่จะให้มีการนำเข้าและประกอบรถที่จะใช้อี 85 ได้คือ FFV (Flex Fuel Vehicle) ดังนี้ ระยะที่ 1. (2551-2552 ) รถยนต์เล็กกว่า 2,000 ซีซี ลดภาษีอากรนำเข้าจากอัตราปกติ 80% เหลือ 60% ภาษีสรรพสามิตเก็บปกติ 25% แต่กพช.อนุมัติให้กองทุนน้ำมันฯ ช่วยสนับสนุนลดหย่อนภาษีสรรพสามิต 3% หรือเท่ากับการจ่ายภาษีสรรพสามิตจริง 22% ส่วนรถยนต์ขนาด 2,000-2,500 ซีซี ภาษีนำเข้าจาก 80% เหลือ 60% ภาษีสรรพสามิตปกติ 30% ใช้เงินกองทุนฯมาช่วยสนับสนุน3% เท่ากับจะทำให้ภาษีสรรพสามิตลดเหลือ 27% แต่ทั้งหมดคลังไม่ได้เสียรายได้แต่อย่างใด


 


ระยะที่ 2 (ช่วงปี 2553 เป็นต้นไป) ให้เก็บอากรนำเข้าปกติและหลังจากนั้นให้ทบทวนภาษีสรรพสามิตรถยนต์อี 85 ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะลดการนำเข้าน้ำมันถึง 3.8 แสนล้านบาท สามารถมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรม อีกกว่า 6 หมื่นล้านบาทรวมผลตอบแทนเชิงเศรษฐกิจถึง 4.4 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันยังสามารถรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและการลดภาวะเรือนกระจก


 


"กพช.ยังได้พิจารณาจัดเก็บเงินกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานจากไบโอดีเซลบี 2 เพิ่มอีก 50 สตางค์/ลิตร เพื่อให้ส่วนต่างของบี 2 และบี 5 เพิ่มเป็น 1.50 บาท ทำให้เกิดแรงจูงใจใช้ บี 5 เพิ่มขึ้น แก้ปัญหาปาล์มล้นตลาดได้ส่วนหนึ่ง"รมว.พลังงานกล่าว


 


นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า กรณีการใช้แอลพีจีผิดประเภท คือ ลักลอบนำก๊าซครัวเรือนไปใช้ในขนส่งหรืออุตสาหกรรม ในปัจจุบันถือเป็นการดำเนินที่ผิดกฎหมายว่าด้วยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 4/2547 เรื่องการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนปิโตรเลียมที่มีโทษจำคุก 10 ปี หรือปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ปัจจุบันไม่ได้มีการเข้มงวดการดำเนินการดังกล่าว แต่หลังจากเกิดโครงสร้าง 2 ราคา เพื่อป้องกันการลักลอบทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมาย เริ่มแรกจะประชาสัมพันธ์และตักเตือน หากพบทำผิดจะมีการจับกุม กรอบระยะเวลาจะเป็นเมื่อใดทาง กบง.จะเป็นผู้กำหนด


 


 


"วสันต์ ภัยหลีกลี้" พ้นเก้าอี้ผอ."อสมท"


คมชัดลึก : คณะกรรมการ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ บอร์ด อสมท มีการประชุมบอร์ดประจำเดือน พฤศจิกายน 2551 โดยใช้เวลาประชุม 5 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 13.00-18.00 น. หลังจากนั้น นายธงทอง จันทรางศุ  รองประธานกรรมการและโฆษก บอร์ด อสมท เป็นตัวแทนในการแถลงข่าว เป็นเวลา 7 นาที


 



นายธงทอง จันทรางศุ  รองประธานกรรมการ และโฆษก คณะกรรมการ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า การประชุมบอร์ด อสมท เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน มีวาระปกติ การรับรองผลการดำเนินงานไตรมาส 3  และความพร้อมในการเตรียมถ่ายทอดพระราชพิธีฯ   โดยมีวาระพิเศษ ที่บอร์ด อสมท หารือร่วมกับ นายวสันต์  ภัยหลีกลี้  กรรมการผู้อำนวยการใหญ่


 



โดยได้ข้อสรุปร่วมกันทั้งสองฝ่ายว่า นายวสันต์ จะยุติบทบาทการเป็น กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ โดยยังอยู่ในตำแหน่งอีก 30 วันหลังจากนี้  และสิ้นสุดการทำงานวันที่ 14 ธ.ค.2551  หลังจากนั้นจะให้นายชิตณรงค์ คุณะกฤดาธิการ  รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่  มารักษาการแทน  ระหว่างกระบวนการสรรหา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่


 



 "การยุติบทบาทของ นายวสันต์ เป็นการตกลงร่วมกัน 2 ฝ่าย  โดยไม่มีใครผิด ใครถูก  แต่เป็นวิธีการทำงานของบอร์ด ชุดนี้ และนายวสันต์  ที่เป็นคนละสไตล์ มีความเห็นแต่งต่างกัน จึงต้องกลับมามองว่าแล้วองค์กร จะขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร  ทั้งบอร์ดและนายวสันต์ จึงตกลงร่วมกันว่า นายวสันต์ จะยุติบทบาท"    นายธงทอง กล่าว


 



นายธงทอง กล่าวว่า การยุติบทบาทของนายวสันต์  ไม่ใช่เป็นมติจากบอร์ด ไม่ใช่การปลดหรือเป็นการลาออก ของนายวสันต์  แต่เป็นการเห็นพ้องร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่ง บมจ.อสมท จะมีการชดเชยรายได้ให้ตามสัญญา  และยืนยันว่าการยุติบทบาทของนาย วสันต์ ครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากการหย่อนประสิทธิภาพ หรือบกพร่องในการทำงานแต่อย่างใด  รวมทั้งไม่ใช่เรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต  เหมาะสม หรือไม่เหมาะสมแต่อย่างใด  แต่เป็นการมองอนาคตขององค์กร อสมท ร่วมกัน โดยต้องการให้ เกิดประโยชน์กับ อสมท มากที่สุด


 



"เรื่องสไตล์การทำงานที่แตกต่างกัน ของ บอร์ด และนายวสันต์  เป็นเรื่องในอดีต คงไม่ต้องไปลงรายละเอียดว่ามีเรื่องอะไรบ้าง แต่ควรมองอนาคตร่วมกันมากกว่า" นายธงทอง กล่าว


 



ทั้งนี้ นายวสันต์  ได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ต่อสื่อมวลชน หลังจากการแถลงข่าวของตัวแทนบอร์ด อสมท  โดยนายวสันต์ ได้เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท เมื่อวันที่  15 พ.ค.2550  มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี


 


 


ป.ป.ช.แจ้งข้อหา"ครม.สมัคร"


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้รับผิดชอบสำนวนคดีถอดถอนคณะรัฐมนตรี ทั้งคณะจากการออกมติ คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เนื่องจากไม่ได้ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภา กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า ที่ประชุมมีมติแจ้งข้อกล่าวหานายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะรัฐมนตรี จำนวน 28 คน ที่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2551 ในการรับทราบแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งข้อกล่าวหาที่แจ้งคือกระทำการขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรค 2 และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ


 



ทั้งนี้ในส่วนของข้าราชการที่เกี่ยวข้อง จะยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา เนื่องจากต้องการให้คณะรัฐมนตรี มีโอกาสเข้าชี้แจงก่อน และหากมีการพาดพิงถึงบุคคลอื่น ก็จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม บุคคลที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา สามารถแก้ข้อกล่าวหาได้ภายใน 15 วันหลังจากได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ซึ่งความผิดดังกล่าวมีโทษอาจถึงขั้นถอดถอนออกจากตำแหน่ง


 



ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ถูกกล่าวหาจะอ้างได้หรือไม่ ว่ามีความไม่เข้าใจรัฐธรรมนูญ น.ส.สมลักษณ์ กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับสถานะของแต่ละบุคคล แต่เท่าที่ทราบอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถือเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย เพราะได้รับทุนให้ไปศึกษาด้านกฎหมายยังต่างประเทศ และระหว่างที่นำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทักท้วงแล้ว แต่ยังคงมีการลงนาม


 



ต่อข้อถามว่า นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ระหว่างการรักษาตัวที่ต่างประเทศ จะเป็นปัญหาในการดำเนินการของ ป.ป.ช.หรือไม่ น.ส.สมลักษณ์ กล่าวว่า คงไม่เป็นปัญหา เพราะนายสมัคร คงไม่อยู่ต่างประเทศตลอดชีวิต


 



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บุคคลที่ไม่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหา คือ 1.นายกฤช ไกรกิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย 2.นายเชิดชู รักตบุตร อัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส 3.นายพิษณุ สุวรรณรชฎ รองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก 4.นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ 5.พล.ท.แดน มีชูอรรถ อดีตเจ้ากรมแผนที่ทหาร 6.พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ 7.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกมติ ครม.ดังกล่าว


 



สำหรับรัฐมนตรี 4 คน ที่ ป.ป.ช.ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา เนื่องจากไม่ได้เข้าร่วมประชุม ครม.ในวันดังกล่าว คือ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกฯ และรมว.คลัง นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ อดีตรมช.มหาดไทย และพล.ท.หญิงพูนภิรมย์


 



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ 28 รัฐมนตรีในรัฐบาลนายสมัคร ที่ถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหา อาทิ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ, นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงกลาโหม, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ, นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์, นายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกฯ, พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ, นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


 



นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง, ร.ต.(หญิง) ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมช.คลัง, นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตรและสหกรณ์, นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร รมช.เกษตรและสหกรณ์, นายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรและสหกรณ์, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม, นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมช.คมนาคม, นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม


 



ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย, นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม, นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข, นายวิชาญ มีนชัย


 



นันท์ รมช.สาธารณสุข, นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายมั่น พัธโนทัย รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ รมว.วัฒนธรรม, นางอุไรวรรณ เทียนทอง รมว.กระทรวงแรงงาน



 


ปาระเบิด ม็อบพ่อค้าแม่ค้าตลาดคลองเตย กลางดึกเจ็บ 13 สาหัส 2 ราย


เว็บไซต์แนวหน้า : เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายขว้างระเบิดหรือประทัดยักษ์ ใส่กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าตลาดคลองเตย ที่มาปักหลักชุมนุมประท้วง อยู่ที่บริเวณสี่แยกรัชดา-พระราม 4 แขวงและเขตคลองเตย กทม. โดยผูประท้วงได้ปิดการการจราจร เนื่องจากไม่พอใจการท่าเรือแห่งประเทศไทย นำบริษัทใหม่เข้ามาบริหารตลาด แรงระเบิดดังกล่าว ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 13 ราย อาการสาหัส 2 ราย เจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แล้ว


 



รายงานระบุว่า หน่วยเก็บกู้ระเบิดของกองบังคับการตำรวจปฎิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล กำลังตรวจสอบว่า ระเบิดดังกล่าวเป็นระเบิดชนิดใด หรือว่าเป็นประทัดยักษ์


 


 


สหรัฐฯหยุดแผนซื้อสินทรัพย์เคหะ"เน่า"หันเน้นลงทุนโดยตรงในสถาบันการเงิน


ผู้จัดการรายวัน : เอเอฟพี - รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯแถลงเมื่อวันพุธ(12) เปลี่ยนแปลงแผนการกู้ชีวิตภาคการเงินมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์ที่เพิ่งประกาศใช้ไม่นานก่อนหน้านี้อย่างชนิดมโหฬาร โดยจะเลิกเข้าซื้อตราสารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่เน่าเสีย หันมาเน้นลงทุนโดยตรงด้วยการซื้อหุ้นของพวกสถาบันการเงิน พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้ทุกฝ่ายช่วยกันฟื้นฟูภาวะสินเชื่อของสถาบันการเงิน "นอนแบงก์"


 


การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชจะกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ซึ่งเกี่ยวพันกับการประชุมระดับผู้นำกลุ่มจี 20 ที่จะจัดขึ้นในกรุงวอชิงตันสุดสัปดาห์นี้


 


"เพราะว่าข้อมูลต่าง ๆเปลี่ยนไป และสถานการณ์ก็ย่ำแย่ลง เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่แล้ว เราเห็นว่าวิธีการที่ถูกต้องในการใช้เงินของผู้เสียภาษีให้เกิดประโยชน์ที่สุด น่าจะกระทำโดยผ่านทางโครงการลงทุน" นั่นคือการอัดฉีดเงินเข้าไปซื้อหุ้นของธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ ที่ต้องการปรับโครงสร้างเงินทุน พอลสันกล่าว


 


ขุนคลังสหรัฐฯกล่าว โครงการ 700,000 ล้านดอลลาร์ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "โครงการบรรเทาสินทรัพย์ที่ประสบปัญหา" (Trobled Asset Relief Program หรือ TARP) เวลานี้จะเน้นไปที่การอัดฉีดเงินเข้าไปเพิ่มทุนให้ธนาคารที่กำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ขณะเดียวกันก็จะมองหาทางเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่พวกสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (nonbank) ด้วย


 


การช่วยเหลือพวก "นอนแบงก์" อาจจะครอบคลุมถึงพวกหนี้สินบัตรเครดิต และหนี้สินเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งในสหรัฐฯก็จะอยู่ในลักษณะเดียวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย นั่นคือมักจะถูกนำมาจัดแพกเกจใหม่และแปลงให้เป็นตราสารหนี้ เพื่อขายแก่นักลงทุนต่อไป พอลสันบอก


 


รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯกล่าวว่า แม้แผนการ TARP ในตอนเริ่มแรกจะจัดทำขึ้นมาเพื่อเข้าซื้อพวกตราสารหนี้อิงสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นสำคัญ "แต่จากการประเมินของเราในเวลานี้ กลายเป็นว่าการซื้อสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยออกมาไม่ใช่หนทางการใช้เม็ดเงินที่ของแผนการที่มีประสิทธิภาพที่สุดอีกต่อไปแล้ว" พอลสันบอก


 


"ผมจะไม่กล่าวขอโทษที่ได้เปลี่ยนแปลงแนวทางหรือยุทธศาสตร์เสียใหม่ ในเมื่อข้อเท็จจริงมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว" เขากล่าว "ผมคิดว่าการขอโทษควรจะเกิดขึ้นเมื่อข้อเท็จจริงได้เปลี่ยนไปแต่เรากลับไม่เปลี่ยนวิธีการตามไปด้วยต่างหาก"


 


อย่างไรก็ตาม พอลสันกล่าวว่าแผนการทีเออาร์พีไม่ได้มีอำนาจที่จะให้สินเชื่อโดยตรงเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ ทั้งนี้ 3 บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกัน นั่นคือ เจเนอรัลมอเตอร์ส (จีเอ็ม), ฟอร์ด, และไครสเลอร์ ต่างกำลังอยู่ในสถานะง่อนแง่น และออกมาเตือนว่า บริษัททั้งสามอาจจะถึงขึ้นขาดแคลนเม็ดเงินในเร็ว ๆนี้


 


"เรามีความกังวลต่อความอยู่รอดของอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ พวกเขาเป็นส่วนที่เป็นหลักของอุตสาหกรรมการผลิตอของเรา" ขุนคลังอเมริกันบอก อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่า จุดมุ่งหมายของแผนทีเออาร์พี คือการแก้ไขปัญหาของอุตสาหกรรมภาคการเงินเท่านั้น


 


คำพูดเหล่านี้ของรัฐมนตรีคลัง มีขึ้นหลังจากที่จีเอ็มและฟอร์ด ซึ่งขาดทุนรวมกันเป็นเงินถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ภายในปีนี้ ต่างออกมาเรียกร้องความช่วยเหลือจากรัฐบาล


 


สิ่งที่บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทั้งสองเรียกร้องก็คือเงินกู้ระยะสั้น 25,000 ล้านดอลลาร์เพื่อฉุดบริษัทให้พ้นจากการล้มละลาย จีเอ็มออกมาบอกว่าตอนนี้เงินสดที่อยู่ในมือบริษัทนั้นสามารถใช้ในการดำเนินงานไปได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น


 


โครงการทีเออาร์พี ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาโดยเบื้องต้นทีเดียว เพื่อให้รัฐบาลเข้าซื้อตราสารสินเชื่อที่อยู่ที่อาศัยที่ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง แต่นักวิเคราะห์หลายคนก็เตือนว่าเรื่องนี้อาจจะทำไม่ได้ เพราะว่ายากที่จะกำหนดราคาตราสารเหล่านี้ ในเมื่อสถานการณ์อันย่ำแย่จะทำให้ราคาร่วงลงไปเรื่อย ๆ


 


ด้วยเหตุนี้เอง พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯจึงได้หันไปเลียนแบบแผนการช่วยเหลือในอังกฤษตลอดจนประเทศอื่นๆ นั่นคือ การแก้ไขปัญหาขาดแคลนสภาพคล่อง ด้วยการเข้าไปลงทุนในธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ โดยตรง


 


พอลสันกล่าวต่อไปอีกว่า กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาที่จะเข้าช่วยเหลือพวกสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคประเภทต่างๆ ตลอดจนตราสารหนี้ที่หนุนหลังโดยสินทรัพย์ชนิดต่างๆ ซึ่งตลาดก็กำลังประสบภาวะชะงักงันอย่างรุนแรงเช่นกัน


 


"ภาคการเงินเพื่อการบริโภคที่นอกเหนือไปจากภาคการธนาคารเหล่านี้ ก็ประสบปัญหาเรื่องเงินทุนเช่นเดียวกัน" เขาชี้


 


"ต้นทุนการกู้ยืมในตลาดเหล่านี้พุ่งขึ้นทะลุฟ้า และธุรกรรมใหม่ ๆก็ชะงักงันโดยสิ้นเชิง"


 


พอลสันกล่าว และพูดต่อไปว่าการขาดแคลนสภาพคล่องในภาคธุรกิจเหล่านี้ "ทำให้สินเชื่อส่วนบุคคลอย่างเช่นสินเชื่อรถยนต์, สินเชื่อเพื่อการศึกษาและบัตรเครดิต มีดอกเบี้ยแพงขึ้นมหาศาล นอกจากนี้ปริมาณสินเชื่อใหม่ก็ลดลงอย่างมากด้วย


 


พอลสันกล่าวว่ากระทรวงการคลังและธนาคารกลางสหรัฐฯกำลัง "มองหาหนทางเพื่อพัฒนากลไกในการอัดฉีดสภาพคล่องใหม่ ๆ" สำหรับสินทรัพย์ที่อยู่นอกภาคธนาคารที่ได้รับการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดในขณะนี้ รวมทั้งหาทางใหม่ที่จะบรรเทาการบังคับขายบ้านติดจำนอง โดยไม่ต้องใช้วิธีที่ทางการเข้าไปซื้อหลักทรัพย์ที่อิงอยู่กับสินเชื่อที่อยู่อาศัย


 


อย่างไรก็ตาม ตลาดวอลล์สตรีทรู้สึกผิดหวังกับการเปลี่ยนแปลงของกระทรวงการคลังคราวนี้ จนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดวันพุธ ลดลงมา 411.30 จุด หรือ 4.73%--จบ—


 


 


"โอบามา"ยกเครื่องรบ.ครั้งใหญ่ ตั้งทีมทบทวนงานทุกกระทรวง


ผู้จัดการรายวัน : เอเอฟพี - บารัค โอบามา ระดมผู้เชี่ยวชาญมือหนึ่งตั้งทีมรวม 450 คน ทบทวนการทำงานของหน่วยงานรัฐบาลทั้งระบบครบทุกกระทรวงในช่วงของการส่งมอบอำนาจ หวังเริ่มงานตั้งแต่วันแรกที่เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี ท่ามกลางความคาดหวังจากทั่วโลกว่าเขาจะจุดชนวนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ


 


ทีมงานของโอบามาที่รับผิดชอบเรื่องการส่งมอบอำนาจเผยเมื่อวันพุธ (12) ว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ในคณะรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ตลอดจนเอกอัครราชทูต นักธุรกิจและนักกฎหมายชั้นนำ จะเข้ามาร่วมทีมทำงานในกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม โดยทีมงานส่งมอบอำนาจให้คำมั่นว่า คนของทีมซึ่งมีถึง 450 คนจะเข้าตรวจสอบการทำงานของสำนักงานและส่วนงานกว่า 100 แห่งของทำเนียบขาวชนิดที่ไม่ให้มีสิ่งใดรอดหูรอดตาไปเลยทีเดียว


 


"ทีมทบทวนการทำงานชุดนี้จะตรวจสอบการทำงานของสำนักงาน ส่วนงานและคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งทำเนียบขาวด้วย" แถลงการณ์ของทีมงานส่งมอบอำนาจระบุ และบอกเป้าหมายด้วยว่าเพื่อให้ทั้งว่าที่ประธานาธิบดีและว่าที่รองประธานาธิบดีได้รับ "ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการกำหนดนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ การจัดทำงบประมาณ ตลอดจนการจัดสรรบุคลากรก่อนที่จะรับมอบตำแหน่งอย่างเป็นทางการ"


 


ทั้งนี้ ทีมงานจะเริ่มงานภายในสุดสัปดาห์นี้ และจะรวบรวมข้อมูลให้ได้มากพอที่จะมั่นใจได้ว่า นับตั้งแต่วันแรกที่โอบามาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากจอร์จ ดับเบิลยู บุช คณะรัฐมนตรีที่ได้รับการคัดเลือกก็จะ "เริ่มนำเอาแผนนโยบายใหม่ออกมาปฏิบัติได้ทันทีที่เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง"


 


เท่าที่ผ่านมา โอบามาได้ประกาศชื่อเจ้าหน้าที่คณะรัฐบาลใหม่ของเขาเพียงคนเดียว นั่นคือ แรห์ม เอมานูเอล เป็นประธานเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ในขณะที่มีการคาดการณ์กันอย่างมากถึงตัวบุคคลที่จะเข้ารับตำแหน่งเจ้ากระทรวงสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง การต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม


 


สำหรับพวกเจ้าหน้าที่ทีมตรวจสอบทบทวนการทำงานนั้น ในส่วนของหัวหน้าทีมตรวจสอบการทำงานของกระทรวงการคลังคือ โจช กอตบอม อดีตเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในกระทรวงการคลัง ปัจจุบันเขาเป็นที่ปรึกษาให้กับกองทุนเพื่อการลงทุนซึ่งเน้นไปที่การปรับโครงสร้างกิจการ โดยที่ผ่านมาโอบามาก็ประกาศชัดเจนว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ทรุดดิ่งเป็นภารกิจอันดับแรกสุดของเขา


 


ทั้งนี้ บรรดาผู้นำโลกจากกลุ่มประเทศร่ำรวยและประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ 20 ประเทศ (จี 20) กำลังเตรียมเข้าประชุมสุดยอดที่วอชิงตันในวันศุกร์ (14) นี้ ซึ่งมีบุชเป็นเจ้าภาพ โดยจะร่วมกันคิดหาหนทางในการปฏิรูประบบการเงินโลก ทว่าผู้ที่หวังว่าจะได้พบทำความรู้จักกับโอบามาก็จะผิดหวังเพราะโอบามาได้ย้ำแล้วว่าจะไม่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้โดยให้เหตุผลว่า ในช่วงเวลาหนึ่งๆ สหรัฐฯจะต้องมีประธานาธิบดีเพียงคนเดียวเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม ทีมงานของโอบามาเลือกใช้วิธีประกาศแต่งตั้ง เมเดลีน อัลไบรต์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศยุคคลินตัน และจิม ลีช อดีตส.ส.อาวุโสสังกัดพรรครีพับลิกัน ให้เป็นตัวแทนของโอบามา เพื่อพบปะกับพวกผู้แทนต่างประเทศในการประชุมแบบนอกรอบ จากนั้นบุคคลทั้งสองจึงจะมาบรรยายสรุปให้โอบามาฟังในภายหลัง


 


"การประชุมสุดยอดในสัปดาห์นี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้รับฟังความเห็นจากผู้นำของประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจโลก" เดนิส แมคโดนัฟ ที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศอาวุโสของโอบามาระบุ


 


ในส่วนของทีมตรวจสอบการทำงานของกระทรวงอื่นๆ นั้น ที่กระทรวงการต่างประเทศ ทอม โดนิลัน อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีการต่างประเทศฝ่ายกิจการสาธารณะ เป็นผู้รับผิดชอบ ขณะที่จอห์น ไวท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยกระทรวงกลาโหมระหว่างปี 1995-1997 จะดูแลทีมตรวจสอบการทำงานของกระทรวงกลาโหม


 


 


ฮิวแมนไรต์วอตช์โวยแผนปราบยาเสพติด"สมชาย"เสี่ยงเกิด"ฆ่าตัดตอน"เหมือนยุค"ทักษิณ"


ผู้จัดการรายวัน : เอเอฟพี - "ฮิวแมนไรต์วอตช์" (HRW) กลุ่มรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนชื่อดังของสหรัฐฯ ระบุเมื่อวานนี้ (13) ว่า การที่รัฐบาลไทยรื้อฟื้นแผนปราบปรามยาเสพติดอีกครั้งอาจทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่าง "รุนแรง" รวมทั้งการสังหารชีวิตผู้คนนอกเหนือกระบวนการยุติธรรม


 


ทั้งนี้ หลังจากที่นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าเขาเตรียมที่จะรื้อฟื้นแผนกำจัดยาเสพติดเร่งด่วน 90 วัน เพื่อสานต่อ "สงครามปราบยาเสพติด" ที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้ริเริ่มไว้ ฮิวแมนไรต์วอตช์ ระบุว่าแผนการดังกล่าวอาจทำให้เกิดเหตุซ้ำรอยกับปี 2003 ซึ่งมีผู้ต้องสงสัยว่าค้ายาเสพติดเกือบ 3,000 คนถูกสังหาร ที่ยังไม่มีความผิดทางกฏหมายอย่างแน่ชัด


 


และแม้ว่าเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 8 นายถูกจับกุมและตั้งข้อหาลักพาตัวและทรมานผู้ต้องสงสัยเพื่อให้รับสารภาพ แต่แบรด แอดัมส์ ผู้อำนวยการฮิวแมนไรต์สวอตช์ประจำภูมิภาคเอเชียระบุว่า "ยังมีเจ้าหน้าที่ที่ต้องสงสัยว่าฆ่าผู้อื่นและกระทำการละเมิดต่อผู้อื่น ที่ยังคงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่"


 


"ขณะนี้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลนายสมชายกำลังอยู่บนภาวะสุ่มเสี่ยง รัฐบาลควรดำเนินการสอบสวนและลงโทษทางวินัยต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจในทางมิชอบครั้งก่อนๆ และปฏิรูปหน่วยงานก่อนที่จะมอบหมายให้ตำรวจเข้าปฏิบัติการตามแผนใหม่ มิฉะนั้นแล้วคงจะมีคนจำนวนมากขึ้นถูกฆ่าอีก"


 


ทั้งนี้ฮิวแมนไรต์สวอตช์ ยังแสดงความกังวลด้วยว่า ผู้ติดยาเสพติดจะถูกส่งเข้าไปอยู่ที่ศูนย์ฟื้นฟูของทหารหรือถูกจำคุก ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีด้วย ไม่ได้รับการบำบัดรักษา


 


 


เฉิน สุย เปี่ยนอดีตผู้นำไตหวันอดข้าวประท้วงถุกจับ


เว็บไซต์คมชัดลึก : นายเฉิง เหวิน ลัง ทนายความของนายเฉิน สุย เปี่ยน อดีตประธานาธิบดีไต้หวันแถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (13 พ.ย.) ภายหลังเดินทางไปเยี่ยมนายเฉินที่เรือนจำตู่เฉิง ชานกรุงไทเปว่า อดีตผู้นำไต้หวันได้เริ่มอดข้าวเพื่อประท้วงความยุติธรรมที่ตายแล้ว และประชาธิปไตยที่ถดถอยของไต้หวัน  โดยนายเฉินไม่ยอมรับประทานอะไรเลยนับตั้งแต่เดินทางถึงที่เรือนจำเมื่อกว่า 24 ชั่วโมงที่แล้ว และยืนยันว่าเขาจะอดอาหารประท้วงต่อไป


 



นายเฉินยังยืนยันว่าด้วยว่า ต่อต้านพรรคก๊กมินตั๋ง และพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน และต้องการอธิปไตยให้ไต้หวัน ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บอกว่า กำลังจับดูนายเฉินอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ยอมให้รายละเอียด



นายเฉิน ซึ่งอยู่ระหว่างการถูกสอบสวนตามข้อกล่าวหา รับสินบน และอีกหลายข้อหา ถูกนำตัวไปฝากขังที่เรือนจำเมื่อเช้าวันพุธที่ผ่านมา หลังศาลใช้เวลาไต่สวนมาราธอนนานกว่า 10 ชั่วโมงเพื่อสรุปว่ามีพยานหลักฐานแน่นหนาพอที่จะควบคุมตัวเขาไว้นาน 4 เดือนไว้สอบสวนในข้อกล่าวหา ยักยอกฉ้อโกงเงินหลวง รับสินบน ฟอกเงิน และปลอมแปลงเอกสาร โดยไม่ต้องมีการฟ้องร้องได้หรือไม่ ซึ่งศาลได้มีคำตัดสินอนุมัติให้ควบคุมตัวนายเฉินไว้ได้


 



นายเฉินซึ่งยังไม่ถูกตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการ ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และอ้างว่าตกเป็นเหยื่อทางการเมืองของรัฐบาลซึ่งปกครองโดยพรรคก๊กมินตั๋ง ที่ต้องการเอาใจจีน โดยระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนาน 8 ปีก่อนจะหมดวาระเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายเฉินดำเนินนโยบายเป็นปรปักษ์กับจีนมาตลอด และยังคงสนับสนุนอย่างแข็งขันให้ไต้หวันเป็นเอกราช และคัดค้านนโยบายของพรรคก๊กมินตั๋งที่หันมากระชับความสัมพันธ์กับจีน


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net