สัมภาษณ์: จักรภพ เพ็ญแข อเมริกาเปลี่ยนแล้ว? ไทยเปลี่ยนหรือยัง?

ประชาไทสัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข วันที่ 7 พ.ย. หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีคนใหม่ ที่มาพร้อมบรรยากาศแห่งการเปลี่ยนแปลง ภายใต้จุดขายสั้นๆ Change!!

แม้ว่าการเปลี่ยนผู้นำของสหรัฐอเมริกาจะส่งผลต่อจิตวิทยาคนอเมริกันค่อนข้างชัดเจน แต่แน่นอนว่าบทบาทของอเมริกายังในฐานะผู้นำของโลกจะยังไม่เปลี่ยน ขณะที่บทบาทของอเมริกาต่อเศรษฐกิจโลกยังต้องจับตามองต่อไป และไทยจะวางบทบาทตัวเองอย่างไรหรือปรับตัวทันหรือไม่ ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง

 

ขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกกำลังรื่นเริงกับบรรยากาศของการเปลี่ยน ความรื่นเริงเช่นนี้ จะมาถึงไทย ประเทศที่รบศึกภายในมายาวนานกว่า 3 ปี ได้บ้างหรือไม่ และเมื่อใด

000000

 

 

การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผ่านมาคนอเมริกันดูตื่นตัวเรื่องความเปลี่ยนแปลง มองอย่างไรกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

ความจริงไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคราวที่บิล คลินตัน ได้รับเลือกตั้งในปี 1992 เพราะเมื่อคราวที่คลินตันได้รับเลือกตั้งเป็นช่วงหลังจากที่พรรครีพับลิกันครองเมืองมา 12 ปี ได้แก่โรนัลด์ เรแกน 2 วาระ และจอร์จ บุช ผู้พ่อ 1 วาระ

 

ครั้งนั้นคลินตันก็ขี่พาหนะลำที่ชื่อว่า "Change" หรือความเปลี่ยนแปลงมาเหมือนกัน ส่วนคราวนี้ก็เป็น จอร์จ ดับเบิลยู บุช 2 วาระ มีภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง มีสงครามที่ไม่รู้จะเป็นเวียดนาม 2 หรือไม่ และมีภาวะที่สหรัฐฯ มีภาพลักษณ์ที่เสื่อมลงในสายตาชาวโลกไม่แพ้เมื่อทศวรรษ 1960 เพราะฉะนั้น โอบามาจึงมีภาษีเหนือแมคเคนมาตั้งแต่ต้น บวกกับลัทธิบูชาบุคคลซึ่งทำให้ความหนุ่ม ความคล่อง ความหน้าตาดี ความรู้จักพูด ความฉลาดทางสังคม ทำให้โอบามาเป็นสินค้าที่ใหม่สด ตรงกับความต้องการของตลาดการเมืองสหรัฐฯ

 

ส่วนแมคเคนเป็นตรงข้ามทุกอย่างของโอบามา ถ้าเรามองไปในอนาคตแล้วโอบามาประสบความล้มเหลวในการบริหารงานแล้วทำอะไรที่ไม่มีอนาคตเลย ทำอะไรก็ผิด คนจะวิ่งไปหาคนอย่างแมคเคนกันหมด คือแมคเคนมาผิดเวลา คนที่เหมือนแมคเคนในสมัยที่ 2 ของโอบามาจะมีสิทธิชนะโอบามาได้ แต่ไม่ใช่แมคเคนในสมัยนี้ที่คนกำลังต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่แมคเคนเป็นด้านตรงข้ามกับความเปลี่ยนแปลง

 

แมคเคนเป็นภาพความต่อเนื่องทางด้านประวัติศาสตร์ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาคือผู้เฒ่าครองเมือง เป็นเรื่องของไส้สนกลใน ใครรู้จักใคร ลูกใครแต่งงานกับลูกใคร บริษัทใครเป็นของใคร ถ่ายทอดกันมาเหมือนคนจีนเล่นไพ่นกกระจอก เหมือนคนไทยเล่นแชร์แล้วก็มีงานเลี้ยงรุ่น ฝรั่งเขาก็มีก๊วนเขาเหมือนกัน

 

พูดง่ายๆ คือโอบามาเป็นตัวแทนของคนไร้ก๊วน แมคเคนเป็นตัวแทนของคนมีก๊วน ซึ่งอารมณ์ทางสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นวงจร บางครั้งก็เอาคนมีก๊วนดีกว่าเพราะรู้ว่าจะติดต่อใคร ทำงานเป็น แต่บางครั้งก็บอกว่าไอ้มีก๊วนนี่แหละที่ทำให้พวกเราซวยเพราะเอาแต่พวกตัวเอง ก็เอาคนที่เป็นแบบข้ามาคนเดียว

 

เพราะฉะนั้น ความตื่นเต้นคราวนี้ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นความตื่นเต้นตามวงจรแล้วโอบามามีสิทธิที่จะประสบกับภาวะตกจากความนิยมได้ง่ายกว่าที่แมคเคนจะเป็น เพราะเป็นอารมณ์เปลี่ยนแปลงตามวงจรโดยมีบุคลิกของคนเข้ามาช่วย

 

แสดงว่าเป็นภาวะความต้องการของคนที่จะเปลี่ยนเท่านั้น

มันเป็นเรื่องของความต้องการที่จะเปลี่ยนแล้วโอบามาเสนอตัวมาเป็นโปรดักท์ที่จะเปลี่ยน แต่ว่าในทัศนะส่วนตัวยังไม่มีอะไรที่ชี้ว่าโอบามาจะประสบความสำเร็จ โอบามาเป็นภาพลวงตาขนาดใหญ่ แต่เราอย่าไปดูถูกความฉลาดของเขา

 

คนที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดูจากประวัติศาสตร์มี 2 แบบ คือคนที่มาเป็นแล้วนำสิ่งที่ดีที่สุดของตนเองมาใช้ได้ คือยิ่งใหญ่กว่าสมัยที่ยังไม่ได้เป็นประธานาธิบดี อีกแบบหนึ่งคือเล็กลง ตำแหน่งมันครอบเสียอยู่ ตัวเองก็กลายเป็นทาสตำแหน่ง ทำอะไรก็ตามที่ระบบราชการเสนอรายงานขึ้นมา รอรับรายงาน ผู้นำเราแบบนี้ก็มี ประเด็นคือจะเป็นผู้รับเอาตำแหน่งไปทำงาน หรือจะถูกตำแหน่งคุมเป็นทาส

 

ตรงนี้ต้องยกประโยชน์ให้จำเลยก่อนเพราะโอบามาอาจเกินคาดเราก็ได้ เพียงแต่สิ่งที่ดูมาก่อนการเลือกตั้งยังไม่มีอะไรชี้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จแบบพลิกผันได้

 

ตอนที่คลินตันขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีนั้นมีโอกาสมากกว่าเยอะ เพราะว่าบุชคนพ่อประสบความล้มเหลวในทางโครงสร้างคือ บุชคนพ่อไปทำสงครามอ่าว (Gulf War) ไล่ ซัดดัม ฮุสเซ็น ออกจากคูเวตแล้วกลับเลย ถือว่าเป็นสงครามที่ประสบความสำเร็จมาก เพราะไม่ต้องควักเงินตัวเองทำสงคราม แต่เอาเงินเศรษฐีอ่าวที่กลัวอิรักจะบุกต่อ บวกกับเงินของญี่ปุ่น บวกกับเงินของฝรั่งเศส บวกเงินอังกฤษ งานนั้นนักรบอเมริกันเป็นนักรบรับจ้างและได้กำไรกลับบ้าน แต่บุชประสบความล้มเหลวในการจะแปรตรงนี้มาเป็นความสำเร็จในปัจจุบัน

 

เพราะฉะนั้นบุชคนลูกจึงได้เอาบทเรียนของพ่อไปทำสงครามตอนโค่น ซัดดัม ฮุสเซ็น โดยอ้างเรื่อง 9/11 แล้วก็ไม่ยอมออกไม่ว่าสงครามจะชนะหรือแพ้ เพราะจุดประสงค์คือต้องการจะได้ทรัพยากรน้ำมันจากตะวันออกกลางก่อนจีน

 

สงครามขณะนี้เป็นสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และบุชก็วางแผนที่จะไป position ตัวเองไว้ในตะวันออกกลาง ปัญหาคือบุชคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าพ่อ ทำสงครามโดยมีคำตอบทางเศรษฐกิจ แต่ผลปรากฏว่าคำตอบทางเศรษฐกิจมันก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะความซับซ้อนของพื้นที่มันมีสูง มีความแตกต่างทางศาสนา มีความเหลื่อมล้ำทางสังคม มีลัทธิชาตินิยม ซึ่งบุชอาจจะมองต่ำไปแต่มันมีผล ทำให้สหรัฐอเมริกากำลังประเมินตัวเองตลอดเวลาว่าได้คุ้มเสียหรือไม่

 

ในแง่ยุทธศาสตร์นี่ถือว่าปราดเปรื่องมากนะ แต่ในแง่ของยุทธวิธีแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นจากฐานตรงนี้เลยทำให้โอบามาเองไม่ได้มีโอกาสดีเหมือนคลินตัน เพราะว่าสิ่งที่บุชคนลูกทำจะก่อให้เกิดผลประโยชน์อเมริกันมากกว่าที่บุชคนพ่อทำ บุชเสื่อมความนิยมอย่างหนักแต่อีกไม่เกินปีหรือสองปีผลประโยชน์จะไหลเข้าสหรัฐฯ เพราะบุชไม่ใช่แค่ไปตีเมืองแต่ไปยึดอิรักเป็นเมืองขึ้น เป็นรัฐที่ 51 ไปเปลี่ยนระบบบริหารเขาทั้งหมดแล้วไปจัดสรรผลประโยชน์ใหม่ กลุ่มมาเฟียก็เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด

 

เพราะฉะนั้นเมื่อระบบเหล่านี้มันเข้าที่ ท่อนำมัน ท่อก๊ซธรรมชาติ บริษัทอเมริกันไปลงทุนทำไฟฟ้าใหม่ ทำระบบประปาใหม่ ไปทำโรงพยาบาลใหม่ ทำอะไรใหม่หมด จะเริ่มนำเม็ดเงินเข้าสู่อเมริกา เพียงแต่บุชอยู่ไม่ทันที่จะเสวยสุข ดังนั้นตอนนั้นถ้าโอบามาฉลาดก็ต้องเทคเครดิต อันนั้นเป็นเรื่องเกมทางการเมืองแล้วว่าใครจะเก่งกว่ากัน

 

แต่โอกาสทางเศรษฐมันแลกด้วยภาพลักษณ์ที่ยับเยินต่อชาวโลกไปมาก

อเมริกาอาจจะคิดว่าภาพลักษณ์ที่ดีกินไม่ได้ก็ได้ คือ เอางี้ดีกว่า อเมริกาภายใต้บุชคนลูก เขายอมที่จะเป็นปีศาจที่จำเป็น เพราะเขาอ่านเกมออกว่า คนไม่ได้คบกันเพราะความจน แต่คนคบกันเพราะความจำเป็น เขาก็ทำตัวให้เป็นสิ่งจำเป็น ถึงจะเกลียดกันก็ไม่มีใครทำได้เท่าเขา แต่ปัญหาก็คือสหรัฐฯ กำลังจะแพ้สงครามเศรษฐกิจกับจีน ในประเด็นใหญ่ที่สุดก็คือเรื่องเม็ดเงินในการลงทุน

 

เดิมทีสหรัฐฯ ทำระบบเศรษฐกิจแบบเศรษฐกิจชนชั้นนำ หมายความว่า ทุกประเทศมี bank ทุกประเทศมีบริษัทธุรกิจ ทุกประเทศมีหอการค้า ทุกประเทศมีสภาอุตสาหกรรม แต่สิ่งที่เขาไม่มีเท่าอเมริกันก็คือ เขาไม่มีเครื่องมือตักเงินที่จะดูดทุนจากที่ต่างๆ มารวมตัวกันใประเทศได้เท่าสหรัฐฯ เครื่องมือเหล่านั้นคืออะไร คือ บริษัทอย่างมอร์แกนสแตนลีย์ บริษัทอย่างเลย์แมนบราเธอร์ คือกองทุนรวมเวนเจอร์แคปปิทอลิสต์ ที่เรียกว่าเวนเจอร์แคปอย่างของจอร์จ โซรอส

 

หน้าที่ของคนเหล่านี้คือดูดเงินทุนจากโลกมาอยู่ที่สหรัฐฯ ทำให้นครนิวยอร์คเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของโลกทุนนิยม ในยุคที่สหรัฐฯ เป็นจักรวรรดิ เป็นอภิมหาอำนาจ แต่เห็นไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น บริษัทเหล่านี้ล้มตึงลงเพราะ หนึ่ง ไม่สามารถจะดูดเงินทุนมาได้เท่ากับการไปลงทุน ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือเป็นการหมุนเงินในระดับโลกแล้วหมุนกันไม่ทัน ผลก็คือ บริษัทอย่างเลย์แมนบราเธอร์ มอร์แกนสแตนลีย์ เจพีมอร์แกน กำลังจะค่อยๆ ลดระดับจากการเป็นกองทุนกลายเป็นธนาคาร ซึ่งธนาคารต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธนาคารชาติสหรัฐฯ ก็แปลว่าไม่สามารถไปดูดเงินมาได้เต็มที่เหมือนเดิม มันติด จะเอาเงินฝากต้องเป็นไปตามกฎหมายนี้ จะให้ดอกเบี้ยสูง ดอกเบี้ยต่ำก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายหนึ่ง พูดง่ายๆ ว่าธนาคารถูกคุมแจไม่สามารถจะเป็นกองทุนดูดเงินเสรีได้ หลังจากที่ล้มตอนนี้พวกนั้นกลายเป็นธนาคารหมด

 

แล้วบุชก็ได้พวงหรีดพวงสุดท้ายด้วยการอนุมัติเงิน 700,000 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งมาจากกระเป๋าเงินคนอเมริกันไปอุ้มบริษัทพวกนี้ แต่ถึงอุ้มก็เป็นได้แค่ธนาคาร เพราะฉะนั้นสหรัฐฯ ตอนนี้จึงได้เกิดปัญหาว่าจะรักษาสภาพได้อย่างไร

 

เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ความผิดของโอบามา แต่ผมกำลังสัยว่าโอบามาจะมีเวลาและทรัพยากรพอหรือไม่ที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนี้โดยไม่ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจนี้กลายเป็นของตน ปัญหาของบุชนะ... แต่ถ้าโอบามาเป็นประธานาธิบดีเกิน 2 ปี ก็กลายเป็นปัญหาของโอบามา เพราะบุชหายออกไปจากภาพแล้ว เขาจะรับมรดกปัญหานี้มาเลย ถ้าถามผม โอบามามีเวลาไม่เกิน 2 ปี ซึ่งสั้นมากสำหรับการแก้ไขปัญหาระดับโครงสร้าง

 

2 ปี คืออะไร เพราะอเมริกาจะมีการเลือกตั้งกลางวาระ เป็นการเลือกตั้งที่สภาแต่เป็นการวัดความนิยมประธานาธิบดีเหมือนที่คลินตันเคยแพ้มาแล้ว

 

ตอนคลินตันชนะเป็นประธานาธิบดีก็เหมือนอย่างโอบามา ทุกคนลงไปดิ้นพลาดๆ ตั้งชื่อลูกว่าคลินตันหมดเหมือนตอนนี้ตั้งชื่อลูกว่าบารัก ลูกสาวตั้งว่ามิเชล ซึ่งเป็นชื่อภรรยาโอบามา แต่ว่าคลินตันเดินเกมไปแล้วปรากฏว่าแพ้ตั้งแต่ต้น นโยบายหลักของเขาคือ Health Care เหมือนเราทำ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่ของอเมริกาคือทำระบบประกันสุขภาพขนาดใหญ่ ให้ ฮิลลาลี่ คลินตัน ภรรยาและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งในขณะนั้นเป็นหัวหน้า ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์เลย แต่สภาไม่เอา พอสภาไม่เอา คลินตันก็ดาวน์ฮิลล์ลงมาเรื่อยๆ รีพับลิกันก็ตีตื้นได้ มีการเลือกตั้งกลางเทอมจนกระทั่งกลายเป็นสภาที่ครองเสียงข้างมากทั้งสภาสูงและสภาล่าง คุมรัฐบาลคลินตันจนถึงขั้นไม่อนุมัติงบประมาณแผ่นดินให้ คลินตันต้องใช้วิธีปิดระบบราชการ คือไม่ให้เงินก็ไม่ทำ เป็นอย่างนี้อยู่สิบกว่าวันจนคนอเมริกันบอกว่าคืนดีกันเถอะ สร้างแรงกดดันไปที่สมาชิกสภาแต่ละคนในเขตตัวเอง จึงได้มานั่งคุยกันและยอมเปิดแต่ก็ต้องตัดงบประมาณตามที่สภาต้องการค่อนข้างมาก

 

เรียกว่า คลินตันเป็นคนที่คอมโพรไมซ์มาก (ประนีประนอม) ได้รับความนิยมสูงเมื่อเลือกตั้ง เสื่อมความนิยมเร็วจนแพ้การเลือกตั้งเมื่อเลือกตั้งกลางเทอม แล้วก็ใช้เวลา 1 ปีในการตีตื้นขึ้นมา ซึ่งหลายคนมองว่าจริงๆ แล้วคลินตันควรจะแพ้เลือกตั้งปี 1996 ด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่รีพับลิกันก็ทำผิดอีกด้วยการไปเลือกคนแบบแมคเคน มาแข่งกับคลินตันในปีนั้น คือ บ็อบ โดล

 

บ็อบ โดล เป็นขวัญใจและควรจะเป็นประธานาธิบดี เมื่อ 10 ปีก่อน คือเป็นสินค้าเกินเวลา จึงเป็นช้อยส์ที่คนอเมริกันเลือกไม่ได้ 4 ปีต่อมาหลังจาก 1996 ความเห็นส่วนใหญ่ของคนอเมริกันตอนนั้นคือเลือกคลินตัน ไม่ใช่เพราะชอบคลินตัน แต่เพราะเลือกโดลไม่ลง ซึ่งไม่ใช่ความสำเร็จของคลินตัน แต่ก็ประคองตัวเองมา

 

อย่างไรก็ตาม คลินตันเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเรื่องการศึกษา ลดภาษีเกี่ยวกับเรื่อง SMEs ทำให้ SMEs ผุดขึ้นเยอะและมีรายได้ใหม่เข้ามา ตอนนั้นจีนยังไม่ได้เปิดประเทศเต็มที่ และคลินตันกำลังเดินหน้าไปสู่ประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ในสมัยที่ 2 ก็มาเกิดกรณีโมนิก้า เลวินสกี้ เสียก่อน จนในที่สุดก็กลายเป็นประธานาธิบดีที่ถูกจำด้วยเรื่องเซ็กส์ มากกว่าเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ ที่เล่าคลินตันเพราะโอบามาต้องดูบทเรียนเหล่านี้

 

ความเป็นคนผิวสีของโอบามาสะท้อนนัยยะของความเปลี่ยนในสังคมอเมริกันหรือไม่

พูดยาก เพราะโอบามาไม่ใช่ตัวแทนของคนผิวดำจริงๆ คนผิวดำในอเมริกาที่ถือว่าเป็นกระแสหลักคือลูกหลานของบรรพบุรุษที่ถูกเกณฑ์ลงเรือทาสมาจากอาฟริกา มาถึงแล้วก็ถูกตีค่าว่าเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งนับว่ามีวัวกี่ตัว มีทาสกี่คนอยู่ในบัญชีเดียวกัน ไม่ได้คิดว่าเป็นคน คนผิวดำอเมริกันไปอยู่ทางใต้เยอะเพราะไปทำการเกษตรขนาดใหญ่

 

คนอาฟริกาจริงๆ ตัวไม่ใหญ่ แกร็น กล้ามเนื้อแข็ง แต่ไม่ค่อยทนงานโดยเฉพาะเมื่อเข้ามาอยู่ในอเมริกาซึ่งหนาว เพราะฉะนั้น นายทุนอเมริกันที่เป็นผิวขาวปฏิบัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนถึงขั้นผสมพันธุ์ใหม่ทำให้คนดำในอเมริกาตัวใหญ่กว่าคนดำในอาฟริกา ผสมพันธุ์เหมือนวัวเหมือนควายเลย คือเขาเห็นอย่างนั้นจริงๆ สังเกตดูคนอเมริกันผิวดำจึงได้ตัวใหญ่กว่าคนอาฟริกาที่เป็นบรรพบุรุษมาก

 

แล้วก็ไม่ยอมปล่อยให้เป็นคน โอกาสที่จะออกไปสังสรรค์เสวนาเหมือนคนผิวขาว ดูหนังฟังเพลงก็ไม่มี เขาจึงได้มานั่งล้อมวงกันรอบกองไฟแล้วร้องเพลงที่คร่ำครวญถึงบ้านเป็นที่มาของเพลงบลูส์ ภายหลังพวกที่เปลี่ยนจากไร่นาการเกษตรไปอยู่โรงงานก็ไปเอาแจกันทองเหลือง เอาถ้วยทองเหลืองมาหล่อต่อกัน เคาะหรือทำอะไรไปจนกลายเป็นแจ๊ส แต่ทั้งหมดนี้โอบามาไม่ได้มีส่วนแชร์ด้วยเลย มาจากดาวอังคารเลย

 

พ่อของโอบามามาจากเคนยาก็จริงแต่ไม่ได้มาในฐานะทาส แล้วตัวเองก็มาโตในอินโดนีเซีย มีแม่เป็นคนผิวขาวอีก จะว่าไปแล้วโอบามาเป็นส่วนผสมที่ดีในแง่ของภาพลักษณ์สังคมอเมริกันโดยรวม

 

สังคมอเมริกัน ถ้าแบ่งคร่าวๆ จะแบ่งได้เป็น 3 ส่วนคือ ผิวขาว ผิวดำ และผิวสี ผิวสีคืออย่างพวกเรา ผิวเหลือง ผิวแดง ผมว่าโอบามาเป็นแชมเปี้ยนส์ของผิวสีมากกว่าผิวดำ แต่แน่นอนคนผิวดำเห็นแค่นั้นก็น้ำตาไหล เพราะเขานึกถึงตัวเขา มันยากเหลือเกิน

 

แต่โอบามาก็ซวยตรงนี้ เพราะโอบามาขณะนี้เป็นมโนภาพของคนที่ตั้งขึ้นมาในใจว่าเป็นตัวแทนของคนผิวดำทั้งมวล เป็นลูกดำคนแรกที่ได้เป็นประธานาธิบดี เพราะฉะนั้นโอบามาจึงเผชิญกับความคาดหวังของสังคมที่สูงมากกว่าที่ผู้นำทั่วไปควรได้รับ เมื่อไหร่ก็ตามที่คนมีความคาดหวังสูงมากก็ซวยสิ เพราะต้องบริหารความคาดหวัง มันเหนื่อย ผู้นำมันมีพลาดได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเขาคาดหวังกับเรามาก พลาดนิดเดียวก็อาจจะพลาดใหญ่ ตอนนี้โอบามาต้องเผชิญกับด่านแรกแล้วก็คือการตั้งคณะรัฐมนตรี

 

ประธานาธิบดีสหรัฐมีตำแหน่งที่ต้องแต่งตั้งด้วยมือของตัวเองเป็นพันตำแหน่ง แล้วแต่ละคนจึงไปตั้งอีกพัน ตำแหน่งที่ตั้งในแต่ละครั้งจึงเป็นหมื่นตำแหน่ง เป็นการเปลี่ยนคณะผู้บริหาร เขาจึงไม่เรียกว่า government

 

ในอเมริการัฐบาลใหญ่เขาจะเรียก U.S. administration แล้วแยกออกมาจึงมี government ซึ่งคือระบบราชการ อีกส่วนเรียก political appointment หรือพวกที่มาจากการเมืองแล้วก็มีอำนาจคาบเกี่ยวกันก็คือประธานาธิบดีมีอำนาจตั้งรองประธานาธิบดี รัฐมนตรีทั้งหลาย ผู้ช่วย ไปตั้งหัวของกระทรวง ระบบของอเมริกา ประธานาธิบดีมีอำนาจตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีซึ่งทำหน้าที่เหมือนปลัดกระทรวง ถ้าพูดง่ายๆ ระบบอเมริการเหมือนมีปลัดกระทรวง 2 คน คือปลัดกระทรวงฝ่ายการเมืองและปลัดกระทรวงที่เป็นข้าราชการประจำ แต่อำนาจอยู่ที่ฝ่ายการเมืองทั้งหมด

 

นี่คือด่านแรกของโอบามาคือต้องคิดว่าจะต้องตั้งใคร สมมติตั้งคนผิวสีมากก็โดน คือ เล่นพรรคเล่นพวก แต่ถ้าไม่ตั้งเลยก็คือเนรคุณ อุตส่าห์เป็นคนนิโกรคนแรกทั้งที อย่างน้อย Key Candidate Post หรือตำแหน่งหลักๆ ทางด้านรัฐมนตรี ซึ่งสหรัฐมี state หรือ รัฐมนตรีต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมบวกอัยการสูงสุด (Attorney General) ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (Budget Directory) ตำแหน่งเท่ารัฐมนตรี ทูตประจำสหประชาชาติ (Ambassador of UN) ตำแหน่งก็เท่ารัฐมนตรี

 

ตำแหน่งสำคัญๆ (Key Post) มีประมาณนี้ ความท้าทายของโอบามาคือจะแต่งตั้งคนผิวสีในนี้เท่าไหร่ เพราะประธานาธิบดีคนผิวขาวโดนด่ามาหลายยุคแล้วว่า คุยว่าแต่งตั้งคนผิวสี แต่ก็แต่งตั้งไปซ่อนอยู่ในตำแหน่งเล็กๆ ดังนั้นโอบามาทำอย่างเดียวกันไม่ได้ ปัญหาก็คือโอบามาจะโดนศอกกลับในสิ่งที่คนขาวเคยโดนหรือไม่

 

มีคำว่า Affirmative Action หรือการใช้โควต้า คือยอมรับว่ามีความไม่เท่าเทียมกันอยู่จึงต้องจัดโควต้า ไม่สามารถปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติได้ คำถามคือวันหนึ่งที่คุณเริ่มแล้วแค่ไหนจึงพอดี เช่น บริษัทหนึ่งมีกันอยู่ 10 คน ไม่จ้างคนผิวดำเลย แต่ถูกบอกว่าไม่ได้ ต้องมีอย่างน้อย 3 คน แล้วคนขาวบอกว่า อ้าว...แล้วคุณพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า 3 คนนี้เก่งกว่า ตกลงคุณเอาเก่งหรือคุณเอาผิว เพราะฉะนั้น Affirmative Action จึงเป็นที่ดูแคลน แต่สำหรับคนผิวดำบอกว่ามันเป็นทางเดียวเท่านั้นที่ทำให้ก้าวข้ามการเหยียดผิวได้ แต่พอสร้างเข้าไปมันก็ไปสร้างปัญหาใหม่ โอบามาจะโดนเรื่องนี้ ผมพยากรณ์ไว้ ไม่ทำก็ไม่ได้ ทำก็ซวย แต่ที่สำคัญที่สุด เรื่องพวกนี้ไม่ทำให้ตาย อย่างมากก็แสบๆ คัน แต่เรื่องที่จะถึงกับตายคือเรื่องเศรษฐกิจ ว่าไม่สามารถจะแก้เกมที่บุชทำแล้วก็วิ่งหนีไปได้

 

ในระบบเศรษฐกิจโลกที่เป็นการช่วงชิงระหว่างอเมริกากับจีน ไทยอยู่ตรงไหน

เผอิญว่าเมืองไทยมีโครงสร้างทางสังคมที่ทำให้คนเป็นเด็กแล้วก็คิดพึ่งคนอื่นมาตลอด เลยทำให้คนเก่งเมืองไทยไม่ได้อยู่เมืองไทย คนเก่งเมืองไทยก็เก่ง แต่ว่าเก่งตีกรอบให้ตัวเองว่าเก่งมากจะซวย เพราะฉะนั้นก็เลยอยู่กันแบบกึ่งดิบกึ่งดีกันอยู่อย่างนี้ จนกว่าเราจะทำอะไรบางอย่างได้

 

ประเด็นก็คือว่า คนไทยที่เก่งควรจะไปขุดทองที่สหรัฐฯ เพราะว่าตอนนี้อำนาจมันกระจายไปหมดแล้ว ไม่ใช่ว่าไปหากินที่นู่นแล้วไม่กลับนะ หมายถึงว่าในนามบริษัทไทยไปทำเรื่องไฟแนนซ์ที่โน่นแล้วก็กลับ เพราะคนไทยอยู่อเมริกาไม่ได้หรอก สังคมมันไม่เหมือนเมืองไทย คนไทยชอบทำอะไรด้วยกัน คนไทยชอบเละๆ เทะๆ มันเป็นความแฮปปี้อันหนึ่ง คือเราเรียนไม่เก่งไม่สำคัญถ้าเกิดเพื่อนทั้งกลุ่มมันโง่เท่ากัน มันฉลาดขึ้นมาสักคนนึงก็เป็นที่เดือดร้อนแล้วมันก็จะถูกขับไล่ออกจากกลุ่ม

 

คนไทยชวนกันลงด้วยกันก็ถือว่าเป็นซีเคียวริตี้ การที่ทั้งกลุ่มเป็นเหมือนกันก็ถือว่าเป็นความมั่นคง ถ้านั่งด้วยกันมึงไม่เมามึงตาย คบกูไม่ได้มึงต้องเมาเท่ากู อยู่กันอย่างนี้ กินข้าวคนเดียวไม่เป็น ดูหนังคนเดียวไม่ได้ นี่คือสันดานไทย

 

เพราะฉะนั้น มันเลยง่ายสำหรับคนที่ต้องการจะคอนโทรลคนไทย ทำไปทีละกลุ่มเหมือนใยแมงมุม คนไทยที่นิสัยไม่เหมือนคนอื่นก็ควรจะถือว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าไปตีเมืองขึ้น อันที่สองนี่ต้องโฟกัสไปที่จีน นโยบายระดับชาติ เพราะผมว่าโอบามาจะแก้ปัญหาอเมริกาไม่ทันก่อนที่จีนจะผงาดขึ้นมาแทน แล้วอีกอย่างคือ โอบามาไม่ได้เลือดเย็นเท่ารีพับลิกัน ซึ่งมีรัมสเฟล พอเขารู้ว่าจีนกำลังจะเหนือเขา เขาทำแผ่นดินไหวขึ้นมาได้เลย เรื่องแผ่นดินไหวนี่ก็เป็นนวัตกรรมนะ กำลังมีหลักฐานชัดขึ้นทุกทีว่าเป็นเรื่องแมนเมด พอจีนจะขึ้นก็ไหวทุกที พอจีนจะขายสินค้าได้ก็อาหารเป็นพิษทุกที

 

โลกมันเป็นอย่างนั้น มันทารุณ ปัญหาก็คือ โอบามา ผมว่าด้วยความเป็นวุฒิสมาชิกสมัยแรกไม่น่าที่จะเลือดเย็นได้ขนาดนั้นแล้วก็น่าจะแพ้จีน แต่เผอิญเขาเลือกหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเขาคนหนึ่งซึ่งผมรู้จัก  อายุน้อย เคยเป็นลูกน้องระดับล่างๆ แต่ว่ามันเหยียบทุกคนหมดเลยในทีมเพื่อขึ้นมาเป็นหัวหน้าใหญ่ แล้วตอนนี้มันได้เป็นหัวหน้าสำนักงาน ชื่อ ราม เอ็มมานูเอล (Rahm Emmanuel) มีตำแหน่งที่เรียกว่า Chief of Staff คือเป็นหัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดี ตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดกับไทยคือ เลขาธิการนายกฯ แต่ว่าใหญ่กว่านั้นมาก

 

ราม เอ็มมานูเอล คือ ตำแหน่งแรกที่โอบามาตั้งเมื่อวาน (6 พ.ย.) นี้ คือตั้งราม เอ็มมานูเอลเป็น Chief of Staff ตำแหน่งนี้คองเกรสไม่ต้องยืนยัน เป็นตำแหน่งในอำนาจประธานาธิบดี พูดง่ายๆ คือหัวหน้าทีมตัวเอง คนนี้น่าจะพอถ่วงดุลให้กับโอบามาได้ คือโอบามาเล่นบทพระเอก เป็น nice guy ไปช่วยเด็กผิวสีทั่วโลก ส่วนรามก็หาทางที่จะไปปล้นทรัพย์ระหว่างประเทศ

 

สรุปคือไทยน่าจะไปขุดทองแล้วกลับมา อันที่สองน่าจะโฟกัสไปที่จีน อันที่สามก็คือรัฐบาลไทยน่าจะหาทางสนับสนุนให้เด็กไทยที่ไปโตในอเมริกาเข้าไปมีตำแหน่งในรัฐธรรมนูญ เพราะอเมริกาไม่ใช่ประเทศแต่เป็นที่รวมของกลุ่มผลประโยชน์ ในอนาคตเราควรปั้นเด็กไทยอเมริกันให้เป็น Key Post สำหรับรัฐบาลในอนาคต

 

เราควรเริ่มสร้างตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มพามาในเมืองไทย ต้องศึกษาบทเรียนอย่างกรณีไทเกอร์ วูดส์ พอเขาเป็นแชมเปียนส์ก็มาตื่นเต้น แต่พอเขามาก็ด่าเขาว่าไม่รู้จักบุญคุณ เขาก็ว่ากลับ ว่าไม่เห็นเคยเลี้ยงเขามาเพิ่งจะมาทวงบุญคุณกัน เราควรเลี้ยงเด็กพวกนี้ให้ดีกว่าที่ไทเกอร์ วูดส์เคยเจอ ไม่งั้นเขาจะไม่รู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณอะไรเมืองไทย นอกจากเลือดแม่ที่ติดมา

 

แม้รู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ไทยรีแอคต่อโลกไม่ใช่

ก็มัวกระทืบกันอยู่ในประเทศ ผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองไทยที่คอยเชิดหุ่นอยู่ไม่กล้าไปแข่งกับข้างนอกเขาเลย กลัว รู้ไหมฮีโร่ผมคือใคร คือเมียฝรั่งที่ไปอยู่ในยุโรป พวกเมียสั่งทางไปรษณีย์ พวกนี้มันคุมฝรั่งอยู่หมัด พวกผู้นำไทยไม่มีปัญญาทำได้อย่างนั้นหรอก

 

เมียฝรั่งตอนไปพูดก็ไม่เป็น ไปอยู่สักพักทนไปทนมา เขามอบสมบัติให้หมด แล้วก็เอาพี่น้องไปอีกกลับมาก็มีหมู่บ้านฝรั่งอยู่แถวอีสานเยอะไปหมด เป็นคนที่รักษาผลประโยชน์ของชาติมากกว่ารัฐบาลไหนที่ผมเคยเห็นมา พอได้สมบัติเขามาแล้วก็ไปให้เขามาซื้อนาที่ไทยเป็นร้อยไร่ ปลูกบ้าน ดูแลจนเขาตายก็ตั้งมูลนิธิบ้าง ตั้งกลุ่มแม่บ้านบ้างแล้วส่งของกลับไปขายในยุโรป ผมไม่เห็นอะไรทำได้ครบวงจรเท่านี้ ดังนั้นรัฐบาลไทยในอนาคตควรจะดูตัวอย่างจากเมียฝรั่งให้มาก

 

พอพูดถึงบรรยากาศของการเปลี่ยน คนอเมริการู้สึกทนจนอยาก ย้อนกลับเมืองไทย บรรยากาศอยากนี้ยังไม่เคยเกิดและได้ตื่นเต้นจริงใช่ไหม  

เป็นคำถามที่ดี ตอนคุณทักษิณเข้ามาเมื่อปี 2544 ก็ไม่ได้ตื่นเต้นแบบนี้ คนจำนวนหนึ่งบอกว่าขี้โม้ ทำไม่ได้หรอกแล้วก็ติดขี้คุย แล้วก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งยอมรับว่าชีวิตเปลี่ยนไปนี่หว่า เริ่มชอบ ไม่สนใจหรอกว่าทักษิณจะเป็นคนอย่างไร แต่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้วตัวเองเอาทักษิณ นี่คือ Genesis ของสีแดง

 

ที่สำคัญคือ ผมว่าคนไทยยังไม่เคยตื่นเต้นกับการเลือกผู้นำขนาดครั้งคลินตันหรือโอบามา เป็นเพราะคนไทยยังไม่เคยเลือกผู้นำจริงๆ นายกรัฐมนตรีได้รับอนุญาตให้เป็นได้แค่หัวหน้ายามไง คุณจะไปตื่นเต้นอะไร ถึงเวลาก็เป็นเรื่องวนกัน

 

มันไม่เคยตื่นเต้นเพราะประชาชนยังไม่เคยได้รับอำนาจสูงสุด มันกลายเป็นเรื่องสมบัติผลัดกันชม นักการเมืองพอพบว่ามันมีเพดานอยู่จริงพอทำอะไรมันติด มีเพดานแก้วหรือ Glass Ceiling คือที่ที่คุณข้ามไปไม่ได้ ก็จะมีคนสองแบบ แบบแรกคือแบบทักษิณ กูก็จะไป เลยเกิดเรื่อง กับสองคือประเภทหดลงมา ไม่ไปแล้ว ก็จะเป็นประเภทมนตรี พงษ์พานิช กลายเป็น ชวน หลีกภัย กลายเป็นอานันท์ ปันยารชุน มีความสามารถสูงแต่กำหนดเป้าหมายต่ำ พวกนี้บริหารประเทศให้ดีได้ถ้าจะทำ มีประสบการณ์สูง มีความสามารถ แต่เซ็ตตัวเองเอาไว้ว่าไม่ทำ เพราะถ้าทำแล้วเดือดร้อน

 

เพดานที่ว่าพูดให้ชัดขึ้นได้ไหม คืออะไร

Glass ceiling คือภาวะที่ไม่ได้รับอนุญาตทางสังคมให้เปลี่ยนแปลงประเทศ ผมเชื่อในระบอบประชาธิปไตย เพราะผมเป็นพุทธศาสนิกชนที่เชื่อในพุทธรรมที่ว่าทุกข์ทำให้เกิดปัญญา ประชาธิปไตยเป็นระบบที่ทำให้คนรู้สึกว่าข้าสร้างความแตกต่างได้นี่หว่า ถึงแม้ข้าจะเป็นคนๆ เดียว เหมือนกับทุกข์ทำให้เกิดปัญญา แปลว่า พอมันมีเงื่อนไขจำเป็น คนก็ฉลาดได้ทุกคน พอเข้าตาจนคนจะพบว่าตัวเองแข็งแรงกว่าที่นึก มีปัญญามากกว่าที่คิด

 

ถ้าเราเอาตรงนั้นมาใช้ให้เป็นระบบ คนก็จะเอาปัญหาชาติบ้านเมืองมาเป็นตัวตั้ง แล้วคิดสิ่งที่ดีที่สุดออกมา กลายเป็น SML คือเอาปัญหามาเป็นตัวตั้ง นั่งพูดถึงปัญหาแล้วหาทางแก้ ทะเลาะกันเสียให้เสร็จ ไม่ใช่ทำท่าว่าไม่ทะเลาะแล้วไปแอบทะเลาะ นี่คือระบบที่มันจะเข้าไปเปลี่ยนประเทศ

 

ปัญหาในเมืองไทยมันมาเกิดหนักขึ้นก็เพราะว่า มันเป็นระยะที่คนไทยตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณค่าของการศึกษา เป็นระยะเวลาที่เป็นยาการเมือง ซึ่งแก้ปัญหาตรงนี้ยังไม่ได้เลย ต้องไปวิ่งหาคนอื่นในการแก้ คนไม่ค่อยรู้สึกตัวว่าการวิ่งไปหางานทำแล้วคิดว่าชีวิตต้องอยู่ที่การได้งาน ปรัชญาของมันก็คือคนอื่นต้องหลีกเลี่ยงให้ มันแสดงให้เห็นว่าสังคมมันไม่มีทางเลือกอีกทางหนึ่งที่จะสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง อันนี้มันเป็นปัญหาทางสังคม

 

เพราะฉะนั้นที่ผมต้องมายืนอยู่ข้างนี้จากที่เคยเป็นกลางซึ่งไม่เสียดายได้เลย และไม่รู้จะเป็นกลางไปหาอะไร มันถึงเวลาที่จะสามารถผลักดันอะไรได้ เป็นกลางมันไม่มีความจำเป็นเลย มันไม่ใช่ปรัชญาชีวิตของผม ปรัชญาชีวิตของผมคือการที่เราทำสิ่งที่เราคิดว่ามีประโยชน์และเราเชื่อ เชื่อพอที่จะบ้าอยู่กับเขาได้จนตาย ประเด็นก็คือ เราต้องสร้างระบบสังคมที่ทำให้คนมีทางเลือกมากที่สุด แล้วต้องให้เขาเลือกเองด้วย

 

ในทุกสังคมก็ต้องยังมีคนรวยคนจน จะอย่างไรก็ต้องมีคนฉลาดกว่า มีคนโง่กว่า จะต้องมีคนที่หลอกและคนที่ถูกหลอก มันจะต้องมี เพียงแต่ว่า มันจะทำอย่างไรให้คนที่รู้สึกว่าตนมีทางเลือกมีมากกว่าคนที่รู้สึกว่าตนไม่มีทางเลือก เพราะคนที่เวลารู้สึกว่าไม่มีทางเลือกมันจะลงต่ำทันที

 

คุณบอกว่าทุกข์ทำให้เกิดปัญญา เอาเข้าจริงนโยบายของทักษิณเกือบทุกอย่างก็ทำให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น แต่สังคมไทยในภาวะนี้ที่กำลังเกิดทุกข์ มันสามารถมีกระบวนการให้เกิดปัญญาได้ไหม หรือมันไม่เกิด หรือปฏิเสธที่จะทำให้มันไม่เกิด

เรามีปัญญาอยู่แล้ว แต่มันมีกระบวนแก้ที่ทำให้ปัญญามันอ่อน หมายถึง คนรวยที่รวยต่อไปกับคนจนที่มองไปทางไหนก็ไม่มีทางเลือกแล้วยังอยู่รอดมาได้จนถึงแก่ ผมถือว่าคนหลังเก่งกว่าคนแรกนะ คือไม่มีทรัพยากรแล้วอยู่มาได้อย่างไร คนแรกมันมีทรัพยากรเพียงแต่ว่ามันต้องจัดการกับอารมณ์ของมันแค่นั้นเอง แต่ไอ้คนหลังมันไม่มีทรัพยากรแล้วมันอยู่มาได้ไง

 

เพราะฉะนั้นตอนที่ผมยังอยู่ในรัฐบาล ผมจึงได้กระตุ้นให้มีการศึกษาปัญญากลับมาจากคนจน ว่าคนจนอยู่ได้อย่างไร อยู่มานานก่อนที่จะมีทักษิณในโลกนี้เสียอีก เพราะฉะนั้นมันมี Wisdom ในความจน แต่ไม่ใช่มานั่งพูดสโลแกน ภูมิใจในความจน

 

หมายถึงว่า คุณภูมิใจก็ภูมิใจไปแต่ไม่ต้องมาชวน ทุกคนควรจะมีทางเลือก ลูกไม่จำเป็นต้องเหมือนพ่อแม่ ต้องตั้งหลักในตรงนี้ก่อน มันไม่ได้แปลว่าเกิดเป็นลูกคนจนแล้วต้องตั้งโปรแกรมล่วงหน้าว่าลูกต้องจนต่อไป มันไม่ใช่ เพียงแต่ว่าไอ้กระบวนการ โง่ จน เจ็บ นี้มันต่อกัน เพราะเมื่อพ่อแม่อยู่ในชุมชนสลัม ไม่มีเงินไปเที่ยวนอกบ้าน มันก็จะเอากันอยู่ในสลัม อายุเฉลี่ยของการเป็นผัวเป็นเมียก็จะน้อย มีลูกเร็ว พอมีลูกเร็วก็ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะงบประมาณที่ให้ทางด้านการศึกษา มันให้ในระดับอายุก่อนจะถึง 18 มันดันไปมีลูกก่อน 18 มันเลยไม่ได้เรียนหนังสือต่อ พอไม่ได้วุฒิอันนี้ก็ไปต่อปริญญาไม่ได้ ก็ต้องวนอยู่ในสลัมนั้นแหละ

 

เพราะฉะนั้น รัฐบาลต้องแหวกวงล้อม ต้องออกแบบ ผมเลยโอเคกับหวยบนดิน โอเคกับเรื่อง 30 บาท โอเคกับเรื่องกองทุนหมู่บ้าน เพราะทั้งหมดนี้มันไม่ได้ไปแก้ปัญหา มันไปเสริมสร้างทางเลือก แต่มันได้แก้ปัญหาถูกจุดตรงปรัชญาที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะมาบอกว่า ใครอยากกินปลา แล้วไปสอนวิธีการตกปลา แทนที่จะให้ปลาเพื่อวันหน้าเขาจะตกได้เอง ซึ่งมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น โดยหลักแล้วก็คือว่า เขาไม่มีแม้แต่เบ็ด แล้วจะไปสอนวิธีตกปลาหาอะไร

 

มันต้องวางเบ็ดแล้วมีป้ายบอกว่าบ่อไปทางนี้ นั่นคือนโยบาย เพราะฉะนั้น ทางเราต้องการที่จะเล่นกับเสียงข้างมากที่มันเงียบอยู่ คนข้างมากที่เดิมคิดว่าคงหมดโอกาสแล้วคิดว่าน่าจะได้เสียงข้างมาก ซึ่งมันเป็นเรื่องง่ายๆ ทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร

 

ถามว่าเสียงข้างมากที่มันเงียบอยู่คืออะไร คนไทยจำนวนมากที่ลดระดับความหวังในชีวิตตัวเองลงเหลือไว้แค่หวยงวดวันที่ 1 กับวันที่ 16 เพราะว่ามันไม่มีอะไรอื่นที่สามารถตั้งความหวังได้ เดิมคนส่วนใหญ่จะไม่มีความหวัง ประชาธิปไตยมันจึงเกิดขึ้นไม่ได้ก็เพราะว่าอยู่คนละโลกกัน โลกของผู้นำก็อยู่แต่โลกของผู้นำ โลกของคนข้างล่างก็เป็นโลกของคนที่เคลื่อนไปเปลี่ยนชั้นทางสังคมไม่ได้ หรือมีความรู้สึกว่ามันเปลี่ยนไม่ได้ ยกเว้นจะเปลี่ยนด้วยวิธีส่วนตัว เช่น ไปแต่งงานกับเศรษฐี ผู้ชายไปเอาเมียเศรษฐี ผู้หญิงไปแต่งงานกับลูกชายเสี่ย นั่นคือการไต่บันไดทางสังคม ซึ่งพอไต่บันไดมาแล้วก็ต้องสร้างอำนาจ แต่มันอาจจะใช้เวลานานในการสร้างอำนาจ

 

ที่ประเทศสหรัฐฯ ผมเคยนัดเจอ โคลิน พาเวลที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ผมนึกภาพแบบไทยว่าอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งพ้นตำแหน่งไม่ถึง 3 เดือน ก็คงต้องมาแบบรัฐมนตรี ผมก็ไปยืนรอรับหน้าโรงแรม เขากลับขับรถกระป๋องคันเล็กๆ มาจอดข้างหลัง เพราะว่ารถตำแหน่งไม่มีแล้วเขาเลยยืมรถลูกสาวมาขับ คนขับรถก็ไม่มี แล้วมาเรียกผม

 

ผมคิดว่าเขาทำได้อย่างไร ของไทยอย่าว่าจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของประเทศที่มีอำนาจสูงสุดเลย แค่ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพซึ่งรบกับใครไม่เป็น เกษียณแล้วยังต้องหาคนมาขับรถต่อ ไปไหนยังทำท่าเหมือนยังเป็นผู้บัญชาการกองทัพอยู่ ในอเมริกา มีคำพูดอยู่ว่า "When you are out, you"re out." ผมว่ามันงามดี ผมชอบ เพราะฉะนั้นผมยอมรับตรงนี้ได้ ผมเลยเป็นประชาธิปไตยแบบนี้ได้ ซึ่งตัวของผมเกิดมาในวงศักดินา แต่ว่าผมไม่ชอบ ผมมีความรู้สึกว่าถ้าผมอยากเป็นผมก็เป็นคนเดียว คนอื่นไม่ต้องมาเป็นด้วย ผมมีสิทธิเป็นของผม คนอื่นก็มีสิทธิเป็นของเขา แต่เมื่อไรที่มาอยู่ด้วยกันก็ต้องมาเชื่อมกันว่าจะเอาอย่างไรถึงจะเรียบร้อย ตกลงกันว่าจะเอาแค่ไหน

 

เพดานที่มองไม่เห็นมันทำให้ประเทศไทยไม่เคยแข่งขันด้วยนโยบายหรือไม่ หากลองเทียบเคียงกับสิ่งที่เราเห็นจากสหรัฐฯ

เป็นไปได้ เพราะมันมีการแข่งขันทางสังคมอยู่แล้ว เราอยู่ในออฟฟิศเดียวกัน คนหนึ่งได้ตำแหน่งสูงกว่าอีกคน มันมักจะไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับแบบอเนกนิกรสโมสรสมมติ มันจะเป็นเรื่องว่าไอ้นี่สนิทกันไหม มันเป็นประเด็นของ...เคยดูหนังเรื่องขุนศึก ลูกทาส อะไรแบบนี้ไหม บ้านท่านเจ้าคุณ ลูกหลานท่านจะอยู่ข้างบนใช้ไหม และข้างล่างจะเป็นพวกอีพิน อีเจิม อีอะไรทั้งหลาย ไอ้เพิ่มอยู่ข้างล่างตีดาบนั่งกันอยู่ ข้างล่าง มันนั่งคุยอะไรกันอยู่สังคมไทยก็คุยกันเรื่องนั้น คือเป็นเรื่องของคนชั้นล่างที่มีความรู้สึกว่าความเจริญของน้องคือความเสื่อมของพี่ แข่งกันอยู่ใกล้ๆ ตรงนี้

 

เพราะฉะนั้นจะหมั่นไส้จะอิจฉากันสูง และไม่สามารถจะยอมรับได้ว่าคนนี้เก่งสุดเรามาเลือกคนนี้ขึ้นไป เถอะ เพราะเมื่อไรก็ตามถ้าน้องเก่งสุดก็ตายก่อน เมืองไทยถ้าอยากเป็นนายกรัฐมนตรีก็บอกไม่ได้ว่าอยาก ถ้าอยากเป็นต้องบอกว่าไม่อยากเป็น เพราะเกิดบอกว่าอยากเป็นมันมารุมทึ้งกันหมด มันเป็นสันดานใต้ถุนบ้าน ใต้ถุนบ้านนั้นแหละเพดาน

 

ผมจึงเข้าใจว่าเมืองไทยไม่ได้อยู่ที่ความโง่ความฉลาด เพราะผมแก้สมการได้แล้วว่าคนไทยพอออกไปจากระบบไทยจะไปเก่งอยู่ข้างนอกหลายคน ทำไมคนไทยไม่เก่งในระบบไทยเพราะระบบไทยมันกินตัว มันกินทุน มันสิ้นเปลื้อง มันเปลืองตัว คนไทยที่ไปอยู่ในระบบฝรั่งไม่ใช่ทุกคนแต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เก่งที่สุดของที่นั้น เพราะเราได้ลงตัวพอดีระหว่างความสามารถ และความน่ารักในฐานะมนุษย์ มันกลมกล่อม

 

เขาจะพบว่าทุกคนกลืนได้ง่าย ทุกคนรู้สึกว่าเอาไปใช้ได้ ไม่รู้สึกว่าเป็นภัยคุกคาม เพราะฉะนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวคนไทย ปัญหามันอยู่ที่ระบบไทย คือระบบทางสังคมที่มันตีอะไรต่างๆ อยู่ ที่ผมเข้ามาสู่การเมืองเพราะผมตั้งใจที่จะมาหาทางแก้ไข หาทางปฏิรูประบบนี้และผมเลือกคุณทักษิณ เพราะผมคิดว่าคุณทักษิณเป็นยานพาหนะที่ดีที่สุดในเวลานี้

 

ระบบนี้มันก็เป็นมานานแล้ว การติดกำแพงแก้ว การไปไม่ออก การไม่แข่งกันทางนโยบาย แล้วเกิดอะไรขึ้นกับตัวคุณเองที่เลือกออกมาสู้แบบดับเครื่องชนในช่วงที่ผ่านมา

เพราะว่าผมไม่ชอบคนเห็นแก่ตัว ผมเชื่อในระบบ power sharing ก็แบ่งกันบ้าง

 

คำถามสุดท้าย การเลือกผู้นำที่เมืองไทย ในอนาคตอันใกล้ บรรยากาศแบบสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นได้ไหม

อีกไกล ผมมองว่าไอ้ล็อคทางสังคมที่เราล็อคตัวเองอยู่ในขณะนี้มันใช้เวลานานกว่าที่มันจะคลายลง แล้วมันจะต้องคลายกันหลายครั้ง มันเหมือนกับบ่อน้ำที่มียาพิษใส่อยู่ เราบอกว่าต้องดูดน้ำออกแล้วใส่น้ำใหม่เข้าไป แล้วเด็กสามารถลงไปเล่นได้เลยไหม มันไม่แน่ ยาพิษอาจจะยังซึมอยู่ตามกระเบื้อง อยู่ตามซอกปูน ขอล้างอีกสักที สองที ซึ่งผมคิดว่าสังคมไทยมันเป็นแบบนั้น

 

เมื่อล้างจนกระทั่งอ่างสะอาดแล้ว เด็กลงไปว่ายด้วยความเสรี แล้วมีการจัดการประกวดว่าใครกระโดดน้ำได้สวยกว่า ถ้าใครชนะการประกวดจะได้เป็นหัวหน้าสระ เด็กก็ตื่นเต้น ซึ่งจะเห็นว่ามันหลายชั้นมากกว่าจะถึงจุดนั้น มันจึงต้องล้างอ่าง ล้างพิษ มันต้องมีโค้ดถอนรหัสเดิมแล้วใส่รหัสใหม่ รหัสที่ว่านั้นไม่ต้องมองให้ไกล เราก็ทำได้ แต่เป็นรหัสที่ยากมาก

 

อย่างคนอเมริกันต้องหนีจากยุโรปไปสร้างประเทศใหม่จึงจะคิดอย่างนั้นออก คนยุโรปที่ยุโรปก็คิดไม่ออก ซึ่งตัวผมเชื่อในทฤษฎีที่ตัวคนจะได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมมากที่สุด และผมเชื่อว่าคนเกินครึ่งจะได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม เกิดตรงไหนแบบไหนก็เป็นเช่นนั้น แล้วไปเห็นความดี ความงาม ความจริง ตามแบบนั้น

 

ผมมองว่าเมืองไทยยังจะต้องผ่านระยะของการถอดรหัสตนเองอีกนานพอสมควร แต่คำถามก็คือ มันไม่ต้องรอเวลา ในขณะที่เรายังปรับคนในสังคมไม่เสร็จนั้น คนไทยที่พ้นน้ำแล้ว ก็เริ่มต้นทำธุรกิจได้ ไปสู่ต่างประเทศได้ สามารถสร้าง SMEs ได้ มันไม่ต้องรอให้สังคมเสร็จก่อนแล้วค่อยทำ พูดง่ายๆ ก็คือคนไทยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องเป็นสีเหลืองหรือสีแดง แต่ว่าควรจะใช้ประโยชน์จากระยะหลังกีฬาสีนี้ให้ดี

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท