Skip to main content
sharethis


อัยการรับขอตัว"ทักษิณ"ยากเหตุถูกถอนวีซ่าต้องหาที่อยู่ใหม่


เว็บไซต์คมชัดลึก : นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กล่าวกรณีที่มีข่าวว่าประเทศอังกฤษยกเลิกวีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่า หากเป็นความจริงการยื่นเรื่องขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนจากประเทศอังกฤษต้องเกิดความยุ่งยาก เนื่องจากเมื่อมีการยกเลิกวีซ่า หมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ได้พำนักอยู่ที่ประเทศอังกฤษอีกต่อไป ซึ่งการขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนจะดำเนินการเมื่อมีหลักฐานชัดเจนว่าบุคคลนั้นมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งในประเทศที่จะขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน


 



ดังนั้นถ้าประเทศอังกฤษยกเลิกวีซ่าและพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้อยู่ที่ประเทศอังกฤษแล้ว ก็ต้องเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช. )ในฐานะผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามหมายจับของศาลในการติดตามตัวจำเลย ที่จะสืบหาข้อมูลที่ชัดเจนว่าขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ พำนักอยู่ที่ใด โดยสตช.อาจจะขอความร่วมมือประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะดำเนินการเรื่องดังกล่าว ซึ่งหลังจากที่มีข้อมูลชัดเจนแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่ใดแน่นอน อัยการในฐานะผู้ที่ต้องทำหน้าที่ยื่นคำร้องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน จะได้ดำเนินการต่อไป


 



หากปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนว่าประเทศอังกฤษ ยกเลิกวีซ่า และ พ.ต.ท.ทักษิณ พำนักในประเทศอื่นที่ไม่มีสนธิส่งสัญญาณระหว่างประเทศในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน อัยการก็ยังสามารถดำเนินการยื่นคำร้องต่อประเทศนั้นได้ โดยอาศัยการให้คำมั่นหลักต่างตอบแทนแลกเปลี่ยนกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย หรือที่เรียกว่า Reciprocity โดยเป็นการให้คำมั่นต่อกันว่าถ้าประเทศนั้นยินดีพิจารณาเรื่องและยินยอมส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว ไทยก็ยินดีพิจารณาเรื่องเช่นเดียวกันหากประเทศนั้นต้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งการยื่นคำร้องโดยอาศัยหลักการต่างตอบแทน การพิจารณาเบื้องต้นก็จะอาศัยหลักสากลคือต้องเป็นความผิดของทั้ง 2 ประเทศ


 



ขณะนี้คณะทำงานอัยการ รวบรวมเอกสารที่จะใช้ประกอบยื่นคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนไว้เกือบเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งคำพิพากษาของศาลฎีกาฯและเอกสารคำร้องขอส่งตัวที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ โดยระหว่างนี้รอเพียงว่า ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะยื่นอุทธรณ์คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกหรือไม่ ซึ่งจะครบกำหนดยื่น 30 วันภายในวันที่ 20 พ.ย.นี้ หากชัดเจนแน่นอนว่าไม่ยื่นอุทธรณ์แล้ว จึงถือว่าคำพิพากษาศาลฎีกาฯที่ตัดสินจำคุก 2 ปีถือเป็นที่สุดที่จะใช้ดำเนินขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้ทันที ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นคาดว่าการยื่นคำร้องอัยการจะดำเนินการได้ภายในสิ้นปี 2551 แต่ทั้งนี้ต้องรอความฟังความชัดเจนเรื่องที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยว่ายังอยู่ที่ประเทศอังกฤษหรือไม่ หรืออยู่ที่ประเทศอื่นแล้ว ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ย้ายไปพำนักประเทศอื่นอัยการก็เพียงแค่ปรับข้อกฎหมายที่จะใช้ขอส่งตัวกับประเทศนั้นๆ โดยเชื่อว่าไม่มีปัญหายุ่งยากเพราะเอกสารคำร้องก็จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว


 



 


"นพดล" เผย"ทักษิณ"ยังตั้งหลักอยู่จีน  แย้ม เตรียมเล็งประเทศอื่น หากเข้าอังกฤษไม่ได้


เว็บไซต์แนวหน้า : นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ และอดีตที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัวพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ยังไม่ได้ตรวจสอบจึงไม่ทราบว่ากรณีดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ เนื่องจากปกติแล้วหากสถานทูตอังกฤษจะดำเนินการอะไร ก็จะมีหนังสือแจ้งกับผ็ถือหนังสือเดินทาง


 



ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือ่ไม่ที่อังกฤษพิจารณาจากเหตุผลที่พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลฎีกาตัดสิทธิความผิด รวมทั้งกรณีถูกมองว่าพาดพิงสถาบัน ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมและประชาธิปไตยจึงทำให้ต้องถอนวีซ่า นายนภดลกล่าวว่า ระเบียบขั้นตอน กฎเกณฑ์ ของสถานทูตอังกฤษในการยกเลิกวีซ่า เป็นเรื่องเฉพาะและเป็นเหตุผลที่ละเอียดอ่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่สถานทูตอังกฤษจะรู้ดีที่สุด  ดังนั้นจึงต้องไปสอบถามรายละเอียดกับสถานทูตอังกฤษจะดีกว่า ซึ่งหากกรณีดังกล่าวว่าเป็นเรื่องจริงก็คาดว่าอีก 1-2 วันก็คงทราบข้อมูลที่แน่ชัด


 



นายนพดล กล่าวว่า เท่าที่ทราบข้อมูลความเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ในขณะนี้ ท ราบว่า หลังจากที่โฟนอินเข้ารายการความจริงวันนี้จากประเทศอังกฤษ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวยังไม่ได้กลับประเทศอังกฤษจนถึงขณะนี้  โดยคาดว่าจะพำนักอยู่ที่ประเทศในแถบเอเชียเช่น จีน


 



ผู้สื่อข่าวว่าถามว่า หากในที่สุดสถานทูตอังกฤษ ยกเลิกวีซ่าจริง  พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวมีแผนจะย้ายไปอยู่ประเทศอื่นหรือไม่  นายนพดล กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายประเทศที่พร้อมจะออกวีซ่าให้พ.ต.ท.ทักษิณไปอาศัยอยู่ แต่เชื่อว่าหากไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษ พ.ต.ท.ทักษิณ คงจะพิจารณาเลือกประเทศที่ให้เกียรติและยินดีต้อนรับ รวมทั้งสามารถเดินทางเข้าออกประเทศได้อิสระ


 


 


เลขาฯ ปชป.เปรย ยอดบริจาคเงินระดมทุนพรรค ได้ตามเป้า 300 ล้าน


เว็บไซต์แนวหน้า : ผู้สื่อข่าวรายงานจากอิมแพค เมืองทองธานี ว่า ในช่วงเย็นพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดงานเลี้ยงระดมทุนที่อาคาร 2 และ 3 โดยบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างอบอุ่น มีการจัดโต๊ะจีนคอยต้อนรับจำนวน 400 โต๊ะ บนเวทีมีการจัดฉากสีขาว มีตัวอักษรขนาดใหญ่คำว่า "DEMOCRAT" พร้อมสโลแกน "เชื่อมั่นประเทศไทย มั่นใจประชาธิปัตย์" จำหน่ายสินค้าและของที่ระลึกของพรรคประชาธิปัตย์ มีการจัดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ทางการเมืองตามนโยบายของพรรค พร้อมกับมีการแจกหนังสือเข็มทิศประเทศไทย ที่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ เป็นผู้เขียน ทั้งนี้ก่อนเริ่มงานทางแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งส.ส. และสมาชิกพรรค ได้ตั้งแถวคอยต้อนรับผู้สนับสนุนอย่างอบอุ่น โดยเวลา 17.00 น. นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซี่ยน ได้เข้าร่วมงานด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจัดกำลังเข้ารักษาความปลอดภัยในบริเวณงานประมาณ 50 นาย


 



นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นบอกกับผู้สนับสนุนพรรคและประชาชนว่า พรรคประชาธิปัตย์จะมุ่งมั่นให้เป็นพรรคการเมืองที่ดีที่สุด เพื่อเตรียมตัวเป็นรัฐบาลที่ดีที่สุด ซึ่งการระดมทุนนี้จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีสำนึกในเงินของประชาชน ทำงานในกรอบที่ถูกต้อง โดยเบื้องต้นตั้งเป้าไว้ว่าจะได้รับเงินสนับสนุนประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ก็ได้ตามเป้าแล้ว


 



 


"เสธ.แดง"ขู่ระดมลูกระเบิดบึ้มพธม.เจ็บ-ตายทุกวัน


เว็บไซต์คมชัดลึก : พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 100.5 ถึงการเตือนให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)ย้ายการชุมนุมออกจากทำเนียบรัฐบาลว่า ตนเตือนพันธมิตรด้วยความหวังดี เพราะข้าศึกเปิดสงครามเต็มรูปแบบ และจะถูกเข้าตีในช่วงก่อนสว่าง เพราะขณะนี้เขามีฐานบัญชาการอยู่กับที่ ซึ่งปัจจุบันนักรบศรีวิชัยที่ถูกเลี้ยงวันละ 300 บาท พยายามปกป้องตัวเอง แต่ไม่ได้รักษาผู้ชุมนุม ซึ่งขณะนี้ในค่ายทหารจะเกิดการทอดกฐินครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะทหารแก่ในศูนย์การทหารม้า ศูนย์การทหารราบ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ และศูนย์สงครามพิเศษ กำลังรับบริจาคลูกระเบิดจำนวนมากเพื่อนำไปทอดกฐินกลุ่มพันธมิตร จากนี้ไปให้พล.ต. จำลอง ศรีเมือง และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตร ยอมจำนน โดยปราศจากเงื่อนไข ไม่เช่นนั้นคุณจะเจ็บตายทุกวัน


 



 "จากนี้ไปผมจะทำหน้าที่แค่คอยรายงานข่าวและเตือนเขา รวมถึงขอให้กลุ่มพันธมิตรออกจากทำเนียบ การที่สามารถส่งระเบิดลูกยาวเข้าไปถึงนักรบศรีวิชัยชั้นในจนบาดเจ็บล่อแล่ส่งโรงพยาบาลในช่วงเช้ามืดของวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมาได้ ถือว่าขีดความสามารถของคนเข้าตีมีสูงมาก และลูกระเบิดจะไม่มีทางหยุด หากกลุ่มพันธมิตรไม่ยอมจำนนและออกไปจากทำเนียบรัฐบาล และต่อไปนี้กลุ่มพันธมิตรจะโดนตลอดทุกคืน แต่จากนี้ไปผมไม่เกี่ยวข้อง เพราะภายหลังจากที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ระบุว่า ท่านได้รับคำสั่งพิเศษ และสั่งให้ผมหยุดการฝึกนักรบพระเจ้าตาก ผมจึงยุติ สั่งปิดเต้นท์ และสลายทัพนักรบพระเจ้าตากเพราะทหารต้องเป็นผู้ที่มีวินัย โดยนักรบพระเจ้าตากแปรสภาพไปเป็นแก๊ง 47 โรนิน ซามูไรไร้นาย และไร้สังกัดที่ไม่มีใครมาคุม " พล.ต.ขัตติยะกล่าว


 



พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า พล.ต.จำลอง เป็นเพียงนายทหารเหล่าสื่อสาร ซึ่งคนละชั้นกัน และเคยไปปฏิบัติภารกิจที่ลาวเท่านั้น และท่านได้หนีทัพลงมา ดังนั้นในแง่ยุทธวิธีสู้ตนไม่ได้ สู้นักรบไม่ได้ และในวันนี้พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รองผอ.รมน.) เลิกช่วยแล้ว เพราะพันธมิตรดูถูกพล.อ.พัลลภ ให้ไปเป็นลูกน้องของนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรฯ


 


 


กห.เตือนกองทัพอย่าเสี่ยงปฏิวัติสังคมโลกรับไม่ได้


เว็บไซต์คมชัดลึก : พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ โฆษกกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯนำผ้าอนามัยไปถูฐานพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 เพื่อแก้ไสยศาสตร์ของฝ่ายตรงข้ามว่า เป็นการกระทำที่คนไทยทั่วไปที่รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และยิ่งเป็น ร.5 ที่สร้างความเจริญให้กับประเทศไทย คนไทยคงจะตะขิดตะขวงใจที่ใช้วิธีการอย่างนี้ ดังนั้นความเชื่อเช่นนี้ถ้าสวนความรู้สึกกับคนส่วนใหญ่เขาคงไม่ยอม หรือทนไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีนายทหารหลายส่วนโทรเข้ามาพูดคุยกับตน เพราะการทำหน้าที่เป็นโฆษกต้องรับฟังเสียงจากคนข้างในด้วย


 



 "คนที่เรียกร้องทั้งหมด พยายามให้เกิดความรุนแรงหรือไม่ เพราะเร้าอย่างไรกองทัพไม่ออกเสียที จึงนำของที่ไม่ดีไปทาพระบรมรูป และอาจเล็งเห็นผลว่า เมื่อทาแล้ว คนทั้งหมดและนักเรียนนายร้อย จปร.จะตื่นตัวจนเป็นความวุ่นวาย และออกมาให้เกิดความรุนแรง เราจึงต้องคิดในทางกลับกันว่า ต้องไม่ออกไปด้วยความรุนแรง และต้องใช้คำพูดและทำความเข้าใจว่า วิธีการสื่อสารหรือการปฏิบัติอย่างนี้ไม่ชอบธรรม คนไทยรับไม่ได้ ดังนั้นคนไทยต้องร่วมกันแสดงจุดยืนด้วยการพูดว่า ไม่เอา หรือประณาม โดยใช้สันติวิธี " โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว


 



เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนพล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กรณีที่วิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชา พล.ท.พีระพงษ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้จากการที่กระทรวงกลาโหมได้พลเรือนมาดูแลกระทรวงนั้น ที่ผ่านมาถือว่ากองทัพได้ประโยชน์ อย่างนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯและรมว.กลาโหม ท่านจะช่วยเหลือกองทัพมาก ส่วนนายสมชาย ก็มีสไตล์ที่คล้ายกับนายสมัคร แต่ท่านจะเงียบกว่า และคิดว่าไม่มีทางจะเล่นบทรุนแรง เพราะการตั้งคณะกรรมการสอบ น่าจะเป็นรมว.กลาโหมที่มาจากทหารด้วยกัน แต่หากมาจากพลเรือนท่านจะไม่ทำ และคงเป็นไปได้ยาก เพราะเรื่องพวกนี้ใช้วิธีการคุยกันน่าจะเข้าใจกันได้ และเรียบร้อย


 



ต่อข้อถามที่ว่ามองการปฏิวัติหน้าจอทีวีของ ผบ.เหล่าทัพ อย่างไร พล.ท.พีระพงษ์ กล่าวว่า ความจริงคงไม่สุดขั้วขนาดนั้น ซึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองเราต้องเข้าใจทุกกลุ่ม ทหารจึงเลือกว่า อยู่ตรงไหนถึงจะเหมาะสม แต่การไปนั่งหน้าจอทีวีวิจารณ์นั้นเป็นอีกสถานะหนึ่ง ซึ่งตนไม่อยู่ในฐานะวิจารณ์ เพราะถือเป็นผู้บังคับบัญชาทั้งสิ้น แต่เรื่องนี้จะปกติมากคือ ผู้ที่เป็นกลไกรัฐระดับรักษาความมั่นคงจะวิจารณ์ความมั่นคงในเวทีความมั่นคง คือ เวทีสภากลาโหม


 



ถามว่าจากสถานการณ์จะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นหรือไม่ พล.ท.พีระพงษ์ กล่าวว่า คิดว่า พ้นสมัยไปแล้ว และต้องมองว่า ต่างประเทศรับได้หรือไม่กับการปฏิวัติ หากทหารไทยถอยหลังกลับไปปฏิวัติอีกครั้ง ต่างชาติยอมไม่ได้ และจะทำให้เจอปัญหาที่รุนแรงกว่าเดิมมากนัก และสมัยปฏิวัติที่ผ่านมานั้น ไม่มีเกียรติภูมิอะไร รัฐบาลปฏิวัติ จะไปที่ไหนเขาก็ไม่ต้อนรับ ในวันนี้เราจะทำอะไรตามอำเภอใจเหมือนยุคสงครามเย็น และหาข้ออ้างไปอธิบายสังคมโลกนั้น คงกว้างเกินกว่าที่จะใช้ความอธิบายได้


 



 "ปฏิวัติทำวันเดียวได้ แต่หลังจากนั้นถามว่า คุณจะยืนได้กี่วัน ชุดที่แล้วหัวหน้าคณะปฏิวัติยังไม่กล้าเดินในสังคม ทั้งๆที่ท่านตั้งใจ หากชุดหน้าจะทำ กรุณาไปคิดให้ดีว่า จะมีที่ยืนอยู่ตรงไหนในสังคมหรือไม่ เพราะเป็นความเสี่ยง และโลกไม่ยอมรับในเรื่องนี้ เราเป็นเพียงองค์กรเล็กๆองค์กรหนึ่งในประเทศเล็กๆในสังคมโลก อย่าหาญกล้าไปเปลี่ยนแปลง หรือหยุดพัฒนาการของสังคม " พล.ท.พีระพงษ์ กล่าว


 


 


'โอฬาร' ยันงบประมาณปี52 แสนล้านบาทถึงมือปชชแน่!


เว็บไซต์เดลินิวส์ : นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการจัดสรรงบประมาณว่า รัฐบาลได้จัดสรรเงินงบประมาณกลางปีจำนวนแสนล้านบาท ภายใต้ 14 โครงการตามที่สำนักงบประมาณได้นำเสนอ โดยจัดสรรให้ 8,000 ตำบลทั่วประเทศ แบ่งเป็นตำบลละ 12 ล้านบาท งบประมาณดังกล่าวจะถึงมือประชาชนในวันที่ 1 เม.ย-31 ธ.ค. 2552 ทั้งนี้ นายโอฬาร ยืนยันว่า โครงการดังกล่าวไม่ได้เป็นโครงการหาเสียงล่วงหน้าของพรรคพลังประชาชน แต่เป็นการจัดสรรงบประมาณให้กับชุมชน เพื่อพัฒนาระบบสาธารณูปโภค


 


 


ดีเอสไอ ลงพื้นที่ ภูเก็ต เตรียมเช็คบิลนายทุนรุกที่รัฐ 6 พื้นที่


เว็บไซต์แนวหน้า : กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับการร้องเรียนจากชาวชาวบ้านเป็นจำนวนมาก เกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินสาธารณะหรือที่ดินของรัฐ โดยเอกชนเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัด โดยเฉพาะเพื่อการสร้างท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ โรงแรม รีสอร์ท ด้วยพฤติการณ์หลายรูปแบบ ตั้งแต่การแผ้วถางป่าเพื่ออ้างสิทธิการใช้ประโยชน์ , การออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ,การสร้างสิ่งปลูกสร้างและการดำเนินกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและอาชีพของท้องถิ่น, การบุกล้ำพื้นที่สาธารณะต่างๆ ทั้งป่าไม้ ป่าชายเลน ชายฝั่ง รวมถึงชายหาด ที่สำคัญจากการติดตาม และดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการเข้ามาประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติโดยผิดกฎหมายในประเทศไทยและเส้นทางการฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติแล้วพบว่ามีพฤติการณ์ของนักธุรกิจชาวต่างชาติในจังหวัดภูเก็ตที่ต้องสงสัยเข้าข่ายการกระทำความผิดดังกล่าว เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา จึงลงพื้นที่สำรวจที่ดินของรัฐหลายแปลงที่ถูกบุกรุกทำลาย อีกทั้งเปิดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็นของภาคธุรกิจ ภาคประชาชน ข้าราชการประจำ และข้าราชการท้องถิ่น



 


พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ดีเอสไอมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ ที่ดิน หลายฉบับ ซึ่งสามารถนำมาดำเนินการใช้การบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดชายฝั่งอันดามันได้ หากแต่การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว อาจมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น จึงจำเป็นต้องจัดให้มีการระดมความคิดเห็นของชาวภูเก็ตเพื่อกำหนดมาตรการในการบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพวิถีชีวิตและปัญหาของชาวภูเก็ต



 


แม้จังหวัดภูเก็ตจะเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2546 แต่กลับไม่สามารถรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมได้แม้กระทั่งที่ดินของรัฐ จากการรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะในการป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ พบที่ดินของรัฐอย่างน้อย 8 แปลง ใน 6 พื้นที่  ที่ชาวบ้านระบุว่าถูกกลุ่มทุนรุกราน คือ 1)พื้นที่ อ่าวฉลอง มีโครงการก่อสร้างรีสอร์ท มังกี้แลนด์ ภูเก็ต ของบริษัทไพรเมทส์ รีสอร์ท จำกัด บริเวณเกาะทะนาน ต.วิชิต และเกาะแอว ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ที่ชาวบ้านเกรงว่าโครงการฯจะยึดชายหาดไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว เช่นเดียวกับรีสอร์ทหลายๆ แห่งติดป้ายห้ามชาวบ้านเดินผ่านจนไม่สามารถดำเนินวิถีชีวิตได้ตามเดิม และเกรงจะส่งกระทบต่อแนวปะการังรวมถึงจำนวนสัตว์น้ำที่อาจลดลง 2) พื้นที่บ้านกู้กู มีกรณีปัญหาการออกเอกสารสิทธิในพื้นที่ป่าชายเลน ถึง 2 แปลง แปลงแรกพื้นที่จำนวน 21 ไร่ 3 งาน ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นของอดีตข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย แปลงที่สองเป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์บ้านกู้กู ต.รัษฏา ชาวบ้านระบุว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบต้องการให้มีการเพิกถอน 3) พื้นที่ป่าคลอก และยามู 2 กรณี คือ ปัญหาการบุกรุกป่าชายเลนบริเวณหลังบ้านพักคนชราเนื้อที่ประมาณ 400-500 ไร่ และกรณีพิพาทเรื่องโครงการโรงแรมเดอะยามูที่ชาวบ้านระบุว่าทับเส้นทางสาธารณประโยชน์เดิมของชุมชน  (ซึ่งขณะนี้ทางโรงแรมได้เปิดทางให้ชาวบ้านแล้ว)  แต่อย่างไรก็ตามชาวบ้านยังระบุว่าโครงการดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนชายฝั่ง บิดเบือนรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม 4) พื้นที่บางคูชาวบ้านระบุว่ามีการออกเอกสารสิทธิและการทำลายพื้นที่ป่าชายเลนเนื้อที่ประมาณ 700 ไร่ 5) พื้นที่เชิงทะเล ไนยางชาวบ้านระบุว่ามีโรงแรมปล่อยน้ำเสียงลงคลองที่ไหลออกสู่ทะเลหาดบางเทา 6) พื้นที่บ้านกิ่งแก้ว เกาะสิเหร่ และแสนสุขกรณีปัญหาโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือมารีน่าที่ชาวบ้านเกรงว่าเมื่อสร้างท่าเทียบเรือแล้วจะไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ทำกิจได้เหมือนเดิมและเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล



 


ทั้งนี้ ดีเอสไอ ยังเปิดเวทีเสวนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ และข้าราชการที่เกี่ยวข้องเรื่อง "มาตรการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในจังหวัดภูเก็ต" โดยดร. นลินี ทองแถม นักวิชาการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางทะเล กล่าวว่า การก่อสร้างโรงแรมและรีสอร์ทจำนวนมากกำลังส่งผลกระทบโดยตรงกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปิดหน้าดินบนที่สูงเมื่อมีฝนตกลงมาจะเกิดการชะล้างหน้าดินลงสู่ทะเล เกิดเป็นตะกอนทับถมแนวปะการังเสียหาย และยังกระเทือนถึงนิเวศชายฝั่งที่เคยมีสัตว์น้ำและสิ่งมีชีวิตจำนวนมากให้ลดลง และระบุว่าปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากช่องว่างของกฎหมาย และการละเลยของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบและการอนุมัติโครงการต่างๆ พร้อมทั้งเสนอให้มีการวางแผนยุทธศาสตร์ของจังหวัดให้ชัดเจนในการใช้มาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม การกำหนดจำนวนที่เหมาะสมของโครงการก่อสร้างที่คำนึงถึงผลกระทบด้านวิถีชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นหลัก



 


นายนิสิต ระเบียบธรรม อธิบดีฝ่ายปกครองนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมักเป็นเพราะการบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะคดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมกลายเป็นคดีอันดับหนึ่งที่อยู่ในศาลปกครอง หน่วยงานที่ถูกฟ้องมากที่สุดคือกระทรวงมหาดไทย กรมที่ถูกฟ้องมากที่สุดคือ กรมที่ดิน นี่เป็นตัวชี้วัดว่ากฎหมายบังคับใช้ไม่ได้ในสังคมไทย มีคดีที่เกี่ยวข้องกับที่ดินสาธารณะและทรัพยากรในจังหวัดภูเก็ตประมาณ 30 คดีที่ตนแก้ต่าง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการเพิกถอนสปก. ส่วนใหญ่รัฐชนะ ฉะนั้นประเด็นการเพิกถอนเอกสารสิทธินั้นการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องนั้นอยู่ที่การมองอย่างเป็นระบบ และใช้จริยธรรมในการแก้ไขปัญหา  รวมทั้งการสร้างระบบตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิให้ถูกต้องแม่นยำ ตรวจสอบได้ด้วยระบบเทคโนโลยี ต้องมีการปรับกระบวนการยุติธรรมเสียใหม่ ต้องใช้ความสามารถเฉพาะทาง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะใช้กฎแบบเดียวกันกับคนต่างวิถีวัฒนธรรม ต้องใช้องค์ความรู้ ต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน และสุดท้ายกฎหมายสิ่งแวดล้อมต้องพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง



 


ดร.สุนทรียา เหมือนพะวงศ์ ผู้พิพากษาชั้นต้นประจำศาลฏีกา กล่าวว่า ปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณะ กับปัญหาสังคมเป็นเรื่องที่ต้องขบคิด และความท้าทายสำคัญท่ามกลางความขัดแย้งแย่งชิงทรัพยากรคือ "จะทำอย่างไรให้การจัดสรรทรัพยากรที่มีความซับซ้อนให้เกิดความเป็นธรรม" และต้องแยกระหว่างความเป็นธรรมอันเท่าเทียมของคน กับความเป็นธรรมต่อธรรมชาติ ที่ต้องคิดควบคู่กันไป ต้องเกิดความตระหนักก่อนว่าประเด็นที่ชาวบ้านต่อสู้ไม่ได้เรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อตนเองเท่านั้น เช่นทำไมนายทุนสามารถสร้างท่าเทียบเรือได้ ทำไมชาวบ้านสร้างไม่ได้ แต่ต้องชัดว่าเราต่อสู้ว่าด้วยเรื่องความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม



 


พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สำรวจและรับฟังปัญหาของชาวภูเก็ต ครั้งนี้ทำให้พบว่ามีพื้นที่เป้าหมายอย่างน้อย 8 แปลงในจังหวัดภูเก็ตที่ดีเอสไอ จะต้องกลับไปตรวจสอบเพื่อดำเนินการต่างๆ หากพบว่าเป็นความผิดก็ต้องดำเนินคดีอย่างแน่นอนไม่ว่าคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยเฉพาะการประกอบธุรกิจโดยผิดกฎหมาย, การซื้อขายที่ดินสูงเกินจริง การหลีกเลี่ยงภาษี การให้คนไทยดำเนินการหรือถือหุ้นแทน ซึ่งดีเอสไอ ทราบดีว่าปัญหาในพื้นที่ภูเก็ตมีความซับซ้อนมากสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนคือจะทำอย่างไรเพื่อจูงใจให้นักธุรกิจต่างชาติเสียภาษีในประเทศไทยซึ่งเรื่องนี้ดีเอสไอ และกรมสรรพากรได้ร่วมมือกันในการตรวจสอบความเคลื่อนไหวเส้นทางทางการเงินของเป้าหมายทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งจะพยายามลดขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมที่มีหลายใช้เวลานานให้สั้นลงเพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของประชาชน



 


ด้านดร.วณี ทัศนมนเทียร ผอ.สำนักตรวจสอบบัญชีกลาง เปิดเผยว่า นักลงทุนโครงการใหญ่ๆ ในจ.ภูเก็ตส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ และชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่มาลงทุนในประเทศไทย ใช้ทรัพยากรของไทยเพื่อกำไรสู่พวกพ้องและประเทศของตนนั้น สมควรที่จะชดเชยสิ่งที่ประเทศไทยสูญเสียไปกับการทำลายทรัพยากรโดยการชำระภาษี แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับหลีกเลี่ยงภาษีเป็นส่วนใหญ่ ด้วยวิธีพิศดาลต่างๆ เปิดบัญชีไว้ประเทศอื่นซึ่งมีมาตรการปลอดภาษีแล้วโอนเงิน และ หุ้นแบบข้ามประเทศโดยไม่มีเงินหล่นลงบนผืนแผ่นดินไทยแม้แต่บาทเดียว ปัญหาเหล่านี้กรมสรรพากร ได้ร่วมมือกับ ดีเอสไอในการดำเนินคดีเพื่อเอาผิดกับคนกลุ่มนี้รวมถึงชาวไทยที่เกี่ยวข้องเป็นนอมินีให้ชาวต่างชาติ ซึ่งดร.วณีระบุว่าพฤติการณ์เช่นนี้มีจำนวนมากรวมถึงเกาะสมุยด้วย


 


 


 


เตือนภาคใต้ฝนชุก-น้ำป่าทะลัก สงขลาประกาศ6อำเภอเสี่ยงภัย


เว็บไซต์คมชัดลึก : นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก จ.สงขลา เปิดเผยว่า ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวัน ได้ออกประกาศฉบับที่ 2 (16/2551) เรื่องฝนตกหนักบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออก ร่องความกดอากาศต่ำกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคใต้ตอนกลาง เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวไทย ลักษณะดังกล่าวทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันออกมีฝนทั่วไปและมีฝนหนักหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ขอให้ประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยของจังหวัดดังกล่าวระมัดระวัง อันตรายจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้สำหรับอ่าวไทยคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง



 


ด้านนายวิจิตร จันทรปาน หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา กล่าวว่า พื้นที่สงขลา มีฝนตกกระจายและฝนตกหนักบางพื้นที่ จึงขอเตือนประชาชนพื้นที่เสี่ยงตามเชิงเขาและที่สูงใน 6 อำเภอของสงขลา ประกอบด้วย อ.จะนะ เทพา นาทวี สะบ้าย้อย สะเดา และรัตภูมิ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม รวมทั้งเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากที่อาจเกิดขึ้นในระยะนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมเตือนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวบริเวณน้ำตกให้เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และปฏิบัติตามคำเตือนของเจ้าหน้าที่อุทยานอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามคณะทำงานด้านการวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์น้ำ การประชาสัมพันธ์ และแจ้งเตือนภัยจากอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ได้ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดสงขลา



 


นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ให้เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม ที่อาจเกิดขึ้น หลังจากมีรายงานฝนตกหนักหลายพื้นที่ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบกับรายงานจากสถานีอุตุนิยมวิทยา จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ตรวจพบหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังค่อนข้างแรงที่พาดผ่านภาคใต้ตอนกลาง ซึ่งจะส่งผลให้มีฝนตกหนาแน่นในระยะนี้ โดยเบื้องต้นได้สั่งการให้หน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมประกาศแจ้งเตือนประชาชนผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัย 10 อำเภอ เพื่อระวังสถานการณ์ และติดตามการประกาศเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด



 


ทางด้านนางเพ็ญศรี แก้วคุ้มภัย ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ขณะนี้ทางจังหวัดได้เปิดศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่มจังหวัดนครศรีธรรมราช ขึ้นที่ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัย 10 อำเภอ 15 ตำบล รวม 21 หมู่บ้าน ในบริเวณที่ราบลุ่ม ที่ราบเชิงเขา และบริเวณชายฝั่งทะเล โดยได้ประสานความร่วมมือไปยังอาสาสมัครในพื้นที่หรือมิสเตอร์เตือนภัย 100 คน ที่กระจายอยู่ทั่วจังหวัดเพื่อออกปฏิบัติงานเฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ โดยพร้อมอพยพประชาชนทันทีที่สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ



 


นอกจากนี้ทางจังหวัดนครศรีธรรมราช ยังเตรียมความพร้อมไม่ว่าจะเป็นการป้องกันและแก้ปัญหาด้านพืชและเกษตร การเตรียมการจัดหาอาหารสัตว์ วัคซีนและเวชภัณฑ์ ปัญหาที่เกิดจากผลกระทบจากอุทกภัยแหล่งเพาะเลี้ยงปลาและเรือประมง รวมการรายงานความเสียหาย และการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทุกประเภท โดยได้ระดมเครื่องจักรกล ยานพาหนะและเครื่องมืออุปกรณ์ช่วยชีวิตจากภาคส่วนและองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ ทั้งจากกองทัพภาคที่ 4 กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย เรือท้องแบน 75 ลำ,รถกู้ภัย 3 คัน,รถเคลื่อนที่กู้ภัย 24 คัน,รถบรรทุก 123 คัน,รถยก 22 คัน,รถแทรกเตอร์ 8 คัน,รถตัก 9 คัน,รถแบ็คโฮ 19 คันและเครื่องสูบน้ำ จำนวน 98 เครื่อง เพื่อเตรียมพร้อมออกปฏิบัติงานทันทีที่เกิดเหตุ


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net