พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
นักวิชาการความจริงไม่มีหน้าที่จะมาฟันธงเหมือนหมอดูหรอกครับว่าจะมีรัฐประหารหรือไม่
แต่นักวิชาการอาจจะมีหน้าที่ในการเตือนว่าเงื่อนไขการรัฐประหารนั้นกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
สำหรับสังคมที่ชอบถูกกระทำด้วยความรุนแรง ... การรัฐประหารอาจจะเป็นเสมือนหนึ่งในปรากฏการณ์การเมืองและสถาบันการเมืองอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเพื่อผ่าทางตันในสังคมไทย
ที่ทุกฝ่ายพยายามทำให้ตันเข้าไว้
พยายามให้แตกแยกเข้าไว้
ราวกับการอ้อนวอนให้เกิดการรัฐประหารสักที
คนที่ไม่ยอมรับการทำรัฐประหารนั้น มักจะถูกด่าว่าไม่ยอมรับ "ความจริง" ในสังคม
หรือลามไปถึงการปล่อยให้การกระทำที่ชั่วร้ายเกิดขึ้นต่อไป
ประมาณว่ามีเขางอกมาคล้ายๆ กับคนต่างจังหวัดที่ถูกด่าว่าถูกครอบงำผ่านการซื้อเสียงและผลประโยชน์เฉพาะหน้าจากประชานิยมนั่นแหละครับ
สำหรับคนที่ไม่ต้องการให้เกิดการรัฐประหาร ผมมีข้อสังเกตว่าด้วยแนวโน้มการทำรัฐประหารที่มีการเตรียมการจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อดังนี้
ประการที่หนึ่ง ทำไมทหารไม่ทำรัฐประหารเสียเลยในช่วงที่แล้ว ซึ่งพันธมิตรเร่งเร้าให้มีการเกิดรัฐประหารให้ได้? คำตอบก็คือ ต้นทุนในการทำรัฐประหารในมุมมองของทหารยังสูงอยู่
เพราะการโยกย้ายผ่านไปได้ และงบประมาณของทหารนับจากการทำรัฐประหารในครั้งที่แล้วยังอยู่ในระดับที่ไม่ถูกกระทบกระเทือน
นั่นหมายความว่าถ้าผมพูดเรื่องนี้ผิด ให้จับตาดูได้เลยว่าถ้ารัฐประหารเกิดขึ้น งบประมาณของทหารจะขึ้นหรือลง จะมีไหมที่ทำรัฐประหารแล้วไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่มีการเพิ่มงบประมาณเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก
ประการที่สอง ให้จับตาดูการแยกตัวเองของทหารออกจากรัฐบาลในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าในทางหนึ่งนั้นจะเห็นภาพว่าทหารเอากับรัฐบาล แต่หากพิจารณาดีๆแล้ว จะเห็นว่าเป็นเพราะรัฐบาลวิ่งเข้าไปหาทหารมากกว่าวิ่งหนีทหาร
ในทฤษฎีว่าด้วยการแทรกแซงของทหารในการเมืองนั้น เชื่อกันว่า ทหารจะเริ่มเข้ายุ่งเกี่ยวทางการเมือง เมื่อทหารประกาศตนว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และมีความเป็นมืออาชีพ เมื่อนั้นสังคมและสื่อมวลชนจะเพิ่มความคาดหวังกับทหารในฐานะผู้ที่ไม่มีผลประโยชน์ (ให้ย้อนกลับไปดูข้อที่หนึ่งอีกที) และเชื่อว่าทหารนั้นเป็นพวกเดียวกับเขาและไว้ใจได้
เมื่อใดที่ทหารเริ่มให้สัมภาษณ์มากขึ้นว่าจะไม่ทำรัฐประหาร นั่นหมายความว่าทหารนั้นเริ่มใช้ความเป็นมืออาชีพในการทำรัฐประหารแล้ว เพราะเป็นการสร้างความหวังว่าทหารชุดนี้จะไม่เหมือนชุดก่อน หรือพูดอีกอย่างก็คือ จะทำได้ดีกว่าชุดก่อน
การป้องกันไม่ให้เกิดรัฐประหารความจริงแล้วทำได้ไม่ยาก ถ้าสื่อมวลชนมีความเป็นมืออาชีพและไม่ต้องการให้เกิดการทำรัฐประหาร
แต่ถ้าสื่อมวลชนมีอาชีพในการช่วยสร้างการทำรัฐประหารด้วยแล้ว เราก็จะได้เห็นพันธมิตรประชาชนเพื่อการทำรัฐประหารที่เกิดจากทหารอาชีพและสื่อมวลชนมืออาชีพในอีกไม่นาน ... ไม่ต้องลับ ไม่ต้องลวง ไม่ต้องพราง ...
ประการที่สาม ให้จับตาดูให้ดีว่าทหารเริ่มใช้ข้ออ้างในการอ้างอิงตัวเองในฐานะผู้พิทักษ์สถาบัน ในเชิงผูกขาดความจงรักภักดี
ทั้งที่หน้าที่ของทหารและของคนทุกกลุ่มคือการพิทักษ์หลักการของรัฐธรรมนูญที่วางกฎกติกาของสังคมทุกด้านรวมทั้งสถาบันด้วย ในที่นี้หมายถึงว่ารัฐธรรมนูญเองก็มีกฎของการเปลี่ยนแปลงตามครรลองของตัวเอง และได้รับการลงพระปรมาภิไธยไว้ด้วย
ถ้าเราไม่ระมัดระวังให้ดี การทำรัฐประหารครั้งนี้จะกลายเป็นการใช้ข้ออ้างในการผูกขาดความจงรักภักดีในการจัดการความแตกต่างทางสังคมครั้งมโหฬาร และจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทหารกำลังกลบเกลื่อนความผิดและความไร้ประสิทธิภาพของระบอบรัฐประหารที่ไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมได้ โดยลดทอนให้เงื่อนไขสำคัญของการทำรัฐประหารกลายเป็นเรื่องของความจงรักภักดีเท่านั้น
ประการที่สี่ ให้จับตาดูว่า "การเขียนรัฐประหาร" ในครั้งนี้นอกเหนือจากการผูกขาดความจงรักภักดี จะเป็นเรื่องของการลอกเลียนตัดแปะโดยขอและไม่ขออนุญาตกลุ่มต่างๆทางสังคมที่ห่วงใยในการเผชิญหน้าที่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน
หรืออาจจะตัดแปะโดยไม่สนใจประโยคที่ว่าด้วยการหยุดสร้างเงื่อนไขให้เกิดการทำรัฐประหารด้วยซ้ำ (หมายถึงการเตือนให้หยุดสร้างเงื่อนไขการทำรัฐประหารอาจจะเป็นเนื้อหาในเหตุผลของการทำรัฐประหารเสียเอง)
ปรับปรุงจากบทความที่ตีพิมพ์ครั้งแรกใน "ประชาธิปไตยที่รัก" หนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2551 หน้า 4
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)