"สุริยะใส" ชี้ขัดแย้งไกลแล้วไม่สานเสวนา จำลองยันสนธิโจมตีสุเมธ "สิทธิส่วนบุคคล"

"ดร.สุเมธ" ไม่ตอบโต้ "สนธิ" ให้เวลาพิสูจน์

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ไม่ขอตอบโต้นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาโจมตีบนเวทีพันธมิตร ทำเนียบรัฐบาลเมื่อคืนวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่าน โดยให้นายสุเมธหยุดพูดและหยุดแสดงความเห็นและมายืนอยู่ข้างฝ่ายถูกต้องมากกว่าจะมาสอนให้สามัคคี หลังจากที่นายสุเมธไปขึ้นกล่าวปาฐกถาหัวข้อ "ยุติความรุนแรง แสวงสันติด้วยการสานเสวนา" ในการประชุมใหญ่ของเครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม ที่กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเรียกร้องทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง ต้องช่วยกันหันมารักษาบ้านเมืองให้ปลอดภัย เกิดความสงบสุขของคนในชาติ

 

พร้อมอัญเชิญพระบรมราโชวาท พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานไว้หลังเกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 บางตอนที่ว่า "ประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ"

 

ทั้งนี้ นายสุเมธให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ถึงกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตร กล่าวโจมตีการกล่าวปาฐกถาดังกล่าวว่า ยืนยันว่าการพูดดังกล่าวมีเจตนาดี ไม่ได้พูดเพื่อใคร ส่วนนายสนธิกล่าวให้เสียหายนั้น จะไม่ตอบโต้ เนื่องจากเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ทั้งนี้ ต่อไปจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หากถูกเชิญไปพูดที่ใดก็ตาม

 

 

เครือข่ายสานเสวนาฯ เห็นใจ ดร.สุเมธ ยันจะรณรงค์ต่อไป

ในวันเดียวกัน (28 ต.ค.) ที่ห้องประชุมสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย การประชุมคณะทำงานเครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม เพื่อติดตามประเมินผลการจัดกิจกรรมประชุมใหญ่เครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา

 

ก่อนการประชุมมีการหารือกรณีที่เครือข่ายเรียนเชิญ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา มาเป็นผู้กล่าวปาฐกถานำในการประชุมใหญ่ดังกล่าว เพื่อให้สติและข้อคิดเห็นแก่ผู้เข้าร่วมประชุมที่เห็นพ้องต้องกันว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ควรที่จะใช้วิธีการสานเสวนาระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อลดหรือยุติข้อขัดแย้งซึ่งอาจนำไปสู่การใช้กำลังที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่ยากจะเยียวยาระหว่างคนในชาติที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้จนเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่ายนั้น

 

นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ อุปนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยในฐานะคณะทำงานเครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม แถลงว่า ทางเครือข่ายใคร่ขอแสดงความเห็นใจและขอเป็นกำลังใจให้ ดร.สุเมธ พร้อมทั้งขอเรียกร้องให้ผู้รักความเป็นธรรมและสันติ ร่วมกันปกป้องผู้ที่กล้าหาญและหวังดีต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งมิได้ให้ร้ายหรือโจมตีใคร แต่ได้ให้ข้อคิดที่สร้างสรรค์ต่อทุกฝ่ายไม่ให้ถูกทำลายโดยไม่เป็นธรรมและไม่มีโอกาสปกป้องตนเอง หากสังคมและสื่อมวลชนไม่ปกป้องผู้ใหญ่ที่เสียสละและกล้าหาญเช่นนี้ ต่อไปจะไม่มีใครแสดงความเห็นที่ถูกต้องให้สังคมได้พิจารณาอีก

 

นายประสงค์กล่าวว่า แม้ว่าการดำเนินการของเครือข่ายถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากฝ่ายต่างๆ แต่ทางเครือข่ายยืนยันที่จะรณรงค์เพื่อยุติความรุนแรงต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่คาดหมายไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า การเคลื่อนไหวของเครือข่ายย่อมมีผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หากมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง คนในสังคมจะมีความเข้าใจและเข้ามาร่วมกิจกรรมกับเครือข่ายมากยิ่งขึ้น

 

"บรรหาร" หนุนสานเสวนา 4 ฝ่าย

ส่วนที่รัฐสภา นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวถึงข้อเสนอของนักวิชาการให้ตั้งคณะกรรมการ 8 คน เพื่อสานเสวนาเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งว่า หากทำให้ 4 ฝ่ายมารวมกันสำเร็จได้ก็ถือเป็นเรื่องดี ขอร้องเพียงอย่างเดียวว่าแต่ละฝ่ายอย่าได้เคลื่อนออกจากที่ของตัวเอง หากไม่เคลื่อนปัญหาจะคลี่คลายได้เอง หากเคลื่อนพลเมื่อใดอาจจะมีการปะทะกัน ขณะนี้ถึงจุดที่ใครไม่ยอมใครกันแล้วขอให้ทุกฝ่ายอยู่ในที่ตั้งจะพูดจะแสดงความคิดเห็นอะไรก็ขอให้อยู่ในที่ของตัวเอง

 

ด้านนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช กล่าวว่า ทางออกของบ้านเมืองมีเยอะแยะขอเพียงให้ทุกฝ่ายยึดถือกติกาคือรัฐธรรมนูญ โดยให้ยึดหลักการอยู่ร่วมกัน ทั้งนี้ หากนำเอาปัญหาผลประโยชน์มาเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งย่อมจะยากต่อการเยียวยา

 

 

สุริยะใส กตะศิลาไม่สานเสวนาเพราะความขัดแย้งดำเนินมาไกลแล้ว

เวลา 19.00 น. วันเดียวกัน (28 ต.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตร แถลงว่า ตามที่กลุ่มวิชาการและองค์กรภาคส่วนต่างๆ เสนอใช้เวทีสานเสวนาเพื่อคลี่คลายวิกฤตนั้น พันธมิตรมองว่า ความขัดแย้งดำเนินมาไกลเกินกว่าจะมีการเสวนาเกิดขึ้นได้ เครือข่ายคนรักทักษิณ และ นปช.ไม่ยอมรับคำ พิพากษาของศาล อีกทั้งยังจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างโจ่งแจ้ง ฯลฯ การกระทำดังกล่าวนี้คงไม่สามารถนำมาพูดคุยในวงเสวนาได้ พันธมิตรยังคงยืนยันว่า ทางออกของวิกฤตที่เกิดขึ้นมีทางเดียวคือรัฐบาล "นอมินี" ต้องลาออก แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ 7 ตุลา จึงอยากให้กลุ่มบุคคลที่เสนอสานเสวนายอมรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นด้วย หากจัดสานเสวนาขึ้น สังคมจะเกิดข้อกังขาว่าเหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณที่กระทำความผิดและถูกคำตัดสินของศาลยังไม่ถูกดำเนินคดี

 

 

จำลองยันสนธิโจมตีสุเมธเป็น "สิทธิส่วนบุคคล"

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวโจมตี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาต้องการให้จัดการสานเสวนา จะมีการเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การพูดบนเวทีปราศรัยไม่สามารจำกัดในการพูดได้ และการพูดบนเวทีนั้นมีทั้งดีและเสียเราไม่ได้กำหนดท่าที เป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละคน เรื่องการเสวนาเป็นเรื่องที่ดีแต่ข้อสรุปนั้นไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติที่แท้จริง และเป้าหมายของพันธมิตรฯคือการมีส่วนช่วยแก้ปัญหาของชาติ ไม่ใช่ให้เกิดจากความขัดแย้ง

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯกล่าวว่าจะมีการใช้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายไปช่วยกัปตันจักรกรี นายพิภพ กล่าวว่า ในตอนแรกเราตั้งใจวาจะมีการดาวกระจายไปช่วยแต่มีตัวแทนของสหภาพแรงงานการบินไทยบอกว่า สถานการณ์ไม่ได้เลวร้าย การที่นายสมเกียรติ กล่าวเช่นนั้นหมายถึงสถานการณ์ที่มีการละเมิดสิทธิ เราก็พร้อมที่จะไปให้กำลังใจ และต้องดูข้อมูลทั้งหมดจากสหภาพแรงงานการบินไทยถึงความสบายใจว่าต้องการให้พันธมิตรฯเคลื่อนตัวไปเมื่อใด

 

 

พิภพขอให้คนกรุงเสียสละ เมื่อมีการดาวกระจาย เพราะปัญหาชาติใหญ่หลวงนัก

นายพิภพ กล่าวต่อว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 30 ต.ค. ทางพันธมิตรฯจะเคลื่อนขบวนตามยุทธศาสตร์ดาวกระจาย เพื่อแจกซีดีตำรวจทำร้ายประชาชน เวลา 10.00 น. ตั้งแต่สถานทูตอังกฤษ ไปทางถนนสุขุมวิท จนถึงห้างดิเอ็มโพเรียม โดยจะไปยื่นหนังสือที่สถานทูตอังกฤษ เพื่อขอให้ประเทศอังกฤษเร่งพิจารณาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน (พ.ต.ท.ทักษิณ) กลับมายังประเทศไทย

 

เมื่อถามว่า การใช้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายในวันพรุ่งนี้จะกระทบต่อสิทธิของผู้อื่นหรือไม่เพราะถือได้ว่าเป็นถนนสายเศรษฐกิจ นายพิภพ กล่าวว่า ตนขอเรียนว่าปัญหาของประเทศชาตินั้นใหญ่หลวงมาก ฉะนั้นการเสียสละระยะเวลาเล็กน้อย ตนคิดว่าคนกรุงเทพฯจะเข้าใจ ในระบบประชาธิปไตยจะต้องเปิดโอกาสให้สังคมกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกว่าตนเองถูกกระทบได้ออกมาใช้สิทธิ และต้องเสียสละบางสิ่งร่วมกันในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความถูกต้อง

 

 

รวบ "นปช." ขับกระบะป่วนทำเนียบ

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 13.30 น. ของวันที่ 28 ต.ค. ที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ หน้าโรงเรียนพณิชยการพระนคร ถนนพิษณุโลก เกิดเหตุเมื่อมีกลุ่ม นปช.ประมาณ 10 คน สวมเสื้อสีแดงสกรีนข้อความ "ชอบสมัคร รักทักษิณ" มีบัตรแขวนไว้ที่คอโดยมีข้อความว่า "กลุ่มสตรีเพื่อประชาธิปไตย" และโพกผ้าสีแดง ถือธงสีแดง มีข้อความว่า "ความจริงวันนี้" ได้นั่งบนรถกระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีเทา ทะเบียน บฉ 3230 กทม. ติดตั้งเครื่องขยายเสียง เข้ามาและมีการยิงหนังสติ๊กเข้าในบริเวณที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร โดยพลาดไปโดนคอเด็กชายที่เข้ามาขายพวงมาลัยให้กับผู้ชุมนุมจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งผู้ปกครองได้นำตัวเด็กชายคนดังกล่าวส่งโรงพยาบาล

 

กลุ่มพันธมิตรได้ตอบโต้โดยการยิงหนังสติ๊กเข้าใส่รถคันดังกล่าว จนทำให้รถได้รับความเสียหายกระจกรถบริเวณด้านหน้าและด้านข้างแตก ขณะที่การ์ดพันธมิตรได้สกัดจับรถดังกล่าวได้บริเวณแยกสนามม้านางเลิ้ง โดยกลุ่ม นปช.ที่เป็นวัยรุ่นประมาณ 5 คน ได้วิ่งหนีเข้าไปในสนามม้า ส่วนคนที่อยู่ในรถซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ชาย 1 คน และหญิง 4 คน ถูกการ์ดพันธมิตร เข้าล็อกตัว และยึดรถเอาไว้ พร้อมกับพาตัวมาในทำเนียบรัฐบาล เพื่อนำไปประจานบนเวที

 

 

พันธมิตรนำตัวไปประจาน ลงเวทีเจอชก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนำตัวขึ้นไปบนเวที ปรากฏว่า ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณด้านหน้าเวทีโห่ไล่ และปาสิ่งของใส่ จนต้องนำตัวลงจากเวทีและพาออกจากพื้นที่ชุมนุม เนื่องจากเกรงว่าจะถูกกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาทำร้ายร่างกาย แต่ระหว่างนั้น มีการ์ดพันธมิตรชายคนหนึ่งทนไม่ไหวแทรกตัวเข้ามาชกชาย 1 ใน 4 นปช.ที่ถูกคุมตัว จนปากแตกเลือดไหล พรรคพวกต้องเข้ามากันออกไปแล้วส่งตัวทั้ง 5 ให้เรือตรีแซมดิน เลิศบุษย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม นำตัวส่งตำรวจ สน.นางเลิ้ง สอบปากคำและดำเนินคดีต่อไป

 

จากการตรวจสอบรถคันดังกล่าว พบว่า กระจกที่บริเวณด้านหน้าและด้านข้างคนขับแตก บริเวณกระบะหลัง พบน้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน ท่อนไม้ ท่อนเหล็กแป๊บ เป็นต้น

 

 

นปช. แจ้งความถูกการ์ด พธม. ทำร้าย

เวลา 14.00 น. ที่ สน.นางเลิ้ง นางนะนิตย์ นามนู อายุ 70 ปี นางสมบัติ ขยันชุมนุม อายุ 52 ปี นางสาวสุนันท์ มณีรัตน์ อายุ 53 ปี นางสาวระ ฝาชัยภูมิ อายุ 52 ปี และนายวิเชียร จรุงกิจ อายุ 67 ปี เข้าแจ้งความกับ พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวช ผกก.ช่วยราชการ สน.นางเลิ้ง ว่าถูกการ์ดพันธมิตร ทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ ในระหว่างที่ขับรถยนต์กระบะอีซูซุ ดีแมคซ์ สีเทา ทะเบียน บฉ 3230 กรุงเทพมหานคร เข้าไปที่บริเวณถนนพิษณุโลก หน้าโรงเรียนราชวินิตมัธยม โดยทั้งหมดอยู่ในสภาพถูกทำร้ายร่างกาย

 

นางนะนิตย์ซึ่งสวมผ้าพันคอป้องกันประชาธิปไตยคนไทยกู้ชาติกล่าวว่า ว่าจ้างรถปิกอัพคันดังกล่าว และรถแท็กซี่ 1 คัน เพื่อขนเครื่องเสียงจากสนามหลวงไปสถานีรถไฟสามเสน ระหว่างนั้น ตนกับเพื่อนขึ้นนั่งรถแท็กซี่ อีกส่วนได้ขึ้นรถ กระบะและขับตามกันมา กระทั่งมาทราบว่า การ์ดพันธมิตรสั่งให้จอดและบอกให้ทั้งหมดลงจากรถ ทำให้เพื่อนที่มาด้วยกันวิ่งหนี และคนขับแท็กซี่ก็รีบขับออกไป ทำให้ตนกับเพื่อนที่นั่งกระบะมาถูกการ์ดทำร้ายตบตี และควบคุมตัวไปข้างใน ระหว่างนั้นมีคนใช้ไม้กระบองตีตนที่หลังและข้อศอกซ้าย

 

"ฉันพยายามร้องให้คนช่วยเหลือ แต่กลุ่มพันธมิตรก็ไม่สนใจ แถมมาด่าว่าเป็นอีแก่ ไม่คิด ว่ารถจะหลงเข้ามาข้างใน ฉันมาเรียกร้องประชาธิปไตยที่สนามหลวงเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่ ทำไมต้องทำคนแก่แบบนี้ด้วย เพราะเป็นแค่แม่ค้าขายเสื้อผ้าที่สนามหลวงเท่านั้น" นางนะนิตย์กล่าว

 

ให้การไม่รู้เส้นทางขับหลงเข้าไป

ด้านนายวิเชียร คนขับรถกระบะกล่าวว่า รับการว่าจ้างให้ไปส่งที่สถานีรถไฟสามเสน ในราคา 300 บาท ผ่านสนามม้านางเลิ้ง พอไฟเขียวเลี้ยวซ้ายผ่านโรงเรียนราชวินิต ไม่รู้ว่าปิดถนน และงุนงงไม่รู้จะไปทางไหน กระทั่งหลุดเข้าไปข้างในและถูกควบคุมตัว รถยังถูกการ์ดพันธมิตรเอาไม้ทุบกระจกหน้าและกระจกข้างรถฝั่งซ้ายและขวาแตกละเอียด และการ์ดพันธมิตรยังมาดึงเอากุญแจรถและให้ลงจากรถ ก่อนถูกเตะและตบหน้า ก่อนถูกนำไปข้างในและถูกตบอีก หากรู้ว่าเป็นแบบนี้คงไม่กล้าเข้ามา แต่หลงเข้าไปจริงๆ

ด้าน พ.ต.อ.วิบูลยุทธกล่าวว่า เมื่อทราบว่ามีคนเห็นพันธมิตรควบคุมกลุ่ม นปช.เข้าไป จึงตรวจสอบเมื่อพบว่าเป็นจริง จึงนำตัวออกมา ส่วนสาเหตุก็เนื่องจากมาไม่ถูกจึงหลงเข้าไป ส่วนผู้บาดเจ็บได้ให้ปากคำและลงบันทึกประจำวันไว้ หากมีการแจ้งความก็จะติดตามผู้ก่อเหตุดำเนินคดีต่อไป

 

 

เลขาธิการโรงเรียนสนามหลวงยัน นปช. เตรียมไปประชาธิปัตย์แต่หลงทาง

ด้านหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์รายงานเพิ่มเติมว่า นายสุขุม วงค์ประสิทธิ เลขาธิการทั่วไปโรงเรียนประชาธิปไตยแห่งสนามหลวงให้สัมภาษณ์ในรายการ "นิวส์ ไฮไลท์" ออกอากาศทางสถานีวิทยุ คลื่น 97.0 ว่าหลังจากที่วานนี้ (28 ต.ค.) ตนพร้อมผู้ชุมนุมประมาณ 20 คนเตรียมที่จะไปยื่นหนังสือที่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเรียกร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เนื่องจากอยู่เบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

 

ทั้งนี้ผู้ชุมนุมบางส่วนได้ว่าจ้างรถกระบะให้ไปส่งที่หน้าพรรค แต่เนื่องด้วยคนขับรถไม่รู้เส้นทาง ได้ขับรถหลงไปทางด้านโรงเรียนราชวินิต ซึ่งเป็นบริเวณใกล้กับกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ จากนั้นได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรวิ่งมาล้อมรถ  แล้วใช้หนังสติ๊กยิงใส่กระจกรถจนแตก

 

 

เผยถูกนำไปให้พันธมิตรตะโกนด่า และถูกรุมสกรัม

อย่างไรก็ตามกลุ่มของตนส่วนมากจะเป็นผู้หญิง มีผู้ชายเพียงคนเดียวที่เป็นคนขับ ซึ่งบางคนอายุ 70 ปีแล้ว ได้โดนกลุ่มพันธมิตรฯกระชากลงจากรถ บางคนบ้างก็ถูกชกที่ใบหน้า ตบที่หูจนมีเลือดไหลออกมา

จากนั้นผู้ชุมนุมพันธมิตรฯก็พาคนที่ถูกทำร้ายไปที่สน.นางเลิ้งเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำประวัติ โดยเมื่อทำประวัติเสร็จสิ้นแล้ว ก็ใช้ผ้าแดงมัดมือไปประจานบนเวทีของพันธมิตรฯในทำเนียบรัฐบาล โดยให้ผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณนั้นตะโกนด่า ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ประมาณ 10 นาที

 

ทั้งนี้อีกด้านหนึ่งลุงคนขับรถได้ถูกการ์ดพันธมิตรฯ เตะเข้าที่ท้องตบที่หู โดยที่คนรอบข้างได้สิ่งของขว้างปาใส่จนได้รับบาดเจ็บ

 

"การ์ดพันธมิตรฯ ถามลุงคนขับรถว่านี่รูปใคร โดยลุงคนขับก็บอกว่ารูปในหลวง แล้วการ์ดพันธมิตรฯได้ถามอีกว่าแล้วทำไมไม่จงรักภักดี พร้อมกับให้กราบ ซึ่งลุงคนขับก็กราบ จากนั้นก็โดนการ์ดของพันธมิตรฯเตะเข้าที่ท้องจนจุกร้องไม่ออก และตบที่หูจนเลือดไหลออกมา" นายสุขุม กล่าว

 

 

ชี้บรรยากาศราวหลุดเข้าไปในเขตปกครองพิเศษ

นายสุขุมกล่าวด้วย บรรยากาศในขณะนั้นตนคิดว่าไม่ใช่เมืองไทย จะเปรียบได้ก็เหมือนกับเขตปกครองพิเศษ เพราะในกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นมีกองกำลังติดอาวุธเดินกันเต็มพื้นที่ไปหมด อย่างไรก็ตามตนอยากถามกลุ่มพันธมิตรว่า ทำไมคนที่ใส่เสื้อแดงแล้วจะผ่านไปยังบริเวณนั้นไม่ได้ หรือคิดว่าประเทศนี้เป็นของตัวเองไปแล้ว เพราะว่าแกนนำพันธมิตรฯได้ปราศรัยว่ากลุ่มของตนไปใช้ถนนของพันธมิตรฯ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ทำให้ประชาชนขาดเสรีภาพในการดำรงชีวิตอย่างมาก

 

นายสุขุมกล่าวอีกว่าหลังจากที่กลุ่มคนของตนถูกประณามในทำเนียบได้มี พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวช ผกก.สน.นางเลิ้ง ไปเจรจาให้พันธมิตรฯปล่อยตัวผู้ชุมนุมทั้ง 7 คน โดยหลังจากที่ผู้ชุมนุมของตนได้รับอิสรภาพแล้วจึงได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ สน.นางเลิ้งฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว และทำร้ายรางกาย และนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัว ทั้งนี้หนึ่งในคนเจ็บมีคุณป้าอายุประมาณ 70 ปีบาดเจ็บสาหัสเส้นเลือดใหญ่ที่ข้อศอกฉีกขาด

 

 

ที่มาของข่าว: เรียบเรียงจากหนังสือพิมพ์มติชน แนวหน้า และประชาทรรศน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท