Skip to main content
sharethis

บีบีซีชี้ยากเอาตัวทักษิณกลับมาติดคุก / นปช.เตรียมเคลื่อนขบวนไปอนุสาวรีย์ปชต.31ต.ค. / เลือกตั้งซ่อม ปชป. ชนะ พปช. / บัวแก้วแจงต่างชาติปฏิเสธทหารไทยทำพระวิหารเสียหาย / สุขุมพงศ์เดินหน้าล่าชื่อ ส.ส.-ส.ว.ดันตั้งส.ส.ร.3 สัปดาห์นี้ / ไข้ฉี่หนูระบาดหนัก 18 อำเภอกาฬสินธุ์ /สิ่งทอ - เครื่องไฟฟ้าน่าห่วง โละคนงานทิ้ง / รมช.คลังเงา พบ 3 ใน 6 มาตรการช่วยศก. รัฐบาลหมกเม็ด จี้เร่งชี้แจง /รัฐอัดเงินลงรากหญ้า 9.3 พันล้าน / เด็กจีน1ใน4ดื่มนมเปื้อนพิษ ฮ่องกงตะลึงพบเมลาลีนในไข่


 


 


การเมือง


 


 


บีบีซีชี้"ยาก"เอาตัว"ทักษิณ"กลับมาติดคุก


ผู้จัดการรายวัน : บีบีซีนิวส์ - เว็บไซต์บีบีซีนิวส์เสนอรายงานข่าว ชี้การที่ไทยจะขอให้อังกฤษเนรเทศ "แม้ว" กลับมารับโทษตามความผิด ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย โดยต้องพิสูจน์ให้ศาลแดนผู้ดีเห็นว่า อาชญากรรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำถือเป็นความผิดในอังกฤษเช่นกัน รวมทั้งต้องโต้แย้งข้ออ้างของ "แม้ว" ที่ว่า คดีนี้มีแรงจูงใจทางการเมือง ตลอดจนการพิจารณาคดีในไทยดำเนินไปอย่างยุติธรรม ขณะเดียวกันก็ยังต้องเจอผลกระทบของการเมืองในประเทศไทยอีกด้วย


 


รายงานข่าวที่เขียนโดย ไมเคิล โดบี กล่าวว่า อังกฤษกับไทยได้ทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาตั้งแต่ปี 1911 ทว่ากระบวนวิธีในการดำเนินการเรื่องนี้อาจจะกินเวลานานและสลับซับซ้อน


 


ประการแรกสุด ศาลพิจารณาคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนของอังกฤษต้องเห็นชอบเสียก่อนว่า อาชญากรรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระทำและถูกตัดสินลงโทษในประเทศไทยนั้น ถือเป็นความผิดในอังกฤษด้วยเช่นกัน


 


ไคลฟ์ นิโคลส์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน บอกกับบีบีซีว่า เรื่องนี้ฝ่ายไทยอาจขอความช่วยเหลือจากสำนักงานอัยการแผ่นดินของอังกฤษในการร่างคำร้องต่อศาล ทว่าศาลแดนผู้ดียังจะพิจารณาปัจจัยข้ออื่นๆ อีก เป็นต้นว่า คดีนี้มีแรงจูงใจทางการเมืองดังที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวอ้างหรือไม่


 


 "ถ้าปรากฏว่าคำขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน เป็นไปเพื่อลงโทษเขาเนื่องจากความคิดเห็นทางการเมือง การส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็จะกระทำไม่ได้" นิโคลส์กล่าว


 


กรณีทำนองนี้เคยมีตัวอย่างเมื่อไม่นานมานี้ โดยอังกฤษปฏิเสธคำขอของรัฐบาลรัสเซียที่จะให้ส่งตัวชาวรัสเซียหลายๆ คน อาทิ มหาเศรษฐี บอริส เบเรซอฟสกี กลับไปให้แดนหมีขาวดำเนินคดี ด้วยเหตุผลว่าพวกเขาถูกตั้งข้อหาเนื่องจากแรงจูงใจทางการเมือง


 


บีบีซีบอกว่า กระทั่งผ่านด่านนี้ไปแล้ว ศาลอังกฤษก็ยังจะพิจารณาในแง่ที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้รับการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรมหรือไม่ และมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการพิจารณาคดีใหม่หรืออุทธรณ์คำตัดสิน เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณถูกส่งกลับประเทศไทยแล้ว


 


ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกไต่สวนลับหลังในคดีนี้ อาจจะเป็นประเด็นหนึ่งที่ศาลอังกฤษจะพิจารณาด้วย แม้ไม่น่าจะเป็นปัจจัยชี้ขาด ขณะที่ ศาสตราจารย์ เจฟฟ์ กิลเบิร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนและสิทธิมนุษยชน แห่งมหาวิทยาเอสเส็กซ์ ในอังกฤษ ชี้ว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีสิทธิในการอุทธรณ์ที่จำกัดมาก อาจเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อการตัดสินของศาลแดนผู้ดีได้


 


ศาลอังกฤษยังอาจปฏิเสธไม่ให้ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาลงโทษในไทย ถ้าหากเห็นว่าการให้เขาเข้าคุกไทยจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยที่องค์การการกุศลของอังกฤษ ที่ชื่อ "พริซั่นเนอร์ อะบรอด" ระบุว่า เรือนจำธรรมดาในประเทศไทยมีสภาพย่ำแย่ แออัด มีอาหารไม่เพียงพอ และระบบสุขอนามัยก็แย่มาก


 


อย่างไรก็ตาม ดันแคน แมคคาร์โก ศาสตราจารย์ด้านการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แห่งมหาวิทยาลัยลีดส์ ของอังกฤษ ชี้ว่า คนไทยร่ำรวยจริงๆ อย่างเช่น พ.ต.ท.ทักษิณและภริยานั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยต้องติดคุกหรอก และยังเป็นเรื่องลำบากที่จะคาดว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเปิดกลเม็ดด้านสิทธิมนุษยชนอะไรขึ้นมาอีก


 


ศาสตราจารย์กิลเบิร์ตบอกว่า คดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยทั่วไปจะใช้เวลาราว 5 ปีกว่าที่ศาลจะตัดสิน แต่ก็มีกระบวนการแบบ "ฟาสต์แทร็ก" ที่ลดเวลาให้น้อยลงได้ กระนั้นก็ตาม ถ้าอังกฤษตัดสินให้เนรเทศ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังอาจยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป อันจะทำให้กระบวนการนี้ยืดเยื้อไปได้อีกหลายเดือน


 


สำหรับอีกช่องทางหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณอาจใช้เพื่อให้ได้พำนักในกรุงลอนดอนต่อไป ก็คือการยื่นขอลี้ภัยในอังกฤษ แต่ศาสตราจารย์กิลเบิร์ตมองว่า ความพยายามเช่นนี้คงจะล้มเหลว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มี "ความหวังที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าเขามีความหวาดกลัวอันตั้งอยู่บนหลักฐานที่หนักแน่น ต่อการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี [จากรัฐ] ในประเทศไทย"


 


รายงานข่าวของบีบีซีได้หยิบยกคำพูดของ เจมี เมตเซิล นักวิเคราะห์เรื่องประเทศไทย ที่เป็นรองประธานบริหารของสมาคมเอเชีย ในนครนิวยอร์ก ซึ่งกล่าวว่า การเมืองภายในประเทศไทยอาจกลายเป็นสิ่งที่มีบทบาทตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกส่งตัวกลับเมืองไทยหรือไม่


 


ทั้งนี้แม้ทางอัยการไทยแถลงว่าจะดำเนินการเพื่อนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมารับโทษ แต่เมตเซิลชี้ว่า นายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่ต้องการให้เขาต้องติดคุก


 


อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์แมคคาร์โกชี้ในอีกมุมหนึ่งว่า เนื่องจากมีผู้ประท้วงเรียกร้องนายกฯสมชายลาออก เพราะใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องนี้จึงอาจทำให้นายกฯสมชายตัดสินใจว่า จะต้องทำให้เห็นกันว่าเขาต้องการได้ตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาลงโทษ


 


รายงานของบีบีซีสรุปว่า ในประเทศไทยกำลังมีความแตกแยกกันอย่างลึกซึ้งในเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ การปล่อยให้เขาอยู่นอกประเทศจึงอาจจะเป็นผลดีมากกว่า เพราะการกลับมาของเขาไม่ว่าจะติดคุกหรือไม่ก็ตามที ก็ยังอาจสร้างความปั่นป่วน


 


แต่ไมว่าเขาจะอยู่ในอังกฤษต่อไปหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณย่อมมีแรงจูงใจอันหนักแน่นที่จะเกี่ยวข้องกับการเมืองไทยต่อไป เนื่องจากทรัพย์สินของเขาราว 2,000 ล้านดอลลาร์ยังถูกอายัดไว้


 


 


นปช.เตรียมเคลื่อนขบวนไปอนุสาวรีย์ปชต.31ต.ค.


เว็บไซต์คมชัดลึก : นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 และ 31 ตุลาคมนี้ ทางกลุ่ม นปช.จะนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้ง โดยในวันที่ 31 ตุลาคม เวลา 20.00 น. ทางแกนนำและผู้ชุมนุมจะมีการเคลื่อนไหวออกนอกพื้นที่สนามหลวง เพื่อไปทำกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทางแกนนำยังไม่มีหารือกันว่าจะเดินทางต่อไปที่ทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ แต่จุดยืนของกลุ่ม นปช.ยังคงยืนยันยึดหลักสันติวิธี โดยใช้การกดดันทางสังคมในรูปแบบต่างๆ


 



ทั้งนี้ ภายในสัปดาห์ ตนและแกนนำจะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อขอให้ตรวจสอบเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ให้ละเอียดอีกครั้ง เพราะรีบด่วนสรุปว่าตำรวจใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ พร้อมทั้งจะมอบหลักภาพถ่ายเหตุการณ์ให้ด้วย


 



อย่างไรก็ตาม นายสมยศ กล่าวอีกว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะโทรศัพท์มาพูดออกรายการความจริงวันนี้สัญจร ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ถือเป็นสิทธิที่รายการทำได้ ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด และคงจะไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นในวันนั้น เพราะอยู่ห่างจากพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล



 


เลือกตั้งซ่อม ปชป. ชนะ พปช.


ผู้จัดการรายวัน : การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 11 กรุงเทพมหานคร แทนตำแหน่งที่ว่างเนื่องจากนายสุธา ชันแสง ได้ลาออกจากการเป็น ส.ส.เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ผลปรากฎว่า นายวัชระ เพชรทอง ผู้สมัครหมายเลข 2 จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับชัยชนะ โดยคะแนนเบื้องต้นพบว่า ชนะนายแสวง ฤกษ์จรัล ผู้สมัครจากพรรคพลังประชาชน ด้วยคะแนน 49,346 ต่อ 42,537 คะแนน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 338,433 คน แต่มีคนมาใช้สิทธิเพียง 99,123 คน คิดเป็นร้อยละ 29.29 บัตรเสียร้อยละ 0.88 ไม่ประสงค์ลงคะแนนร้อยละ 6.41


 


 


บัวแก้วแจงต่างชาติปฏิเสธทหารไทยทำ"พระวิหาร"เสียหาย


เว็บไซต์คมชัดลึก : กัมพูชาร้องเรียนยูเนสโก กล่าวหาทหารไทยยิงจรวดเข้ามาในช่วงปะทะกัน ทำปราสาทพระวิหารเสียหาย ขณะที่บัวแก้วแจงต่างชาติ ปฏิเสธทหารไทยทำพระวิหารเสียหาย โต้กลับกัมพูชายิงอาร์พีจีตกใกล้สถูปคู่ แถมบางส่วนตกในอุทยานเขาพระวิหาร จนทหารไทยเจ็บ 2 นาย ด้าน ผบ.กองกำลังสุรนารีชี้ต่างฝ่ายต่างยิง กำหนดไม่ได้กระสุนตกที่ไหน ย้ำไม่อยากพูดมากหวั่นเกิดความขัดแย้งซ้ำ



แม้ว่าการหารือระหว่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการพบกันระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน จะบรรลุตามหลักการ 4 ข้อ คือ 1.จะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะหรือเผชิญหน้าระหว่างกันอีก 2.จะใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ปัญหาและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน 3.สานต่อความร่วมมือที่มีอยู่และพัฒนาความร่วมมือด้านใหม่ควบคู่ไป และ 4.จะร่วมกันสนับสนุนความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคและกรอบภูมิภาคต่างๆ นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา หรืออาร์บีซี ที่ จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับและปรับความเข้าใจกัน พร้อมทำความตกลงร่วมกันว่าจะไม่ให้เกิดการปะทะหรือการเผชิญหน้ากันอีก จนทำให้ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาลดลงแล้วนั้น


 



ล่าสุดทางการกัมพูชากลับยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงานขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านวัฒนธรรมของสหประชาชาติ กล่าวหาทหารไทยว่าได้สร้างความเสียหายให้แก่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ในช่วงเกิดการปะทะกันที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา


 



นายไพ สีปาน โฆษกของสภารัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเผยกับสำนักข่าวเอเอฟพี เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมว่า บันไดและนาคปูนปั้นซึ่งมีอายุเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ถูกยิงด้วยจรวดจนได้รับความเสียหาย ซึ่งเขาระบุว่าเป็นเจตนาสร้างความเสียหายโดยทหารไทย เพราะพบเศษชิ้นส่วนที่เหลือของระเบิดบริเวณใกล้กับปราสาท และไม่มีทหารกัมพูชาประจำการอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทางกัมพูชาจึงได้ยื่นร้องเรียนต่อยูเนสโก โดยส่งรายงานและภาพถ่ายของความเสียหายไปให้ในช่วงไม่กี่วัน หลังเกิดการยิงปะทะกันเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม บริเวณใกล้ปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความขัดแย้งครั้งใหม่ระหว่างไทยกับกัมพูชามานานหลายเดือนแล้ว และเกิดการปะทะกันในเดือนนี้ ทำให้มีทหารกัมพูชา 3 นาย และทหารไทย 1 นายเสียชีวิต


 



ด้านกระทรวงการต่างประเทศของไทยออกเอกสารชี้แจงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลจากกองทัพภาคที่ 2 ได้รับการชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ตามที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา บริเวณผามออีแดง ทหารไทยใช้เพียงอาวุธปืนเล็กยาวในการตอบโต้ทหารกัมพูชา ไม่มีการใช้อาวุธหนัก หรือเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้าใส่บริเวณปราสาทพระวิหารตามที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง



ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามีการยิงอาวุธใส่ทหารไทยที่ตั้งมั่นอยู่ในบริเวณสถูปคู่ ใกล้ผามออีแดงด้วยปืนไร้แรงสะเทือน และเครื่องยิงลูกระเบิดอาร์พีจี โดยปรากฏว่าระเบิดส่วนหนึ่งตกใกล้สถูปคู่ ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และมีระเบิดอีกส่วนหนึ่งตกเข้าไปในอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร บริเวณลานชมดาว และบ้านพักของอุทยาน ซึ่งฝ่ายไทยพบว่ามีระเบิดอาร์พีจี 2 ลูก ที่ตกลงพื้นแต่ไม่ระเบิด โดยฝ่ายไทยได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน


 



ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งไปยังสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลไทยที่ประจำการในต่างประเทศ เพื่อชี้แจงข้อมูลต่อนานาชาติแล้ว


 



พล.ต.กนก เนตระคเวสนะ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่อยากพูดอะไรมาก เขาอยากทำอะไรก็ให้ทำไป เพราะต้องเข้าใจว่า เมื่อมีเหตุปะทะกัน ต่างฝ่ายต่างจะต้องป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด การยิงตอบโต้ออกไปนั้น ไม่สามารถควบคุมได้ว่าจะให้กระสุนไปตกที่ไหนบ้าง



"เราก็ยิงจากบ้านของเราไป เขาก็ยิงจากบ้านของเขามา แต่หากกระสุนไปทำลายตัวปราสาทจริง ก็ต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นตามที่เขากล่าวหาแต่อย่างใด" ผบ.กกล.สุรนารีกล่าวพร้อมขอร้องสื่อมวลชนว่า อย่าได้นำประเด็นนี้ไปสร้างความขัดแย้งให้ปะทุขึ้นอีกเลย หากพูดอะไรไปมากกว่านี้ จะกลายเป็นเรื่องระหว่างประเทศอีก


 


 


'สุขุมพงศ์' เดินหน้าล่าชื่อ ส.ส.-ส.ว.ดันตั้งส.ส.ร.3สัปดาห์นี้


เว็บไซต์เดลินิวส์ : นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 กล่าวถึงความคืบหน้าในการทำงานว่า คณะกรรมการได้วางกรอบและยกร่างแก้ไขเสร็จแล้ว โดยในช่วงนี้จะเป็นขั้นตอนในการนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เมื่อเห็นชอบแล้วก็จะนำสู่การลงชื่อของสมาชิกรัฐสภาเพื่อเสนอให้ นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา ซึ่งมั่นใจว่าสัปดาห์นี้ขั้นตอนเหล่านี้จะเสร็จสิ้น อยู่ที่ว่าประธานรัฐสภาจะบรรจุระเบียบวาระได้เมื่อใดเท่านั้น ทั้งนี้ มั่นใจเข้าทันสมัยประชุมนี้


 



นายสุขุมพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการประชุมรัฐสภาในวันที่ 28 ต.ค.นี้ ที่ประชุมจะพิจารณาเกี่ยวกับกรอบที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชาเท่านั้น จะไม่มีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของคปพร. ที่ น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.เสนอเข้ามา อาจจะเรียกว่าแขวน หรือไม่หยิบมาพิจารณาเลยก็ได้ เพราะเราต้องการแก้ไขมาตรา 291 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.3 เท่านั้น


 



เมื่อถามว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เสนอให้พักเรื่อง ส.ส.ร.3 เอาไว้ก่อน เพราะเกรงจะเป็นการจุดชนวนความรุนแรงเพิ่มขึ้น นายสุขุมพงศ์ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องของพรรคพลังประชาชน (พปช.) เป็นเรื่องของพรรค ปชป. ที่สามารถเสนอได้ แต่ยืนยันว่า ส.ส.ร.3 ไม่ใช่ชนวนเหตุให้เกิดความขัดแย้ง แต่เป็นทางออกตามระบอบประชาธิปไตย


 



ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ฝ่ายค้าน และ ส.ว.บางส่วน ไม่เห็นด้วย จะทำให้เกิดข้อครหารัฐบาลใช้เสียงมากลากไปหรือไม่ นายสุขุมพงศ์ กล่าวว่า การลงมติไม่จำเป็นต้องใช้เสียงสมาชิกรัฐสภา 100% อยู่แล้ว เอาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ก็พอ และไม่ต้องกังวลอะไร เพราะปกติฝ่ายค้านก็ไม่เคยเห็นด้วยกับรัฐบาลอยู่แล้ว จะเห็นด้วยก็ต่อเมื่อตัวเองได้เป็นรัฐบาลเท่านั้น ส่วนที่เกรงว่าม็อบพันธมิตรฯ จะมาปิดล้อมรัฐสภาอีกนั้น เราคงห้ามเขาไม่ได้ แต่เขาก็ห้ามเราไม่ได้เช่นกัน มั่นใจว่าจะไม่เกิดความรุนแรง เพราะศาลปกครองมีคำสั่งแล้วว่าการชุมนุมห้ามใช้ความรุนแรง ดังนั้น พันธมิตรฯ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาล


 


 


สุขภาพ


 


 


ไข้ฉี่หนูระบาดหนัก 18 อำเภอกาฬสินธุ์


เว็บไซต์เดลินิวส์ : นายแพทย์ พิสิทธิ์ เอื้อวงศ์กูล สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ขณะนี้ จ.กาฬสินธุ์ ยังมีปัญหาน้ำท่วมขังอยู่บางส่วน และจากอาชีพของประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพกสิกรรม จึงเสี่ยงต่อโรคไข้ฉี่หนู ทั้งนี้ พบว่า มีผู้ป่วยมากที่สุดในช่วงฤดูกาลทำนา และช่วงของการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งปีนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยตัวเลขในเดือน ก.ค. มีผู้ป่วย 41 ราย เสียชีวิต 2 ราย เดือน ส.ค. มีผู้ป่วย 44 ราย เสียชีวิต 1 ราย และเดือน ก.ย. มีผู้ป่วยมากถึง 59 ราย เสียชีวิต 3 ราย ส่วนเดือน ต.ค. พบว่าโรคไข้ฉี่หนู กำลังระบาดอย่างหนักใน 18 อำเภอ


 



ทั้งนี้ มียอดผู้ป่วยจากโรคไข้ฉี่หนูแล้ว 280 ราย และเสียชีวิตแล้ว 13 ราย ส่วนการป้องกันนั้น นอกจากคำสั่งให้แพทย์ประจำตำบล สาธารณสุขอำเภอ หมู่บ้าน และอสม. ลงพื้นที่ให้ความรู้ในการป้องกันโรคไข้ฉี่หนูแล้ว เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการลุยน้ำโดยไม่จำเป็น รวมทั้งต้องทำความสะอาดร่างกาย หลังจากทำการเกษตร นอกจากนี้ เมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ควรรีบพบแพทย์



 


เศรษฐกิจ


 


 


สิ่งทอ - เครื่องไฟฟ้าน่าห่วง โละคนงานทิ้ง


เดลินิวส์ : นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภา   อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิด  เผยว่า ในปี 52 เป็นห่วงภาวะการจ้างงานไทยในภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก เนื่องจากภาคเอกชนหลายภาคอุตสาหกรรมร่วมกันประเมินว่าช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 52  คนไทยตกงาน 6-7 แสนคน ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่เลิกจ้างงานมากสุด เช่น สิ่งทอ เครื่องประดับ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น เพราะหลายโรงงานต้องปิดกิจการลงหรือลดต้นทุนรายจ่ายตามบริษัทแม่ในต่างประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติสถาบันการเงินของประเทศสหรัฐ ดังนั้นอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหามาตรการรับมือโดยด่วนเพื่อป้องกันปัญหาสังคมตามมาภายหลัง


 


"ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 51 จะได้รับผลกระทบไม่รุนแรงมากนัก แต่จะเริ่มเห็นชัดเจนในช่วงไตรมาสแรกของปี 52 (ม.ค.-มี.ค.) ที่อาจทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน"


 


สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า มี 3 ปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คือ ผลกระทบการเงินของโลกที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง, สถานการณ์ปัญหาการเมืองที่มีความแตกแยกจนความเชื่อมั่นต่อการลงทุนภายในประเทศลดลง และปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นต้น


 


"ไทยคงสูญเสียรายได้จากการลดลงของนักท่องเที่ยว ล่าสุดปริมาณนักท่องเที่ยวทั่วโลกปรับลดลง 5-10% แต่เฉพาะของไทยเองลดลง 15-20% ถือได้ว่าต่ำสุดในรอบ 20"


 


สำหรับข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ว่างงาน 4.5 แสนคน หรือคิดเป็น 1.2% ของกำลังแรงงานทั่วประเทศ


 


 


ธปท.ชี้เอ็นพีแอล ไตรมาส 3 พุ่ง3.2%


เดลินิวส์ : รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) สุทธิไตรมาส 3 ที่ผ่านมาพบว่า มีมูลค่า 230,249 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.29% ต่อสินเชื่อรวม  แบ่งเป็นธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศมูลค่า 226,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.59% สาขาธนาคารต่างประเทศ มูลค่า 1,947 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.30% บริษัทเงินทุน 1,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.86% และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 273 ล้านบาท  ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ และหากพิจารณาเป็นภาคธุรกิจพบว่า ภาคอุตสาห กรรมมียอดหนี้เอ็นพีแอลมากที่สุดในระบบ รองลงมาคือด้านบริการและการก่อสร้าง


 


ทั้งนี้ถ้าเทียบกับเดือนไตรมาส 3 ปี 50 พบว่ามีมูลค่า 260,722 ล้านบาท ลดลง 25.90% โดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศมีมูลค่า 254,784 ล้านบาท ลดลง 25.67% สาขาธนาคารต่างประเทศมีมูลค่า 3,670 ล้านบาท ลดลง 53.13% บริษัทเงินทุนมูลค่า 1,985 ล้านบาท ลดลง 21.61% บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 282 ล้านบาท ลดลง 19.88% ซึ่งเป็นผลมาจากธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น เพราะเกรงว่าจะมีเอ็นพีแอลสูงขึ้นและอาจจะส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ชะลอตัว


 


"ปัญหาเอ็นพีแอลมีผลกดดันต่อธนาคารพาณิชย์ไทยในปัจจุบันอย่างมาก จากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว ทำให้การบริหารจัดการหนี้มีความท้าทายมากขึ้น"


 


 


รมช.คลังเงา พบ 3 ใน 6 มาตรการช่วยศก. รัฐบาลหมกเม็ด จี้เร่งชี้แจง


พรรคประชาธิปัตย์ : ดร.สรรเสริญ สมะลาภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (เงา) กล่าวว่า ตนต้องการเสนอแนวทางให้กับรัฐบาล และเปิดโอกาสให้รัฐบาลได้ชี้แจงเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย พร้อมกันนั้นยังได้กล่าวถึงมาตรการ 6 ข้อของรัฐบาลว่า ต้องการจะเห็นมาตรการสำหรับภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งใน 6 ข้อดังกล่าวมีมาตรการที่ช่วยภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง 3 ข้อ อันประกอบด้วยการเพิ่มการส่งออกและการท่องเที่ยว การเร่งรัดงบประมาณรายจ่าย และโครงการเมกะโปรเจ็ค


 


ดร.สรรเสริญ กล่าวว่า หลายข้อที่กล่าวมานั้นไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ อาทิในเรื่องการส่งออกที่มีเป้าหมายที่จะให้เพิ่มขึ้น 3 แสนล้านนั้น ก็มาจากเป้าหมายเดิมของปี 2552 จากกระทรวงพาณิชย์ จำนวน 6 แสนล้าน อีกทั้งให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณครึ่งปีแรกให้มากกว่าปีที่แล้ว 1 แสน 8 หมื่นล้าน โดยยอดงบประมาณปี 2552 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่แล้ว 1 แสน 8 หมื่นล้าน ซึ่งในเรื่องนี้ ดร.สรรเสริญ ได้ตั้งคำถามตามมาว่า เมื่อยอดงบประมาณที่เพิ่มขึ้นได้ถูกใช้ไปในครึ่งปีแรกแล้ว รัฐบาลจะไม่มีแรงกระตุ้นพิเศษให้กับภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง


 


นอกจากนี้ ดร.สรรเสริญ กล่าวว่า สำหรับมาตรการเมกะโปรเจ็คอันเป็นความหวังของประชาชน และพรรคประชาธิปัตย์นั้น ตามมาตรการที่บอกว่าจะเพิ่มเงินลงทุนอีก 1 แสนล้านใน 3 เรื่อง โดยเพิ่มจาก 2 แสน 5 หมื่นล้าน มาเป็น 3 แสน 5 หมื่นล้าน ตนอยากเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาให้ข้อมูลให้ครบถ้วน เพราะในเรื่องของโครงการเมกะโปรเจ็คนั้นไม่ได้มีเฉพาะ 3 เรื่องที่รัฐบาลระบุไว้ในมาตรการ แต่ทั้งหมดมีด้วยกัน 8 เรื่อง อันประกอบด้วย รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน การขนส่งทั่วประเทศ พลังงาน โครงการแอร์พอร์ตลิงค์ ทรัพยากรน้ำ การศึกษา สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย และเงินลงทุนสำหรับโครงการเหล่านี้ไม่ได้ลงทุนเฉพาะปีนี้ แต่เป็นโครงการลงทุนระยะยาว 4 ปี อีกทั้งไม่ใช่เงินจำนวน 3 แสน 5 หมื่นล้าน อย่างที่กำหนดไว้ในมาตรการ แต่เป็นเงินลงทุน 4 ปี จำนวน 1.8 ล้านล้านบาท อีกทั้งอาจต้องกู้เงินอีกจำนวน 1 ล้านล้านบาท


 


ดร.สรรเสริญได้ตั้งคำถามในเรื่องนี้ว่า ทั้ง 8 โครงการนั้น รัฐบาลยืนยันจะทำต่อหรือไม่ หากยืนยันว่าจะทำต่อไป รัฐบาลจะหาแหล่งเงินกู้จากไหน และจะกู้แหล่งละเท่าใด นอกจากนี้ยังแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ปัจจุบันว่า หากกู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศแล้ว พบว่าอาจกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของไทยที่ขณะนี้มีอยู่ประมาณ 7 แสนล้านบาท และหากกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศจะพบว่า สถาบันการเงินชั้นนำในต่างประเทศได้ล้มไปเป็นจำนวนหลายแห่ง รัฐบาลต่างประเทศออกมาตรการแก้ไข อีกทั้งสถาบันการเงินของโลกตกเป็นของรัฐบาล ดังนั้นความหวือหวาในตลาดตราสารหนี้จะลดลง ปัจจัยทั้งหมดจะส่งผลต่อการกู้เงินในต่างประเทศมีความยากขึ้น และมีต้นทุนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีคำถามเพิ่มเติมถึงเพดานหนี้สาธารณะของไทยว่า หากกู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านใน 4 ปีข้างหน้าจะชนเพดาน 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีหรือไม่ ดังนั้นจากคำถามเหล่านี้ รัฐบาลควรหาโอกาสตอบเพื่อสร้างความมั่นใจต่อสาธารณชนว่าโครงการเมกะโปรเจ็คทั้ง 8 โครงการนั้นสามารถดำเนินต่อไปได้


 


นอกจากนี้ ดร.สรรเสริญ ยังได้กล่าวถึงสภาพคล่องทางการเงินของไทยต่อสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงว่าถึงแม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกมายืนยันว่าไทยมีสถาพคล่องเพียงพอ แต่ปัญหาในขณะนี้อยู่ที่การปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน ซึ่งเงื่อนไขของการปล่อยกู้ได้ง่ายขึ้นคืออัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง


 


กล่าวคือ ในปัจจุบันส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในแถบเอเชีย อาทิ ประเทศญี่ปุ่น มีส่วนต่างของอัตราดังกล่าว 1.6 เปอร์เซนต์ สิงคโปร์ 4.8 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ประเทศไทยมีสูงถึง 5.5 เปอร์เซ็นต์ ในเรื่องนี้ ดร.สรรเสริญกล่าวว่า รัฐบาลต้องเร่งหามาตรการช่วยธนาคารพาณิชย์เพื่อลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนี้ เพื่อให้ธนาคารมีความสามารถในการปล่อยกู้ได้มากขึ้น และภาคธุรกิจ SME จะมีเงินหมุนเวียนมาประกอบกิจการได้


 


พร้อมกันนี้ ดร.สรรเสริญ ยังได้กล่าวเตือน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นครั้งที่ 2 ถึงการทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยว่า หากมีแนวทางใดที่ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็ควรหารือกันให้จบก่อนที่จะออกมาแถลงให้ประชาชนรับทราบ ไม่ใช่ให้เกิดกรณีแสดงความเห็นขัดแย้งกันเองต่อสาธารณชน ซึ่งในเรื่องนี้อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลได้


 


 


รัฐอัดเงินลงรากหญ้า9.3พันล้าน


เว็บไซต์คมชัดลึก : รัฐบาลเดินเครื่องแจกงบกระตุ้นรากหญ้าอีก 9,300 ล้านบาท กดปุ่มโอนเข้าโครงการเอสเอ็มแอล 3.9 หมื่นหมู่บ้านทั่วประเทศ 29 ตุลาคมนี้ หวังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คาดส่วนที่เหลืออีก 6,000 ล้านโอนได้ต้นปีหน้า



ดร.โอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีกดปุ่มโอนเงินให้โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (เอสเอ็มแอล) ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กว่า 3.9 หมื่นหมู่บ้าน ในวงเงิน 9,399 ล้านบาท โดยเป็นเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ซึ่งรัฐสภาได้อนุมัติการจัดสรรให้โครงการดังกล่าวรวม 1.5 หมื่นล้านบาท



"การโอนเงินดังกล่าวถือว่าเป็นการประเดิมโครงการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจรากหญ้าเป็นครั้งแรกของรัฐบาลชุดนี้  สิ่งสำคัญคือ การเร่งดูแลให้เงินถึงมือประชาชนระดับรากหญ้าโดยเร็ว นอกจากนี้ รัฐบาลจะชี้แจงนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจรากหญ้า ผ่านโครงการเอสเอ็มแอล และโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มศักยภาพการหารายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาสในอาชีพอย่างยั่งยืนให้ประชาชน ในระดับฐานราก สามารถพัฒนาจนเกิดความเข้มแข็ง เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจ" ดร.โอฬารกล่าว



ทั้งนี้ การจัดงานในวันดังกล่าว เพื่อเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มผลผลิตภายใน รวมทั้งทำให้ประชาชนได้รับทราบว่ารัฐบาลได้คำนึงถึงความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกระดับ ไม่เฉพาะในระดับมหภาคเท่านั้น โดยจะมีการถ่ายทอดสดให้ประชาชนทั่วไปและข้าราชการรับทราบแนวการขับเคลื่อนโครงการของรัฐบาลด้วย



แหล่งข่าวจากคณะกรรมการเอสเอ็มแอล กล่าวว่า การโอนเงินให้หมู่บ้านและชุมชนครั้งนี้ จะทำให้ทุกหมู่บ้านทั่วประเทศกว่า 7.5 หมื่นหมู่บ้านได้รับเงินก้อนนี้ภายในสิ้นปี 2551 ถือว่าได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระดับฐานรากเป็นรอบที่ 2 ส่วนเงินที่เหลืออีกกว่า 6,000 ล้านบาท จะจัดสรรรอบที่ 3 ต้นปี 2552 ส่วนจะมีการเปลี่ยนเงื่อนไขการจัดสรรงบประมาณหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการเอสเอ็มแอล เบื้องต้นยังคงขนาดของหมู่บ้านและจำนวนเงินเดิม แต่อาจเปลี่ยนเรื่องคุณสมบัติที่ต้องปรับให้เอสเอ็มแอลเป็นองค์กรที่มีกฎหมายรองรับ



ส่วนโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ที่รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่หมู่บ้านและชุมชนเกิดใหม่จำนวน 1,000 แห่ง หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท คิดเป็นงบประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะโอนเงินให้หมู่บ้านและชุมชนที่เกิดใหม่เร็วๆ นี้


 


 


กำลังซื้อคนเหนือลดฮวบ 30%


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ ผู้จัดการรายวัน - ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) เผยกำลังซื้อคนเหนือลดฮวบ 30% หอฯ 10 จังหวัดภาคเหนือวอนรัฐช่วยด่วน พร้อมชี้ปี 52 ยิ่งวิกฤตหนัก หลังผลผลิตทางการเกษตรมีปัญหาราคาตกต่ำแทบทุกตัว จี้รัฐวางแผนล่วงหน้าแทนมุ่งแก้เฉพาะเรื่องการเมืองเท่านั้น


        


นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือและประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ในปี 2551 นี้มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องราคาผลผลิตทางการเกษตรกรหลายอย่าง โดยเฉพาะข้าว-ข้าวโพดจนทำให้เกษตรกรหลายอำเภอออกมาชุมนุมเรียกร้องเพื่อขอให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือในการพยุงราคาหรือประสานเอกชนให้รับซื้ออยู่หลายครั้ง ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบหลายด้าน และไม่ได้มีต่อเฉพาะเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อนักธุรกิจอย่างมากเช่นกัน เพราะพบว่ากำลังซื้อสินค้าของเกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่ลดลง เมื่อรวมกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจอื่นๆ พบว่ากำลังซื้อในตลาดลดลงกว่า 30%


        


นายพัฒนา กล่าวว่า ถึงแม้ปัจจุบันจะมีมาตรการต่างๆ ออกมาช่วยเหลือเกษตรกรไปหลายเรื่องแล้วแต่ก็ควรระมัดระวังสถานการณ์ในปี 2552 รัฐบาลต้องเตรียมการล่วงหน้าด้วย เพราะตลาดทั้งใน-ต่างประเทศจะยังมีปัญหาอยู่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะผลจากวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีไปถึงประเทศอื่นๆ ด้วย ดังนั้น หอการค้าจึงขอเสนอให้รัฐบาลเร่งหาวิธีการป้องกันปัญหาในปี 2552 เป็นการเร่งด่วน แทนที่จะปล่อยให้เกิดปัญหาและแก้ไขกันเฉพาะหน้า ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการที่กลุ่มเกษตรกรจะออกมารวมตัวกันชุมนุมเหมือนปีนี้หรืออาจจะหนักกว่าปี 2551 นี้ก็ได้


        


นายพัฒนา กล่าวอีกว่า สำหรับข้อแนะนำคือรัฐบาลต้องหามาตรการช่วยพยุงราคาให้เกษตรกรอยู่ได้ ด้วยการปรับกระบวนการผลิตภายในประเทศเสียใหม่ โดยไม่ให้มุ่งผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น มาตรการนี้จำเป็นต้องวางแผนและดำเนินการกันเสียแต่เนิ่นๆ


         


"รัฐบาลต้องหันมาเอาใจใส่ปัญหาราคาสินค้าเกษตรด้วย แทนที่จะมุ่งไปที่ปัญหาการเมืองอย่างเดียว อย่างที่มีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง" นายพัฒนา กล่าว


        


รายงานข่าวแจ้งว่าในปัจจุบันยังมีกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังฤดูกาล 2551 อีกกว่า 517 รายที่ยังไม่ได้รับเงินจากการขายข้าวตามมาตรการของกรมการค้าภายในช่วงกลางปีที่ผ่านมาโดยคิดเป็นเงินรวมกันกว่า 25,850,743 บาท ซึ่งพื้นที่ อ.พาน มีชาวนาที่เดือดร้อนเหลืออยู่มากที่สุดกว่า 215 ราย เป็นเงิน 9 ล้านกว่าบาท ขณะที่ข้าวนาปีรุ่นใหม่กำลังเติบโตแล้ว และสำนักงานเกษตรกร จ.เชียงราย ระบุว่า มีการปลูกข้าวเจ้านาปีนี้ ประมาณ 463,478 ไร่ ข้าวเหนียวนาปี 865,539 ไร่ รวมทั้งหมด 1,329,017 ไร่


       


ขณะเดียวกันพบว่า ข้าวโพดก็เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกษตรกรชุมนุมเรียกร้องถึงขั้นปิดถนนมาแล้วเช่นเดียวกับข้าวและในปีเดียวกันยังพบว่ามีอัตราการปลูกจำนวน 488,641 ไร่ และคาดว่าจะให้ผลผลิตรวมกันประมาณ 123,414 ตัน ทั้งนี้ ในปี 2551 นี้กลุ่มเกษตรกรกว่า 1,000 คน ในพื้นที่ อ.เวียงป่าเป้า และ อ.เชียงแสน เคย ออกมาชุมนุมเพื่อขอให้รัฐบาลรับซื้อข้าวโพดที่มีความชื้น 28-30% ในราคากิโลกรัมละ 6 บาท ต่อมารัฐบาลได้เจรจาว่าจะนำเข้าสู่การประชุมใน คชก. เพื่อช่วยเหลือแต่จนถึงปัจจุบันแม้จะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ภาคเหนือหลายคนนำโดยนายวิสุทธิ์ ไชยดรุณ ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชาชน ออกมาขู่รัฐบาลของตัวเองว่าจะลาออกหากไม่ช่วยเหลือเกษตรกร แต่ก็ยังพบว่ายังไม่มีมาตรการที่เด่นชัดใดๆ ออกมา


        


ขณะที่กลุ่มเกษตรกรในบางพื้นที่เชียงราย ต่างอ่อนล้าจากการชุมนุมเรียกร้องจึงยอมขายให้กับเอกชนในพื้นที่ตามการช่วยเหลือเฉพาะหน้าของทางอำเภอ สำนักงานการค้าภายใน ฯลฯ ในราคากิโลกรัมละ 5.10 บาทแล้ว


 


 


ต่างประเทศ


 


 


อาเซ็มสัญญาปฏิรูปการเงิน-จี้ไอเอ็มเอฟช่วย


เดลินิวส์ : เหล่าผู้นำการประชุมสุดยอดเอเชีย-ยุโรป (อาเซ็ม) ให้สัญญาปฏิรูประบบการเงินครั้งใหญ่ พร้อมกับเรียกร้องให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ


 


นอกจากนี้บรรดาผู้นำโลกเรียกร้องให้มีการยกเครื่องระบบการเงินระหว่างประเทศอย่าง เร่งด่วน ขณะที่จีนต้องการให้เพิ่มความเข้มงวดต่อกฎระเบียบในการเผชิญกับวิกฤติการเงินและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก


 


การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซ็มที่กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงจีนได้ปิดฉากลงแล้วเมื่อวันเสาร์ หลังจากประชุมกันมาเป็นเวลา 2 วัน โดยเหล่าผู้นำอาเซ็มให้สัญญาถึงการปฏิรูประบบการเงินโลก ซึ่ง 45 ประเทศสมาชิกอาเซ็มแถลงว่า กลุ่มผู้นำให้คำมั่นดำเนินการปฏิรูปในวงกว้างต่อระบบการเงินและการคลังระหว่างประเทศ ตลอดจนเรียกร้องให้ไอเอ็มเอฟ ดำเนินบทบาทสำคัญในความผันผวนทางเศรษฐกิจของโลกครั้งนี้


 


นอกจากนั้น อาเซ็มยังเห็นชอบให้ดำเนินการที่เหมาะสมอย่างเร่งด่วน และหารือกับผู้ถือหุ้นทั้งหมด รวมทั้งสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง


 


ส่วนนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า เรียกร้องให้มีการเพิ่มกฎระเบียบสำหรับระบบการเงินโลก และว่า เราจำเป็นต้องร่างบทเรียนจากวิกฤติการณ์นี้ พร้อมกับให้คำมั่นว่า รัฐบาลจีนจะเข้ามามีบทบาทในการประชุมสุดยอดที่สหรัฐในเดือนหน้า ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจัดการวิกฤติการเงินโลก เช่นเดียวกับนายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก็ยังเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบการเงินการคลัง ที่ทำให้เกิดวิกฤติในขณะนี้


 


สำหรับการประชุมอาเซ็มไม่ได้ถูกคาดหวังถึงการเสนอทางออกอย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ไขวิกฤติ เพียงแต่ได้รับการมองว่า เป็นการประชุมคั่นเวลา ก่อนที่จะมีการหารือนัดสำคัญในกรุงวอชิงตันของสหรัฐเดือนหน้า ระหว่างกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา


 


ซึ่งประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี แห่งฝรั่งเศส ที่เป็นประธานหมุนเวียนของสหภาพยุโรป (อียู) กล่าวว่า การตัดสินใจอย่างเป็นรูป ธรรมจะมีขึ้นในการประชุมวันที่ 15 พ.ย.นี้


 


 


แฉเด็กจีน1ใน4ดื่มนมเปื้อนพิษ ฮ่องกงตะลึงพบเมลาลีนในไข่


เว็บไซต์สยามรัฐ : เด็กจีน 1 ใน 4 ถูกเลี้ยงด้วยนมปนเปื้อน ด้านญี่ปุ่นสั่งเก็บไส้กรอกและ พิซซาปนเปื้อนพิษ ส่วนฮ่องกงพบไข่ และขนมปัง มีเมลามีนเกินกำหนด สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า จากการสอบถามประชาชนจำนวน 308,000 ครอบครัวที่อาศัยในกรุงปักกิ่งพบว่า มากกว่า 74,000 ครอบครัว หรือกว่าหนึ่งในสี่เลี้ยงเด็กด้วยนมที่ปนเปื้อนสารเมลามีน ก่อนที่นมเหล่านั้นจะถูกเก็บออกจากชั้นวางจำหน่าย ล่าสุดทางการจีนได้ออกมาเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ยังมีเด็กที่ยังต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกกว่า  3,600  ราย  และ 3 รายยังอาการน่าเป็นห่วง ส่วนบริษัทอิโตแฮม  ฟูดส์  ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับ  2 ของญี่ปุ่นได้เรียกคืนผลิตภัณฑ์ไส้กรอก  และพิซซา  จำนวน 2.67 ล้านชิ้น ที่จำหน่ายออกไปเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากถูกตรวจพบว่ามีสารพิษไซยาโนเจนปนเปื้อนเกินกว่ามาตรฐานของทางการ


 


ด้านนายยอร์ก โจว เลขาธิการสำนักงานอาหารและยาของฮ่องกง กล่าวว่า มีการตรวจพบสารเมลามีนปนเปื้อนในไข่ไก่ที่นำเข้าจากจีน โดยผลการทดสอบพบว่า มีสารเมลามีนปนเปื้อนอยู่ถึง  4.7  ส่วนในล้านส่วน  ขณะที่มาตรฐานของฮ่องกงตั้งไว้ที่ไม่เกิน 2.5 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่า น่าจะผลมาจากไก่ที่ออกไข่ได้รับการเลี้ยงด้วยอาหารที่ปนเปื้อนสารเมลามีน ทั้งนี้ ไข่ไก่เหล่านี้เป็นไข่ไก่ที่ผลิตโดยกลุ่มบริษัทต้าเหลียน ฮั่นเหว่ย เอนเตอร์ไพรส์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองต้าเหลียน นอกจากนี้ทางการฮ่องกงยังตรวจพบสารเมลามีนเกินกำหนดในขนมปังกรอบ ยี่ห้อบลูเบอร์รี ครีม แซนด์วิช ที่ผลิตโดยบริษัทเอ็ม เอฟ จี โครลีย์ ฟูดส์ ของฟิลิปปินส์อีกด้วย


 


 


เอเชียคาดหวังมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น ในระบบการเงินโลกที่จะตั้งขึ้นใหม่


ผู้จัดการรายวัน : เอเอฟพี - บรรดาผู้นำเอเชียจะใช้โอกาสการจัดประชุมซัมมิตทั่วโลกครั้งแรกเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเงินในเวลานี้ ผลักดันเรียกร้องให้ภูมิภาคของพวกเขามีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้น ในระบบการเงินระหว่างประเทศใดๆ ก็ตามที่จะจัดตั้งกันขึ้นมาใหม่ในอนาคต


 


บรรดาผู้เชี่ยวชาญหลายรายชี้ว่า ขณะที่ยุโรปกับสหรัฐฯกำลังประลองกำลังกัน เพื่อแสดงบทบาทความเป็นผู้นำของพวกเขา ในการจัดทำระบบการเงินระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในการประชุมระดับผู้นำกลุ่ม จี20 วันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ ณ กรุงวอชิงตัน ทางพวกผู้นำเอเชียก็รู้สึกว่าพวกเขามีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมากไม่แพ้พวกประเทศอุตสาหกรรม ในเรื่องการรักษาเสถียรภาพของการเงินโลก


 


"คำถามใหญ่จึงอยู่ที่ว่า คุณจะปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศเสียใหม่อย่างไร จึงจะทำให้พวกประเทศอย่างเช่นอินเดียและจีน รู้สึกว่าพวกเขาไม่เพียงมีส่วนอยู่ด้วยเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลจริงๆ อีกด้วย" เอสวาร์ ปราสาด อดีตผู้อำนวยการแผนกจีน ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ให้ความเห็น


 


ไอเอ็มเอฟตลอดจนธนาคารโลก ซึ่งเป็น 2 สถาบันสำคัญทำหน้าที่กำกับดูแลระบบการเงินระหว่างประเทศ ได้รับการก่อตั้งขึ้นจากข้อตกลงแบรดตัน วูดส์ ในช่วงใกล้ยุติสงครามโลกครั้งที่สอง และในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า กำลังเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจโลกน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากโครงสร้างของการออกเสียง ยังคงเอื้ออำนวยพวกประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐฯกับยุโรป ทั้งๆ ที่ปัจจุบันประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะทางเอเชีย กำลังมีบทบาทในทางระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้นทุกทีแล้ว


 


"สำหรับสถาปัตยกรรมของระบบการเงินระหว่างประเทศแล้ว ผมคิดจริงๆ ว่า จะต้องมีการตั้งคำถามในเรื่องการมีสิทธิมีเสียงมากเกินไป โดยเฉพาะในกรณีของยุโรป และในบางระดับสำหรับสหรัฐฯด้วย ขณะเดียวกันก็มีปัญหาการมีสิทธิมีเสียงน้อยเกินไปของพวกประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งจำนวนมากทีเดียวอยู่ในเอเชีย" เป็นความเห็นของ นิโคลัส ลาร์ดี แห่งสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน


 


ลาร์ดีกล่าวต่อไปว่า ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในขั้นพื้นฐานกันจริงๆ บ้างแล้ว องค์การอย่างไอเอ็มเอฟก็ยากที่จะยังคงเป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีความหมายและรับมือกับปัญหาในปัจจุบันได้ พร้อมกับชี้ว่า แม้พวกชาติสมาชิกไอเอ็มเอฟมีมติรับรองการปฏิรูปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อให้ประเทศพัฒนาแล้วจำนวนหนึ่งมีสิทธิลงคะแนนเสียงลดลงนิดหน่อย และไปเพิ่มให้พวกประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ทว่า "พวกเขายังคงกำลังเคลื่อนไหวด้วยฝีก้าวของหอยทากอยู่นั่นเอง"


 


ปราสาด ซึ่งเวลานี้ทำงานอยู่กับสถาบันบรูคกิงส์ ในกรุงวอชิงตัน กล่าวสำทับว่า สิ่งที่ประเทศอย่างจีนและอินเดียมีความกังวลใจก็คือ ในสถาบันอย่างเช่นไอเอ็มเอฟนั้น พวกเขาคงไม่สามารถมีสิทธิมีเสียงทัดเทียมพวกประเทศพัฒนาแล้วได้ "ดังนั้น คุณจะแก้ไขเรื่องความไม่สมดุลเช่นนี้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ความรับรู้ที่ว่ามีความไม่สมดุลเช่นนี้กันอย่างไร จึงกำลังเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง" เขาบอก


 


ไม่ว่าจะมีการปฏิรูปในเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม วิกฤตการเงินในปัจจุบันก็กำลังทำให้เกิดการคาดเดากันอย่างกว้างขวางว่ากำลังมีการเปลี่ยนแปลงดุลแห่งอำนาจ โดยที่สหรัฐฯและประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ ในยุโรปกำลังเป็นฝ่ายสูญเสีย ขณะที่พวกประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่รายใหญ่ๆ กำลังมีอำนาจเพิ่มขึ้น นี่เป็นความเห็นของ ซาบินา เดวัน แห่ง ศูนย์กลางเพื่อความก้าวหน้าของอเมริกัน ในกรุงวอชิงตัน


 


"เรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ยังจะต้องติดตามกันต่อไป แต่ว่าเรื่องที่เศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่อย่างเช่นจีนและอินเดีย กำลังกลายเป็นผู้เล่นสำคัญยิ่งยวดในเกมเศรษฐกิจโลกนั้น เป็นสิ่งที่เห็นกันชัดเจนแล้ว" เธอบอก


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net