Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ดร.โสภณ พรโชคชัย 1>


 


 


หลายท่านคงเคยอ่านอีเมล์ลูกโซ่ที่ว่า "ปี 2553 จุดจบประเทศไทย . . . ถ้ายังเป็นคนไทยอยู่ช่วยอ่านด้วย . . ." เนื้อหาของอีเมล์นี้แอบอ้างคุณนิติภูมิแล้วมุ่งโจมตีพวกต่างชาติว่าจะมาฮุบประเทศไทย โดยยกตัวอย่างห้างสรรพสินค้าต่างชาติ ร้าน Fast Food เป็นต้น


 


ผมเองก็ต่อต้านการซื้อที่ดินของต่างชาติ 2> แต่ผมอ่านอีเมล์นี้แล้วคิดว่า เรากำลังถูกคนไทยด้วยกันที่เป็นนายทุนใหญ่หลอกให้ร่วมสู้กับคู่แข่งต่างชาติของเขา เช่นบอกว่า "ถ้าซื้อจากห้าง (ต่างชาติ) 1,000 บาท มันไหลไปต่างประเทศ 900 บาท ที่เหลือ 100 บาท"


 


ผมมั่นใจว่าการอธิบายอย่างนี้ผิด เพราะซื้อของ 1,000 บาท เป็นค่าของค่าดำเนินการสารพัด ที่เป็นกำไรแท้ๆ คงประมาณ 10-20% เขาก็เอาไปขยายสาขาในไทยต่อไปเรื่อย ๆ ที่ได้กำไรส่งไปต่างประเทศคงเป็นส่วนน้อย และถ้าเขาจะส่งกำไรกลับบ้านบ้างจะไม่ได้เลยหรือ ถ้าเราไปลงทุนต่างประเทศแล้วเจอบ้านป่าเมืองเถื่อนไหนบอกว่า เราเอาเงินกลับบ้านไม่ได้ มันจะเป็นธรรมหรือครับ


 


ประเทศไทยเราเจริญขึ้นมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะการลงทุนของต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นมาลงทุนจนประเทศไทยทุกวันนี้กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม3> จนคนส่วนใหญ่พ้นไปจากความยากจนแล้ว4>


 


ที่ผ่านมานายทุนไทยรายใหญ่เคยตั้งราคาขายสินค้าตามใจชอบ แต่ตอนนี้ทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะไทยมีห้างสรรพสินค้าต่างชาติมาช่วยต่อรองราคาแทนคนไทยส่วนใหญ่ ถ้าคิดในมุมกลับ หากไม่มีห้างเหล่านี้ ป่านนี้คนไทยคงกินบะหมี่สำเร็จรูปซองละ 10 บาทแทนซองละ 5 บาทไปแล้ว


 


ผมเชื่อว่านายทุนไทยรายใหญ่คงโกรธแค้นชิงชังพวกนายทุนต่างชาติที่ก้าวหน้ากว่าพวกตนมาก พวกนายทุนไทยรายใหญ่ร้องแรกแหกกระเชอว่าห้างสรรพสินค้าต่างชาติรังแกผู้ผลิตคนไทย แต่พวกเขาไม่เคยคิดที่จะทำห้างสรรพสินค้าแบบเดียวกันขึ้นมาต่อกรกับต่างชาติบ้างเลย ไม่เคยคิดจะลำบากลงทุนระยะยาว ขยายสาขาให้มั่นคงแบบนายทุนต่างชาติ หรือไม่เคยคิดจะทำร้าน Fast Food ของคนไทยขึ้นมาอย่างญี่ปุ่นหรือชาติอื่นทำบ้างเลย


 


ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในหัวของพวกเขาคงไม่เคยคิดที่จะขายของให้ถูกลงหรือไม่คิดจะค้าขายอย่างบริสุทธิ์ใจต่อลูกค้าคนไทยเอง ผมเชื่อว่า หากนายทุนไทยรายใหญ่จะเรียกร้องให้คนไทยด้วยกันใช้ของไทยแบบ "เราคนไทย ใช้บางจาก" พวกเขาก็ต้องสามารถผลิตสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพทัดเทียมกับต่างชาติ แต่ขายได้ในราคาที่ถูกกว่า ไม่เช่นนั้นพวกเขาไม่มีหน้า "สะเออะ" มาขอให้คนไทยใช้สินค้าไทย เพราะกำไรที่ได้ ก็เข้ากระเป๋านายทุนไทย ไม่ใช่เข้ากระเป๋าคนไทยสักหน่อย


 


ถ้านายทุนไทยรายใหญ่ยอมขาดทุนกำไรหรือยอมกำไรแต่น้อยๆ ให้เป็นแบบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสู้กับต่างชาติก็ย่อมชนะใจพี่น้องร่วมชาติได้ แต่พวกเขาไม่ทำเช่นนั้นเพราะพวกเขาเห็นคนไทยเป็นแค่เบี้ย แค่ไพร่ หรือแค่ข้าทาสที่ตนจะรีดเลือดกับปูเอากำไรมาก ๆ การเรียกร้องให้คนไทยตาดำ ๆ ต้องยอมซื้อของแพงกว่าเพื่อพวกนายทุนไทยรายใหญ่เอง เป็นการเรียกร้องที่น่าละอาย เป็นการปล้นเพื่อนร่วมชาติ


 


อย่างไรก็ตาม แม้วันหนึ่งนายทุนไทยจะทำดีแล้ว ด้วยการขายสินค้าคุณภาพทัดเทียมต่างชาติในราคาถูกกว่า แต่ก็อาจยังมีคนไทยใจทาส ที่ยังพยายามใช้ของต่างชาติ เข้าทำนอง "เห็นขี้ฝรั่งหอม" อยู่  เรื่องนี้นายทุนไทยก็ยังต้องใช้ความอดทนเอาชนะใจคนไทยเหล่านี้ให้ได้ในระยะยาว ด้วยคุณภาพของสินค้าหรือบริการของเรานั่นเอง


 


ในอีกแง่หนึ่งนายทุนไทยรายใหญ่ทั้งหลายนั้นมักชอบทำดีก็ด้วยการลูบหน้าปะจมูก หรือบางทีพวกเขาทำดีด้วยการทำตัวผูกพันกับสถาบันอันเป็นที่เคารพของคนไทย กิจกรรมทำดีมีคุณธรรมของนายทุนไทยรายใหญ่ก็ได้แก่ การแจกของแบบคุณหญิง คุณนาย ช่วยพัฒนา หรือการปลูกป่า ซึ่งไม่ได้ผลอะไร เพราะปีหนึ่ง ๆ ไทยเราปลูกป่าได้เพียงหมื่นไร่ แต่ป่าถูกทำลายไปนับแสน ๆ ไร่ แถมที่ปลูกไป ตายเสียเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรู้ การโหมโฆษณาให้คนปลูกป่า ก็เท่ากับเรา "ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ" ไม่ให้คนไทยได้เห็นความจริงของการบุกรุกทำลายป่า ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล 5>


 


การส่งเสริมให้สำลักความดีกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังนั้นอาจถือเป็นการมอมเมาทางหนึ่ง อย่าลืมว่าปัญหาสังคมทุกวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่คนทำดีน้อยไป แต่อยู่ที่คนทำผิดกฎหมายจำนวนน้อยนิด ก่อปัญหาให้กับสังคมโดยไม่ได้ถูกกำราบต่างหาก 6>


ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่คนไทยต้องระวังนายทุนไทยรายใหญ่ก็คือ หากพวกเขาสู้ต่างชาติไม่ได้ พวกเขาอาจไปสมคบกับต่างชาติ ทำตัวเป็นนายทุนนายหน้า คือแทนที่จะส่งเสริมตราสินค้าไทยเอง ก็กลับไป "สวมหนังสือ" เอายี่ห้อต่างชาติมาแปะ หรือยอมศิโรราบกับต่างชาติมาปล้นคนไทยด้วยกันเอง


 


รักชาติคือ รักประชาชน เห็นหัวประชาชน ไม่ใช่เห็นประชาชนเป็นแค่เบี้ย


 






ภาคผนวก: อีเมล์ "ปี  2553   จุดจบประเทศไทย......ถ้ายังเป็นคนไทยอยู่ช่วยอ่านด้วย"


                       


เรื่องนี้คนไทยทุกคนควรที่จะได้รู้ .....ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้มีเกิด มีดับ ตลอดเวลา .....ประเทศไทยก็ไม่พ้นวิถีนี้เช่นกัน . . . ในวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - 6 ประเทศ แน่นอน! ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs จะเริ่มมีผลสมบูรณ์  การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์ สินค้าเกษตรต่าง ๆ จากต่างประเทศจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาล


 


ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกัน และสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออกเนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ ประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทางเป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำใยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากิน คนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน คนปลูกหอม กระเทียมจะไม่ซื้อลำใยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากินเป็นวงจรอย่างนี้ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้ เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากิน เนื่องจาก สินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่า เพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๊ยของต่างประเทศ พันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ


 


เนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้าพันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้ วิกฤตที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย รัฐบาลไทยจะไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้ เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้ เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว ไฟฟ้าก็แพงขึ้น  น้ำมันก็แพงขึ้น โทรศัพท์แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เขาสามารถตั้งราคา  ได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่า เขาจะไม่มีกำไร ธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้


 


ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ ๆ เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้ การขายที่ดินราคาถูก ๆ และจำนวนมหาศาลจะตามมา คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้ว เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ ก็ไม่ามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้ เพราะธุรกิจอื่นได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู่ในมือของ (ห้างสรรพสินค้าต่างชาติ) ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ (ร้าน Fast Food ต่างชาติ) สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯ ดังนั้น  เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก  เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด . . . เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ . . . รัฐจะอยู่ได้ฤา ?


 


4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในปี 2553 คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศ เพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทย การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้นจนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหาร ก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทย ซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปัญญาไปต่อสู้อยู่แล้ว การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นาน


 


จากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณจันทบุรี  ตราด  ระยอง  ฉะเชิงเทรา จะขอแยกตัวตามมา เนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ ทั้งสมุนไพร อาหารต่าง ๆ เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยาก นั่นหมายถึง การซื้อประเทศไทย คล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก Russia ถ้าไทยต่อต้าน เจอทหารต่างชาติแน่ เราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร ?


 


ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิ มาหลายปี และสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2 เกือบทุกวันนั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่า หนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงานเขียนของนิติภูมิไปแปลลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ในการวิเคราะห์บ่อยครั้งที่นิติภูมิ มองการค้า การเมือง สังคมไปพร้อมกัน รวมทั้งประวัติศาสตร์เขามอง อาเจนติน่า ก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจ ก่อนล่มจริง... เขาทำนาย การเกิดสงคราม อเมริกากับอิรัค ข้อคิด รวมทั้งอนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ  ผมว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้นิติภูมิ ทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทย แทนที่ไปเดิน (ห้างสรรพสินค้าต่างชาติ) เพราะผมบอกแม่บ้านและลูก ๆ ว่า เราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้าน ไม่ต้องไปห้างใหญ่อีกเพราะอะไร  เพราะเราไป (ห้างสรรพสินค้าต่างชาติ) เงิน 100 บาทที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส 86 บาท เหลือให้คนไทย 14 บาท เพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์. . .


 


นิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ 3 ห้างดัง ผมตกใจมาก และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้น เพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วบางห้าง 86 ปอร์เซ็นต์ สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท ก็ซื้อที่นี่มันจะแพงกว่า 5 บาทก็ซื้อที่นี่ เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทย กลับมาหาลูกเอง ผมคิดแบบนี้จริง ๆ ๆ ถ้าซื้อจากห้าง 1,000บาท มันไหลไปต่างประเทศ 900บาท ที่เหลือ 100 บาท


 


ที่เห็นจ่ายค่ายามเฝ้าห้างไง มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียว ห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง ทั่วประเทศ คนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง (ห้างสรรพสินค้าต่างชาติ) เกือบ100 เปอร์เซ็นต์ เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไร ทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้ ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบให้น้อยลง เลิกกิน (ร้าน Fast Food ต่างชาติ) และพยายามทานให้ลดลง และจำนวนหน ต่อปีน้อยสุด


 


ผมอธิบาย วิธีสิ้นชาติแบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กที่บ้าน และลูกฟัง หัดให้ลูกมาทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียกแทน ถั่วดำข้าวเหนียว ดีครับ ได้ผล.... ลูกเปลี่ยนวิธีกิน... วิธีคิดไปเลย ... เปลี่ยนไปได้มาก พอเย็นสั่งผมซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้าง ลูกเดือยบ้าง ผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้ามา 3 ขาไก่ทอดแบบไทย ๆ แล้วผมไป (ร้าน Fast Food ต่างชาติ) ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกัน ราคาต่างกันลิบเลย ผมก็อธิบายคำว่า license (ค่าลิขสิทธิ) ให้ลูกฟัง ผมบอกว่า ซื้อไก่ 35 บาท ค่าไก่ 15 บาท ที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธิไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ ใบตองที่ห่อขนมไทย ไม่มีลิขสิทธิ มันเป็นวัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน ขนมต่างชาติ ห่อสวย  แพง เพราะยี่ห้อมันมีลิขสิทธิ เวลามันหล่นที่พื้น ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน 200 ปี ผมสอนแบบนี้ ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย ผมทำได้และได้ทำแล้ว


 


ปล. ใคร่จะขอกรุณาช่วยนำบทความไปเผยแพร่ต่อ จะเป็นพระคุณมากครับ ยาวไปหน่อย แต่อยากให้อ่าน


 



 



อ้างอิง


 


1>   ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย Email: sopon@thaiappraisal.org


2>   โปรดอ่านบทความของผู้เขียน "ต่างชาติกับที่ดินไทย: ไม่ให้ซื้อ" อาคารที่ดินอัพเกรด 12-19 มีนาคม 2550 หน้า 63-64 และโพสต์ทูเดย์ 28 กุมภาพันธ์ 2550 หน้า A13 ได้ที่ http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market147.htm


3>   โปรดอ่านบทความของผู้เขียนเรื่อง "วงจรชีวิตตลาดที่อยู่อาศัยไทย" วารสารธนาคารอาคารสงเคราะห์ ปีที่ 9 ฉบับที่ 47 ตุลาคม-ธันวาคม 2549


4>   โปรดอ่านบทความของผู้เขียนเรื่อง "คนจนในไทยมีเพียง 10%" ThaiAppraisal กรกฎาคม-สิงหาคม 2551 ได้ที่ http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market180.htm


5>   โปรดอ่านบทความของผู้เขียน "อย่าปล่อยให้ "สืบ นาคะเสถียร" ตายฟรี" ที่ http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market203.htm


6>   โปรดอ่านบทความของผู้เขียน "CSR, ทำดีเพื่อปกปิดความชั่ว?!?" กรุงเทพธุรกิจ : จุดประกาย วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม 2551 หน้า 4 ที่ http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market175.htm


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net