Skip to main content
sharethis

"บรรหาร" ชี้พันธมิตรฯ ยึดรัฐสภาได้ เอาประเทศไทยไปเลย


จากเหตุการณ์สลายกลุ่มผู้ชุมนุม หน้ารัฐสภา วานนี้ (7 ต.ค.) นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่เดินทางมายังรัฐสภาในช่วงเช้าให้สัมภาษณ์ ว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาปิดล้อมรัฐสภาถือว่าไม่ถูกต้อง ต้องให้โอกาสรัฐบาลแถลงนโยบาย เพื่อให้รัฐบาลเดินหน้าทำงานไปได้ ส่วนตัวทนไม่ได้ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ และตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์รุนแรงกว่านี้


 


เมื่อถามว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ นายบรรหาร กล่าวว่า "ไม่เกิน เพราะเป็นมติสภา ทางพันธมิตรยึดแค่ทำเนียบก็พอ ทำไมต้องมายึดสภา ถือว่าทำไม่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นประเทศไทยก็ต้องถูกยึดทั้งหมด จะเอาอย่างนั้นหรือเปล่า สภาจะต้องเปิดเพื่อให้เป็นเวทีสาธารณะให้พูดจากัน ไม่เช่นนั้น ก็จะเกิดปัญหากับประเทศชาติ ประเทศก็จะล่มจม เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้ ต่อไปจะเอาอย่างไร ก็ค่อยมาว่ากันอีกที


 


ส่วนการที่ฝ่ายค้านบอยคอตไม่ร่วมประชุมสภา เพราะรัฐบาลใช้ความรุนแรง นายบรรหาร กล่าวว่า เรื่องนี้ตอบไม่ได้ แต่อยากให้เห็นแก่บ้านเมืองหน่อย โดยเฉพาะสื่อขอให้เห็นแก่บ้านเมือง อยากเห็นบ้านเมืองเป็นแบบนั้นหรือ แต่ตนทนไม่ได้เกิดมาในชีวิตตนไม่เคยเจออย่างนี้เลย บอกตามตรงต้องยอมกันบ้าง ยึดทำเนียบก็ยึดไปไม่ได้ว่าอะไร ยึดสภาไม่ได้


 


ต่อมาในช่วงบ่าย ด้านหน้าอาคารรัฐสภา นายบรรหาร และรัฐมนตรีรวมทั้ง ส.ส.หลายคน นั่งรอเพื่อออกจากสภาหลังโดนกลุ่มพันธมิตรปิดล้อมไว้ นายบรรหาร ได้ตอบข้อถามผู้สื่อข่าวกรณีเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองควรจะยุบสภาหรือไม่ โดยนายบรรหาร กล่าวเสียงสูงว่า "ไม่" เมื่อถามว่าสถานการณ์รุนแรงขนาดนี้จะไม่แสดงความเห็นหรือ นายบรรหาร กล่าวว่า "ไม่" จากนั้นลุกหนี และกล่าวว่า เดี๋ยวจะอดใจไม่ได้


 


พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา กล่าวว่า เสียใจกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่คาดว่าเหตุการณ์จะไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ หากมีการพูดจากัน และส่วนตัวยังเห็นว่ายังไม่ควรใช้กำลังทหาร รวมถึงการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าจากนี้ไป รัฐบาลจะทำงานได้ลำบากมากขึ้น แต่ก็ต้องแก้ไขกันต่อไป แต่คงไม่ถึงขั้นกับต้องยุบสภา


 


 


"อภิสิทธิ์" ไม่เข้าประชุมลั่นไม่เดินข้ามกองเลือด


ภายหลังการประชุมของพรรคประชาธิปัตย์นานกว่า 2 ชั่วโมง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคได้แถลงว่า จากการที่ประธานรัฐสภาได้นัดการประชุมรัฐสภาเพื่อให้แถลงนโยบายรัฐบาล พรรคก็ได้ เตรียมตัวการอภิปรายอย่างเต็มที่ ให้ความร่วมมือตามกระบวนการรัฐสภามาตลอด แต่ก่อนการประชุมได้มีการชุมนุมหน้ารัฐสภาและตำรวจสลายการชุมนุม แม้ไม่ใช่สิ่งผิด แต่การสลายการชุมนุมต้องปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน กลับทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกว่า 40 คน บาดเจ็บสาหัส 3 คน ที่น่าเสียใจที่สุดคือยังไม่ได้ยินคนในรัฐบาลหรือประมุขของสภาออกมาแสดงความห่วงใยหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง บุคคลระดับผู้นำกลับยืนยันแถลงนโยบายให้สำเร็จ ท่าทีเช่นนั้นไม่ใช่ท่าทีของคนที่มีสำนึกของคนที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย มุ่งแต่อำนาจแม้ว่าจะต้องให้ผู้แทนปวงชนชาวไทยเดินผ่านกองเลือดเข้าไปเพื่อให้ตัวเองได้ใช้อำนาจต่อ พรรคประชาธิปัตย์รับท่าทีเช่นนี้ไม่ได้ ดังนั้น การประชุมพรรควันนี้ ส.ส.ทั้งหมดจึงตัดสินใจไม่เข้าร่วมแถลงนโยบายของรัฐบาล เพราะไม่มีความชอบธรรมที่จะผลักดันให้กระบวนการนี้เดินต่อไป



 


 


เทพจูเีนียร์แนะยุบสภาชี้การเมืองถึงทางตัน


นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลดึงดันที่จะแถลงนโยบาย โดยไม่มีฝ่ายค้านและ ส.ว.บางส่วนว่า ถือเป็นพฤติกรรม "ปิดประตูตีแมว" โดยไม่สนใจต่อสถานการณ์วิกฤติการเมืองใดๆที่เกิดขึ้น นายกฯมีพฤติกรรมดื้อด้าน ที่จะแถลงนโยบายผ่านพ้นไป โดยไม่คำนึงถึงความชอบธรรมและความสง่างาม แต่กลับใช้เวทีรัฐสภาสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง นายกฯอาจถูกประณามจากสังคมว่า เป็นนายกฯที่มือเปื้อนเลือดอีกคนในประวัติศาสตร์การเมือง และเชื่อว่าตอนจบของผู้นำประเทศ ในลักษณะเช่นนี้จะถูกขับไล่จากประชาชนในท้ายที่สุด เชื่อว่าขณะนี้การเมืองมาถึงทางตัน นายกฯต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่อยากให้เท้าของนายกฯอยู่บนกองเลือด และยื่นมือเชิดชูปกป้องระบบทักษิณ จึงควรเลือกคืนอำนาจให้ประชาชนก็ยังไม่สาย


 


 


อัด "บรรหาร" กลัวหลุดเก้าอี้


ส่วนกรณีที่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตำรวจสลายกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมนั้นทำรุนแรงเกินไป นายเทพไทกล่าวว่า ไม่อยากให้นายบรรหารหลับหูหลับตา แสดงออกให้สังคมเห็นกิเลสของตัวเองว่า อยากกอดแข้งกอดขาเป็นรัฐบาล จนมองข้ามความรุนแรง หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับลูกท็อป ลูกนา นายบรรหารจะรู้สึกอย่างไร ดังนั้น อยากให้นึกถึงหัวอกเขาหัวอกเรา และความเจ็บปวดของประชาชนบ้าง ไม่ควรแสดงอาการหวานคอแล้งในการร่วมรัฐบาล และกลัวการอดอยากปากแห้ง จากการเป็นฝ่ายค้านอย่างออกหน้าออกตาเกินไป


 


 


ระดมพลปิดล้อมรัฐสภาอีกรอบ


สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบฯ ภายหลังที่มีการสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา ก็เริ่มตึงเครียด มีการปลุกระดมผู้ชุมนุมตลอด โดยได้ประกาศขอชายฉกรรจ์ 500 คน ให้เตรียมพร้อม เพื่อไปสมทบบริเวณด้านหน้ารัฐสภา มีการเตรียมอาวุธครบมือ ประกอบด้วย ไม้กอล์ฟ กระบอง เหล็กแป๊บบริเวณตรงหน้าวัดเบญจฯ ได้มีกำลังตำรวจประมาณหนึ่งกองร้อยตั้งแถวอยู่ ขณะที่กลุ่มการ์ดอาสาของกลุ่มพันธมิตรฯจำนวนมาก ที่ยืนรักษาความปลอดทุกประตูเข้าออกบริเวณพื้นที่ชุมนุม ใส่หมวกกันน็อก ถืออาวุธครบมือ เพื่อป้องกันการสลายการชุมนุมของตำรวจ พร้อมกับตรวจตราผู้ที่เดินเข้าออกพื้นที่อย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันได้มีการนำผ้าขนหนู และหน้ากากผ้าปิดจมูกหลายพันผืนแจกจ่ายให้กับผู้ชุมนุมเพื่อไว้ป้องกันแก๊สน้ำตาหากเกิดเหตุฉุกเฉิน ส่วนที่บริเวณถนนลิขิต ตรงข้ามประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มพันธมิตรฯได้มีการระดมอาสาสมัครชายหญิงจำนวนมาก เพื่อเป็นการ์ดของพันธมิตรฯ มีผู้สนใจสมัครเป็นจำนวนมาก


 



กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งคาดว่าเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฯ นำท่อพีวีซีสีเหลืองต่อกันยาวสูงประมาณเสาไฟฟ้า โดยที่ตรงปลายใช้ไม้ผูกทำเป็นตะขอเกี่ยว จากนั้นนำไปเกี่ยวสายไฟฟ้าบริเวณริมถนนราชวิถีตัดกับอู่ทองใน เพื่อตัดกระแสไฟฟ้าที่จะเข้าไปภายในรัฐสภา โดยใช้เวลา 10  นาที จึงตัดไฟฟ้าเป็นผลสำเร็จ นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังรายงานอีกว่า ส่วนสถานที่ราชการต่างๆ อาทิ สวนสัตว์ดุสิต สำนักงาน ก.พ.และสำนักงาน ป.ป.ช.ได้หยุดทำการในวันเดียวกันนี้ เพราะเกรงว่าเหตุการณ์ จะทวีความรุนแรงขึ้น ส่วนบริเวณถนนเข้าออกทุกเส้นโดยรอบรัฐสภาถูกปิดตายไม่ให้รถผ่านเข้าออกได้


 


 


"ชัย" ถ่วงเวลารอสมาชิกให้ครบ


สำหรับบรรยากาศในห้องประชุมสภาฯ เมื่อเวลา 09.40 น. ที่รัฐสภาได้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาขึ้นทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมและได้แจ้งต่อสมาชิกว่า เนื่องจากขณะนี้มีเหตุขัดข้องบางประการ เกี่ยวกับการเดินทางมาประชุมซึ่งอาจไม่สะดวกจึงขอขยายเวลาการประชุมออกไปอีกระยะหนึ่งเพื่อรอสมาชิกเดินทาง จากนั้นได้เปิดโอกาสให้สมาชิกรัฐสภาหารือกันในเรื่องต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ทั้ง ส.ส.พรรคพลังประชาชน และ ส.ว.ได้กล่าวตำหนิถึงการไม่เดินทางเข้าร่วมประชุมของพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.บางกลุ่ม ว่า ไม่ทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ไปอยู่ข้างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งนี้ในห้องประชุมมีอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้สมาชิกหลายคนถอดสูท พร้อมกับนำกระดาษขึ้นมาพัด ทั้งยังกล่าวกับนายชัยว่าปล่อยให้ตัดกระแสไฟฟ้าบริเวณรัฐสภาได้อย่างไร


 


จนกระทั่งเวลา 10.30 น. นายชัยได้แจ้งว่าขณะนี้มีผู้มาลงชื่อเกินกึ่งหนึ่งแล้ว จึงขอเปิดประชุม เพื่อให้ ครม.แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 176 ของรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ และ ครม.เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง ยกเว้น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.สาธารณสุข ที่ไม่ได้มาประชุม ซึ่งนายชัยได้ขอให้ที่ประชุมลงมติ ตามมาตรา 127 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดโอกาสให้นายกฯแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในสมัยประชุมนิติบัญญัติ แต่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ได้ลุกขึ้นแย้งว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมีการลงมติก่อน แต่นายชัยก็ยืนยันว่าฝ่ายกฎหมายของสภาฯ ได้แจ้งว่า จะต้องมีการปฏิบัติเช่นนั้น และขอให้ที่ประชุมใช้วิธีการเสียบบัตรลงคะแนนทันที ผลปรากฏว่ามีผู้อยู่ในห้องประชุม 314 คน แต่ให้ความเห็นชอบเพียงแค่ 307 คน งดออกเสียง 2 คน ไม่ลงคะแนน 5 คน นายชัยจึงแจ้งว่าเสียงเห็นชอบไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จึงขอพักการประชุมออกไปก่อน 10 นาที จากนั้นการประชุมเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อเวลา 10.50 น. นายชัยได้ให้ที่ประชุมลงมติอีกครั้ง ผลปรากฏว่ามีผู้เห็นชอบเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนน 320 เสียง โดยหลังจากเปิดประชุมก็สามารถใช้ไฟฟ้าและเปิดแอร์ได้ตามปกติ


 


 


สุดท้ายได้เปิดฉากแถลงนโยบาย


จากนั้น นายสมชายได้ลุกขึ้นแถลงนโยบายรัฐบาลทันที ขณะที่มี ส.ส.เดินออกจากห้องและพูดคุยเสียงดังทั้งที่เพิ่งแถลงนโยบายได้เพียง 2 นาที จนนายชัย ทนไม่ไหวถึงขอให้เงียบฟังคำแถลง ทั้งนี้นายสมชาย แถลงนโยบายสรุปตอนหนึ่งว่า วันนี้ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนจะต้องหันหน้าเข้าหากัน ร่วมกันคิดและร่วมมือกันแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาประเทศให้กลับสู่ความ มั่นคง สงบสุข และมีเสถียรภาพเป็นที่เชื่อมั่นของทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดแก่การแก้ไขความขัดแย้งทางการเมือง ยึดทางสายกลางจึงมีความตั้งใจแน่วแน่ในการแก้ไขปัญหา โดยการรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ตลอดจนสนับสนุนกระบวน การยุติธรรมให้ทำงานอย่างอิสระและเป็นกลไกตัดสินข้อขัดแย้ง ซึ่งได้เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังที่จะบรรลุถึงการยุติความขัดแย้งโดยสันติ คงไว้ซึ่งคุณธรรมและวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทย ในการเอื้ออาทรและการให้อภัยซึ่งกันและกัน



 


 


รสนาประท้วง "นิสิต สินธุไพร" ตะโกนพันธมิตรออกไปได้แล้ว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการดูแลทุกข์สุขของประชาชน ปรากฏว่า น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ได้ลุกขึ้นประท้วง โดยกล่าวว่า รัฐบาลอย่าใช้เวทีสภาเป็นตรายาง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง เพราะมีประชาชนล้มตาย จะมาแถลงเพื่อสร้างความชอบธรรมได้อย่างไร


 


ทั้งนี้ นายนิสิต สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ได้ตะโกนว่า "พันธมิตรออกไปจากห้องประชุมได้แล้ว" จนทำให้ ส.ส.พรรคพลังประชาชน กรูเข้าไปรุมชี้หน้าด่า น.ส.รสนา จนประธานในที่ประชุม คือ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องกดปิดไมค์ และเชิญ น.ส.รสนา ออกห้องประชุม แต่ น.ส.รสนา ไม่ยอมออก จนทำให้นายวิทยา อินาลา ส.ว.นครพนม พร้อมด้วยนายนิคม ไวยพาณิช รองประธานวุฒิสภา ได้เข้าไปเคลียร์ แต่ น.ส.รสนา ยังยืนกรานนั่งอยู่ในห้องประชุมต่อไป


 


 


พปช.ประท้วงพกสามีเข้าประชุม รสนาไล่รัฐบาลยุบสภา ก่อนออกห้องประชุม


จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อ แต่ปรากฏว่า ในช่วงหนึ่ง ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า ท่านประธานปล่อยบุคคลภายนอก ที่ไม่ใช่ ส.ส.และ ส.ว. และไม่ได้ลงชื่อแสดงตนเข้าร่วมประชุมได้อย่างไร พร้อมกันนี้ ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ได้ตะโกนเสียงดังว่า คนที่ว่านั้น คือ สามีของ น.ส.รสนา และขอให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมานำตัวออกไป


 


กรณีดังกล่าวได้ทำให้เกิดเหตุวุ่นวายกลางสภา โดย ส.ส.พรรคพลังประชาชน เข้าไปรุมไล่ และตะโกนโวยวาย ทำให้ น.ส.รสนา ประท้วงว่า ขอให้นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาได้แล้ว เพราะมีความไม่ชอบธรรม เกิดเหตุวุ่นวายในสภา จนในที่สุด ประธานในที่ประชุมได้เชิญสามีของ น.ส.รสนา ออกไป โดยยอมเดินออกแต่โดยดี ขณะที่ น.ส.รสนา ได้ถูกสมาชิกในห้องประชุม ต้อนให้ออกไปในที่สุดเช่นเดียวกัน


 


 


แถลงนโยบายรวบรัด 3 ชม.จบ


จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกรัฐสภา ได้อภิปรายประมาณ 5 คน โดยคนสุดท้าย คือนายสงคราม ชื่นภิบาล ส.ว.สรรหา ได้อภิปรายเป็นคนสุดท้าย จากนั้นนายชัย ประธานในที่ประชุมได้แจ้งว่าเป็นที่รับทราบกัน ทุกคนว่า สถานการณ์ในขณะนี้ไม่ปกติจึงขอปิดการประชุม และงดการประชุมในวันที่ 8 ต.ค.เช่นกัน พร้อมกับสั่งปิดประชุมทันทีในเวลา 12.55 น. ซึ่งใช้เวลาการประชุมเพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งปรากฏว่าไฟสำรองที่รัฐสภาก็หมดลงอีกครั้งหนึ่ง   ภายหลังเลิกประชุมปรากฏว่า ส.ส.ต่างลงมาจับกลุ่มออกันทางประตูทางเข้า-ออกรัฐสภา เนื่องจากประตูทางออกถูกกลุ่มพันธมิตรฯ ล้อมอยู่ จนไม่สามารถจะออกจากรัฐสภาได้


 


 


"รสนา" ประณามรัฐสภาเป็นสภาตรายาง ต้องยุบสภาแก้วิกฤต ยอมรับสามีเข้ามาในรัฐสภา


ด้าน น.ส.รสนา ให้สัมภาษณ์หลังโดนเชิญออกจากห้องประชุม ว่า นโยบายรัฐบาลที่แถลงว่าจะสร้างความสมานฉันท์นั้น มันตรงข้ามกับเหตุการณ์ที่ประชาชนบาดเจ็บสาหัสแขนและขาขาด รัฐบาลควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ และมันจะลุกลามไปทั่วประเทศ นโยบายรัฐบาล คือ กระดาษที่แถลงให้พรรคพวกตัวเองรับฟัง โดยที่ฝ่ายค้านและ ส.ว.บางส่วนไม่เข้าร่วม ตนไม่อยากให้รัฐสภาเป็นสถานที่รับรองสิ่งที่รัฐบาลกระทำ


 


"สิ่งที่รัฐบาลแถลงไปนั้น ไม่มีประโยชน์และเป็นพิธีกรรมที่ใช้รัฐสภาเป็นตรายางเท่านั้น นายกฯเป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ชัดเจน ที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้อดีตนายกฯ กลับมาตามที่เคยประกาศไว้นั่นเอง แม้แต่การตั้ง ส.ส.ร.3 มันก็ไม่ใช่ทางออก เพราะปัญหานี้มันคือการแก้ปัญหาให้นักการเมืองเท่านั้น สถานการณ์ตอนนี้ปรองดองไม่ได้แล้ว นายกฯ จะหยุดวิกฤตินี้ไม่ได้ด้วยแก๊สน้ำตา วิกฤติมันลุกลามขึ้นโดยรัฐบาลนั่นเอง วิธีที่ดีที่สุด คือ ยุบสภา"


 


นอกจากนี้ น.ส.รสนา ชี้แจงยอมรับว่า บุคคลที่เข้าไปในที่ประชุมสภานั้น เป็นสามีของเธอ ชื่อนายสันติสุข โสภณสิริ เนื่องจากเห็นว่า ขณะที่เธอลุกขึ้นอภิปราย มี ส.ส.พรรคพลังประชาชนเดินกราดเข้ามาหา พร้อมทั้งชี้หน้าด่าว่า ซึ่งสามีที่นั่งอยู่ที่บริเวณหน้าห้องประชุมกลัวว่าเธอจะถูกทำร้าย จึงเดินเข้ามาดูสถานการณ์ และเพื่อปกป้องหากเธอถูกทำร้าย โดยที่เธอก็ไม่ทราบว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ส่วนบทลงโทษไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร จะให้ติดคุกก็ได้


 


 


ที่มา: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ และ ไทยรัฐ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net