Skip to main content
sharethis








การเมือง


 


อภิรักษ์ยังลุ้นนั่งผู้ว่าฯกทม.คดีจ่อฟันเพียบรอ ป.ป.ช. ชี้มูลผิด


เว็บไซต์คมชัดลึก - เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาคดีค้างเก่าของนายอภิรักษ์ ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.สมัยที่ 1 ว่า คดีความที่เกี่ยวข้องกับนายอภิรักษ์ยังไม่มีข้อสรุปว่านายอภิรักษ์มีความผิดหรือไม่ เพราะอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยนายอภิรักษ์มีสิทธิ์ที่จะชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้ ทั้งนี้หากในอนาคต ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายอภิรักษ์ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.จะเกิดการตีความกฎหมายออกเป็น 2 ด้านทันทีว่าต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวหรือไม่


 


"ด้านหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการกระทำที่เกิดต่างกรรมต่างวาระกัน แม้ว่านายอภิรักษ์จะเป็นผู้ว่าฯ กทม.อีกครั้ง ทำให้ไม่ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนอีกด้านหนึ่งอาจเห็นว่าต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ เพราะถือว่าเป็นบุคคลเดียวกัน ดังนั้นหากเกิดปัญหาลักษณะนี้ในอนาคต ป.ป.ช.คงต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความต่อไป" น.ส.สมลักษณ์กล่าว


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 55 ระบุว่า "ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่าข้อกล่าวใดมีมูลและข้อกล่าวหานั้นเป็นเรื่องที่ประธานวุฒิสภาส่งมาตามมาตรา 43 (1) หรือผู้เสียหายยื่นคำร้องเพื่อดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 43 (2) นับแต่วันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาแล้วแต่กรณี"


 


ส่วนคดีของนายอภิรักษ์ ที่ ป.ป.ช.กำลังพิจารณา ได้แก่ 1.โครงการการก่อสร้างถนนทางลอด 16 สายของ กทม.มูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท กรณีนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2550 โดยมีนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน ตามที่ดีเอสไอเป็นผู้ส่งเรื่องมาให้ ป.ป.ช. ซึ่งคดีนี้มีการกล่าวหาข้าราชการของกรุงเทพมหานครเสนอเงื่อนไขที่มีลักษณะเป็นการกีดกันและไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการเปิดประมูลโครงการดังกล่าว 2.คดีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.มูลค่า 6,687 ล้านบาท อยู่ในความรับผิดชอบของนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.


 


วันเดียวกัน นายอภิรักษ์ ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. ให้สัมภาษณ์ในรายการจมูกมด ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ถึงภารกิจหลังได้รับตำแหน่งว่า ปัญหาอันดับแรกที่ประชาชนต้องการให้แก้ไขคือจราจร แต่ติดปัญหารถประจำทาง ขสมก.ก็ไม่ได้อยู่กับ กทม. รถไฟฟ้าก็ดูแลเฉพาะบีทีเอส ตำรวจจราจรก็ไม่ได้ดูแล ซึ่งในหลายเมืองใหญ่ดูแลสิ่งเหล่านี้เอง อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ได้ตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อดูแลแล้ว จากนี้จะเชิญฝ่ายต่างๆ มาร่วมหารือ ก่อนผลักดันผ่านกระทรวงมหาดไทยไปยังรัฐบาลต่อไป นอกจากนี้จะเร่งแก้ปัญหาขยะ สภาพพื้นผิวถนน ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้อยู่อาศัยในอาคารพาณิชย์ รวมทั้งแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบกรุงเทพมหานคร เพื่อจัดการปัญหาต่างๆ เช่นทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง


 


ส่วนที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งน้อยกว่าครั้งที่ผ่านมานั้น นายอภิรักษ์กล่าวว่า อาจเป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า อีกทั้งยังตรงกับช่วงเทศกาลกินเจ หลายคนอาจเดินทางไปต่างจังหวัด หรือทำภารกิจต่างๆ


 


ด้านความคืบหน้าผลคะแนน ผู้ว่าฯ กทม. วันที่ 5 ตุลาคม 2551 อย่างเป็นทางการ พบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวนทั้งสิ้น 4,087,329 คน แต่มีผู้มาใช้สิทธิ 2,214,320 คิดเป็น 54.18% บัตรเสีย 19,376 บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 37,345 ส่วนผลคะแนน ผู้ว่าฯ กทม. อันดับ 1 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน 991,018 คะแนน คิดเป็น 45.93 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 2 นายประภัสร์ จงสงวน 543,488 คะแนน คิดเป็น 25.19 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 3 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ 340,616 คะแนน คิดเป็น 15.79 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 4 นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ 260,051 คะแนน คิดเป็น 12.05 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 5 นางลีนา จังจรรจา 6,267 คะแนน คิดเป็น 0.29 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 6 นายวิทยา จังกอบพัฒนา 3,759 คะแนน คิดเป็น 0.17 เปอร์เซ็นต์


 


อันดับ 7 นายวราวุธ ฐานังกรณ์ 2,771 คะแนน คิดเป็น 0.13 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 8 ร.อ.เมตตา เต็มชำนาญ 2,105 คะแนน คิดเป็น 0.10 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 9 นายกิตติศักดิ์ ถิรวิศิษฎ์ 2,102 คะแนน คิดเป็น 0.10 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 10 น.ส.วชิราภรณ์ อายุยืน 1,140 คะแนน คิดเป็น 0.05 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 11 นายสุเมธ ตันธนาศิริกุล 1,078 คะแนน คิดเป็น 0.05 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 12 นางธรณี ฤทธีธรรมรงค์ 852 คะแนน คิดเป็น 0.04 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 13 นายภพศักดิ์ ปานสีทอง 811 คะแนน คิดเป็น 0.04 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 14 นายอุดม วิบูลเทพาชาติ 617 คะแนน คิดเป็น 0.03 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 15 นายสมชาย ไพบูลย์ 503 คะแนน คิดเป็น 0.02 เปอร์เซ็นต์ และอันดับ 16 ว่าที่ พ.ต.นิพนธ์ ซิ้มประยูร 421 คะแนน คิดเป็น 0.02 เปอร์เซ็นต์


 


"ประภัสร์" เล็งคัมแบ๊กรฟม.


สยามรัฐ - นายประภัสร์ จงสงวน ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 10 พรรคพลังประชาชน แถลงข่าวเปิดใจว่า ยอมรับพอใจผลคะแนนที่ตัวเองได้มา 543,488 คะแนน แม้จะมีเวลาหาเสียงน้อยและเสียเปรียบคู่แข่งเพราะภายในพรรคกำลังมีปัญหา แต่ไม่รู้สึกเสียใจ เพราะได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งหลังจากนี้ตนขอเวลาไปพักผ่อนก่อน


 


ขณะเดียวกัน นายประภัสร์ยังได้แสดงความยินดีกับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน พร้อมฝากให้ดำเนินนโยบายต่างๆ ให้ได้ตามที่ให้คำมั่นไว้กับประชาชน แต่ถ้าหากนายอภิรักษ์ถูกใบเหลืองจากกกต.ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ตนก็จะลงสมัครอีกครั้งอย่างแน่นอนต่อข้อถามที่ว่าอีก 4 ปีข้างหน้าจะลงสมัครอีกหรือไม่ นายประภัสร์ตอบว่าเมื่อถึงเวลานั้นตนอาจอายุมากเกินไปที่จะบริหารกทม.เนื่องจากกทม.มีปัญหามากให้จัดการ ส่วนจะกลับไปเป็นผู้ว่าการรฟม.หรือไม่นั้น ตนกำลังรอดูอยู่ แต่ก็มีหลายหน่วยงานมาทาบทาม


 


 






เศรษฐกิจ


 


วิกฤติการเงิน-ม็อบหุ้นร่วง 38 จุด ต่ำสุดรอบ5ปี


ไทยโพสต์ - ตลาดหุ้นไทยวันที่ 6 ตุลาคม ร่วงหนักตั้งแต่เปิดซื้อขายตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับลดลงถ้วนหน้า โดยปิดการซื้อขายที่ระดับ 551.80 จุด ลดลง 38.25 จุด หรือ 6.48% มูลค่าการซื้อขาย 14,408.45 ล้านบาท โดยดัชนีต่ำสุดในรอบ 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2546 ที่ดัชนีอยู่ที่ 544.39 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิ 2,221.99 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,087.72 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,309.71 ล้านบาท


 


นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวร่วงลงมากเกือบ 6.5% เป็นไปตามตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งตลาดหุ้นฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ก็ปรับลดลง 4.5-5% และช่วงท้ายตลาด เมื่อตลาดหุ้นยุโรปเปิดก็ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดหนักขึ้น ซึ่งมาจากปัจจัยภายนอกประเทศในเรื่องวิกฤติการเงินสหรัฐที่กำลังลามไปยุโรป รวมถึงปัจจัยภายในอย่างประเด็นการเมืองที่คาดว่าจะร้อนแรงขึ้นด้วย


 


นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับลดลงอย่างหนัก เป็นผลกระทบจากตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับลง 5-10% หลังตกอยู่ภายใต้ภาวะความตื่นตระหนกกับวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐที่ได้ลุกลามอย่างรวดเร็วและทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ โดยเข้าไปสร้างความเสียหายในภาคการผลิตที่แท้จริง รวมไปถึงระบบการเงินทั้งยุโรปและเอเชีย ซึ่งแผนกู้วิกฤติมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ไม่น่าเพียงพอในการยับยั้งความเสียหายครั้งนี้ จึงมีแรงขาย Panic Sell ออกมาฉุดรั้งดัชนีปรับลงแรง


 


"นอกจากนี้ กรณีที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 2 คนถูกควบคุมตัว เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์การเมืองที่กำลังจะคลี่คลายเริ่มติดขัด และการเจรจายุติ ทางการเมืองอาจมีอุปสรรคเพิ่มขึ้น" นายอภิศักดิ์ระบุ


 


สำหรับแนวโน้มดัชนีวันที่ 7 ต.ค. 51 ประเมินว่า ดัชนีน่าจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดหุ้นในอาเซียนตกลงอย่างหนักเช่นกัน


 


ด้านนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง กล่าวว่า การที่หุ้นตกเมื่อวันที่ 6 ต.ค. ปัจจัยหลักๆ น่าจะเกิดจากกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นในสถาบันการเงินของยุโรป โดยตนคงไม่สามารถพยากรณ์ผลกระทบได้ เพราะตลาดทรัพย์สิน (ตลาดหุ้น) จะเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะโลก ซึ่งมองว่าไทยยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการเข้ามาดูแลเพิ่มเติมในส่วนนี้ เพราะมาตรการรับมือผลกระทบวิกฤติการเงินโลกที่ได้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยบางมาตรการที่ต้องให้ ครม.อนุมัตินั้น อยู่ระหว่างเตรียมเสนอเข้า ครม.ภายหลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว


 


"แนวโน้มหุ้นไทยก็คงเป็นไปตามภาวะตลาดทรัพย์สินโลก ดังนั้น แม้จะใช้มาตรการต่างๆ มากมาย คงช่วยไม่ได้มากหากตลาดโลกมีปัญหา ซึ่งมาตรการที่รัฐบาลประกาศไปแล้วจึงเป็นเพียงมาตรการบรรเทาผลกระทบและให้โอกาสนักลงทุนได้เข้าลงทุนซื้อทรัพย์สินในช่วงที่มีราคาถูก โดยราคาหุ้นของไทยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐที่เป็นจุดเกิดเหตุพบว่าลดลงไม่มาก" นายสุชาติกล่าว


 


รมว.คลังกล่าวด้วยว่า รัฐบาลยืนยันจะดูแลสภาพคล่องในระบบให้เพียงพอ โดยเฉพาะการดูแลภาคการผลิตที่แท้จริง (เรียลเซ็กเตอร์) ให้มีเงินหมุนเวียนเพียงพอใช้ในการผลิต


 


ขณะที่นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ว่าที่ที่ปรึกษา รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้มีการคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าในที่สุดผลกระทบจากวิกฤติการเงินสหรัฐจะลุกลามไปยังสถาบันการเงินในยุโรป เนื่องจากหลายแห่งมีการดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินในสหรัฐค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดี เชื่อว่าปัญหาไม่น่าจะลุกลามมากนัก เนื่องจากผู้นำในกลุ่มประเทศยุโรปและผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรปได้มีการเข้าไปดูแลแก้ปัญหาในทันที จึงเชื่อว่าจะไม่ลุกลามมาถึงภูมิภาคเอเชียรุนแรงนัก มีเฉพาะญี่ปุ่นที่ต้องจับตา ส่วนไทยนั้นคงไม่มีผลกระทบ เพราะมีการลงทุนในตลาดการเงินระหว่างประเทศต่ำกว่าแค่ 1.3% ของสินทรัพย์รวม


 


ส่วนกรณีที่สภาคองเกรสของสหรัฐได้อนุมัติแผนช่วยเหลือทางการเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐแก่สถาบันการเงินที่มีปัญหานั้น นายอรุสรณ์กล่าวว่า คงไม่ใช่มาตรการดูแลขั้นสุดท้าย เนื่องจากวิกฤติที่เกิดขึ้นในสหรัฐน่าจะมีผลกระทบไปอีกไม่ต่ำกว่า 1-2 ปี ดังนั้นเชื่อว่าทางการสหรัฐคงมีมาตรการอื่นๆ ออกมาอีก โดยเฉพาะในด้านอัตราดอกเบี้ยที่เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะลดดอกเบี้ยลงเหลือ 1-1.50% ในระยะต่อไปนี้แน่นอน


 


 






คุณภาพชีวิต


 


สหวิริยาฟ้องแกนนำม็อบมั่วอีไอเอเท็จ


ไทยโพสต์ - นายสมศักดิ์ ศิวะไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด ในเครือสหวิริยา เปิดเผยกรณีแกนนำกลุ่มคัดค้านโครงการโรงถลุงเหล็กฯ ระบุท่าเทียบเรือน้ำลึกปัจจุบันของบริษัทจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ที่อาจเป็นเท็จ และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศแหล่งท่องเที่ยวว่า การจัดทำอีไอเอของท่าเทียบเรือน้ำลึกศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้านโดยผู้เชี่ยวชาญ โปร่งใสทุกขั้นตอนและผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)


 


ส่วนประเด็นท่าเรือฯ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศนั้น การศึกษาของ United Nations Industrial Development Organization (UNIDO) พบว่า อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีสภาพภูมิประเทศเป็นร่องน้ำลึกโดยธรรมชาติ เหมาะแก่การสร้างท่าเรือน้ำลึกโดยไม่ทำลายสภาพแวดล้อม ไม่ต้องขุดรอกดินออกปริมาณมากเหมือนท่าเรืออื่นๆ มีการตกตะกอนของดินน้อย ทำให้ไม่มีผลกระทบจากระดับน้ำขึ้น-น้ำลง และการพัดพาของดินตะกอน


 


ทั้งนี้ บริษัทจำเป็นต้องพึ่งกระบวนการทางกฎหมายเพื่อรักษาชื่อเสียงและทำความจริงให้ปรากฏ เนื่องจากข่าวของกลุ่มคัดค้านทำให้บริษัทเสียหาย ที่สำคัญ บริษัทถือหุ้นโดยบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือเอสเอสไอ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อาจเกิดผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย


 


นมจีนเปื้อนพิษยังลามไม่หยุด


สยามรัฐ - นมจีนเปื้อนพิษยังฉุดไม่อยู่ ล่าสุด อย.โสมขาวตรวจพบอีก 10 รายการ ขณะที่อิหร่านสั่งแบนนำเข้าผลิตภัณฑ์นมจากจีนแล้ว ส่วนที่จีนแผ่นดินใหญ่จับผู้ต้องสงสัยเพิ่ม พร้อมระดมเจ้าหน้าที่ครึ่งหมื่นเร่งออกตรวจสอบ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สถานการณ์ผลิตภัณฑ์ปนเปื้อนสารเมลามีนที่ผลิตจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง โดยล่าสุด สำนักงานอาหารและยาแห่งเกาหลีหรือเคเอฟดีเอ เปิดเผยว่า ได้ตรวจพบผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจากจีนปนเปื้อนสารเมลามีนดังกล่าวอีก 10 รายการซึ่งผลิตภัณฑ์นมทั้งหมดที่ตรวจพบสารพิษครั้งนี้ เป็นอันตรายต่ออวัยวะไตของผู้บริโภค ส่งผลให้จนถึงขณะนี้ทางเคเอฟดีเอได้ตรวจพบผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจากจีนปนเปื้อนสารพิษไปแล้วถึง216 รายการ


 


ขณะเดียวกัน ที่อิหร่านโดยกระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจากจีนเข้ามาจำหน่ายในประเทศแล้ว เนื่องจากหวั่นเกรงว่า สารพิษเมลามีนที่ปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์นม จะเป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริโภค


 


พร้อมกันนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขของอิหร่าน เปิดเผยว่า จะตรวจจับผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจากจีน ซึ่งวางจำหน่ายตามร้านค้าในอิหร่านด้วย ทั้งนี้ หากตรวจพบก็จะยึดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทันที


 


ขณะที่ สถานการณ์ในจีนแผ่นดินใหญ่ ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจของจีน ได้จับผู้ต้องสงสัยว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุผลิตภัณฑ์นมเปื้อนสารเมลามีนเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 6 คน ในเมืองโฮห์ฮอต เมืองเอกของมองโกเลียใน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตภัณฑ์นมที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ ภายหลังจากดำเนินการสอบสวนขยายผลจากการจับกุมผู้ต้องสงสัยในครั้งก่อน


 


อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยในรายละเอียดในการจับกุมครั้งนี้ว่า ผู้ต้องสงสัยทั้ง 6 คน นี้ เกี่ยวข้องอย่างไรกับกรณีนมเปื้อนพิษอันอื้อฉาว


 


นอกจากนี้ ทางการจีนได้เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่อีก 5,000 คน สำหรับปฏิบัติภารกิจไปตรวจสอบผลิตภัณฑ์นมในท้องที่ต่างๆ ทั่วประเทศ


 


6 บริษัทนมโวยรัฐป่วนธุรกิจพัง อย.ตรวจอีก 15 บริษัทไร้สารบอกชาวบ้านคลิกเว็บ


ไทยโพสต์ - เมื่อวันที่ 6 ต.ค. สมาคมอุตสาหกรรมภัณฑ์อาหารไทยร่วมกับสมาชิก 6 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ฟรีแลนด์ ฟู้ดส์ โฟร์โมสต์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์) สหกรณ์โคนมวังน้ำเย็น จำกัด บริษัท เอฟ แอนด์ เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เอบี ฟู้ดส์ แอนด์ เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อยืนยันความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์นมปลอดภัยจากสารเมลามีน เนื่องจากใช้น้ำนมดิบที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้านมผงจากประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับการยืนยันไม่มีสารเมลามีนปนเปื้อน


 


นางปราณี อยู่สำราญ นายกสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารไทย เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์หน้า สมาคมจะยื่นหนังสือไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อยืนยันความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์นมของทั้ง 6 บริษัท


 


ส่วนสาเหตุที่แต่ละบริษัทต้องนำเข้านมผงจากต่างประเทศ เพราะน้ำนมดิบในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยผลิตน้ำนมได้เพียง 1,600-1,700 ตันต่อวัน ขณะที่สมาชิกสมาคมสั่งซื้อน้ำนมดิบคิดเป็นสัดส่วนถึง 70% ของจำนวนการผลิตทั้งหมด


 


นายไพศาล จงบัญญัติเจริญ บริษัท ซีพี-เมเจิ จำกัด กล่าวว่า บริษัทอยากให้ภาครัฐแสดงความชัดเจนในเรื่องสารเมลามีนที่ปนเปื้อนในนมผง เนื่องจากไม่ได้เกิดขึ้นทุกบริษัท โดยภาครัฐควรโฆษณาผ่านทุกสื่อ เพราะการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือมากกว่าเอกชน ขณะที่ภาครัฐยังไม่ออกมาให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์นมที่มีความปลอดภัยเลย


 


สำหรับผลกระทบยังไม่สามารถประเมินได้ เนื่องจากเดือน ต.ค.เป็นเดือนที่ยอดขายของผลิตภัณฑ์นมลดลงอยู่แล้ว 3-5% เพราะเป็นช่วงเทศกาลกินเจ ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่หันไปบริโภคนมถั่วเหลืองมากกว่านมวัว ประกอบกับมีเหตุการณ์น้ำท่วมและกรณีสารเมลามีนปนเปื้อน แต่เชื่อว่าอัตราการเติบโตจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้งในเดือน พ.ย. ซึ่งคาดอัตราเติบโตอยู่ที่ 15% ก่อนกลับมาเติบโตลดลงอีกครั้งในเดือน ธ.ค. เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง


 


ทั้งนี้ บริษัทต้องปรับแผนการตลาดในช่วง 3 เดือนสุดท้าย โดยเปิดแคมเปญการตลาดมากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้น 20% จากงบเดิมทั้งปี 100 ล้านบาท คาดสิ้นปีเติบโตตามเป้าหมาย 18% ส่วน 9 เดือนที่ผ่านมาเติบโต 20%


 


ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย. กล่าวว่า อย.ได้รับผลการตรวจวิเคราะห์เพื่อหาสารเมลามีนอีก 22 รายการ จำนวน 15 บริษัท มีทั้งผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ และมีแหล่งผลิตจากทั้งทวีปยุโรป อเมริกาและเอเชีย เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย โปแลนด์ อเมริกา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ผลปรากฏไม่พบการปนเปื้อนสารเมลามีน ส่วนผลตรวจเบื้องต้นของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ระบุว่าตัวอย่างนมผง 9 ตัวอย่าง พบการปนเปื้อน 5 ตัวอย่าง ต้องรอผลการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่ง อย.พร้อมให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชน


 


ทั้งนี้ ผลการตรวจนมผงและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนมจากจีนเป็นส่วนประกอบ จะส่งตรวจยืนยันซ้ำที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกรายการ


 


ขณะที่การนำเข้านมผงจากจีนผ่านด่านเชียงแสน จ.เชียงราย กว่า 9,000 ตัน เพื่อเป็นอาหารสัตว์ แต่อาจนำไปผลิตอาหารสำหรับคน โดยเฉพาะไอศกรีม ต้องถามกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรฯ


 


"ขอให้เชื่อมั่นว่า ผลิตภัณฑ์นม นมผงและผลิตภัณฑ์ที่มีนมเป็นส่วนประกอบที่จำหน่ายในไทยมีความปลอดภัย เพราะ อย.มีมาตรการเข้มงวด ทั้งจากด่านนำเข้าและส่วนภูมิภาค ซึ่งผู้บริโภคสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.fda.moph.go.th หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม อย.จะแจ้งให้ทราบทุกวัน" นพ.พิพัฒน์กล่าว


                           


 






วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


 


ตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลเชื้อเพลิงซังข้าวโพด


เว็บไซต์ข่าวสด - นายวินเมือง คชสารมณี ผู้ช่วยผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดตาก เปิดเผยว่า มีนักลงทุนสนใจเข้ามาตั้งโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าในพื้นที่จ.ตาก ปัจจุบันมีโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้พลังงานเชื้อเพลิงชีวมวลแล้ว 2 แห่ง แห่งแรกคือ บริษัทแม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด อ.แม่สอด ใช้ชานอ้อยเป็นพลังงานเชื้อเพลิง ผลิตกระแสไฟฟ้า 16 เมกะวัตต์ และบริษัท สตาร์แกรนิต อ.บ้านตาก ใช้ซังข้าวโพด และต้นกระถินยักษ์ เป็นพลังงานสะอาด ผลิตกระแสไฟฟ้า 10 เมกะวัตต์ นำร่อง 2 แห่งแรกของจังหวัดตาก


 


นอกจากนี้ ยังมีบริษัท ตากอะโกรเอ็นนียี่ ไปโอแมส จำกัด เตรียมสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจากต้นกระถินยักษ์ และซังข้าวโพดในพื้นที่ อ.วังเจ้า หรือในพื้นที่ อ.เมืองตาก และยังมีเอกชนรายอื่นยื่นตั้งโรงงานไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ที่ ต.วังประจบ อ.เมืองตาก และในเขต ต.ไม้งาม อ.เมืองตาก ขั้นตอนการลงทุน 300-800 ล้านบาทต่อแห่ง


 


ด้านนายอภิรัตน์ เตวัชรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตากอะโกรเอ็นนียี่ ไปโอแมส จำกัด โรงไฟฟ้าชีวมวลจะใช้ซังข้าวโพดและต้นกระถินยักษ์ที่บริษัทส่งเสริมให้เกษตรกร ปลูกกว่า 10,000 ไร่ โดยจะทำ MOU กับผู้ประกอบการหรือสหกรณ์การเกษตร ที่แปรรูปข้าวโพดอาหารสัตว์รายใหญ่ใน อ.แม่สอดและอำเภออื่นๆ ซึ่งการใช้ต้นกระถินยักษ์มีค่าความร้อนสูงกว่าต้นไม้อื่น คาดว่าจะประกันราคารับซื้อประมาณตันละ 400-600 บาท ทั้งนี้จะก่อสร้างโรงงานแล้วเสร็จในปลายปี 2552


 



อากาศร้อน-ยุงบินเข้ายุโรป


เว็บไซต์ข่าวสด - อากาศในยุโรปเปลี่ยนแปลงเป็นร้อนจัดขึ้น ทำให้โรคไวรัสที่มากับยุง พุ่งขึ้นตามไปด้วย อย่างยุงจากเอเชียพันธุ์ "เสือ" ก็พาไวรัส "ชิคุนกุนยา" มา รวมทั้งไวรัสอื่นๆ โดยนางแจ๊กเกอลีน แมคเกลด ผู้บริหารสำนักงานสิ่งแวดล้อมยุโรป กล่าวว่า ยุโรปมีอากาศร้อนขึ้นสูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ ของโลก คือ สูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส ขณะที่ภูมิภาคอื่นสูงขึ้น 0.8 องศาเซลเซียส และภายในสิ้นศตวรรษนี้ อุณหภูมิยุโรปจะสูงขึ้น 1-5.5 องศาเซลเซียส


 


จากสถิติที่ผ่านมาในช่วง 50 ปี พบว่า ยุโรปมีอากาศร้อนจัดมากขึ้น ส่วนอากาศที่หนาวเย็นอย่างรุนแรงนั้นลดลง นอกจากอากาศร้อนจัดจะพาไวรัสมายังยุโรป จนอาจทำให้ประชาชนป่วยไข้แล้ว ยังทำให้เกิดน้ำท่วม พายุฝนรุนแรงด้วย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net