4 ต.ค.51 เวลา 15.30 น.ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งโดยพิเคราะห์แล้ว ได้ความตามคำร้อง และสอบถามผู้ร้องแล้วยืนยันว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานปรากฏว่า ผู้ต้องหาได้ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมและเคลื่อนไหวกล่าวโจมตีขับไล่รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 51 เรื่อยมา โดยเฉพาะวันที่ 26 ส.ค. 51 ผู้ต้องหาได้พากลุ่มผู้ชุมนุมไปปิด ถ.มิตรภาพ จ.นครราชสีมา และวันดังกล่าวกลุ่มพันธมิตรฯได้พากลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 20,000 คน ไปปิดล้อม และบุกเข้าในทำเนียบรัฐบาลเพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีจนไม่สามารถเข้าไปในอาคารทำเนียบรัฐบาลได้ ทั้งในทางคดีมีความเชื่อมโยงกัน พนักงานสอบสวนจึงขอออกหมายจับ ซึ่งศาลอาญามีคำสั่งให้ออกหมายจับผู้ต้องหากับพวก ต่อมาวันที่ 3 ต.ค. 51 เวลาประมาณ 14.00 น. เจ้าพนักงานตำรวจศูนย์สืบสวน บช.น.ได้จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ และกรณีมีเหตุจำเป็นที่จะต้องสอบสวนพยานอีกจำนวนมาก เนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจได้บันทึกภาพและเสียงตลอดระยะเวลาที่มีการชุมนุม จึงต้องส่งเทปบันทึกภาพและเสียงไปตรวจพิสูจน์ ประกอบกับต้องตรวจสอบการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มผู้ต้องหา และแนวร่วมที่เกิดขึ้นในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ
เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความจากผู้ร้องข้างต้นถือว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และกรณีมีเหตุจำเป็นเพื่อทำการสอบสวน พนักงานสอบสวนผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอหมายขังผู้ต้องหานั้นไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87 วรรค 3 ส่วนที่ผู้ต้องหาแถลงคัดค้านว่า หมายจับอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จึงถือว่าหมายจับมีผลระงับใช้ชั่วคราวนั้น เห็นว่า แม้ผู้ต้องหากับพวกจะยื่นอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนหมายจับต่อศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับไว้พิจารณาแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น กรณีจึงต้องถือว่าหมายจับของศาลอาญายังมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย ที่ผู้ต้องหาอ้างว่าหมายจับมีผลระงับไว้ชั่วคราวนั้น เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ต้องหาเอง ข้อคัดค้านประการแรกของผู้ต้องหาจึงฟังไม่ขึ้น
สำหรับข้อคัดค้านประการที่ 2 ที่ ว่า พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.51 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 4 เดือนเศษ จึงเป็นระยะเวลาสอบสวนที่พอสมควรแก่เหตุแล้วนั้น ศาลเห็นว่า พนักงานสอบสวนผู้ร้องยืนยันว่าทางการสอบสวนจำเป็นจะต้องตรวจสอบและสอบปากคำพยานอีกจำนวนมาก ซึ่งยังไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่ชัดได้ ประกอบกับกรณีเห็นได้ว่าพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดคดีนี้ เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมีพยานบุคคลที่รู้เห็นจำนวนมาก เชื่อว่าการรวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำพยานอันเป็นขั้นตอนในการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และพยานหลักฐานที่สอบสวนต่อไปนั้น อาจมีความเชื่อมโยงถึงตัวผู้ต้องหา กรณีจึงถือว่ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องขังผู้ต้องหาไว้เพื่อทำการสอบสวน ดังวินิจฉัยแล้วข้างต้น คำคัดค้านของผู้ต้องหาประการนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ส่วนข้ออ้างของผู้ต้องหาที่ว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนีหรือข่มขู่พยาน เห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวไม่ใช่เหตุที่จะยกขึ้นคัดค้านการขอฝากขัง แต่เป็นเหตุที่ใช้ประกอบการพิจารณาคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 และ 108/1 จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาได้ 12 วัน และกำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดการสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ภายหลังนายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ยังติดใจในการยื่นคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน โดยวันนี้ยังไม่ขอใช้สิทธิในการประกันตัว แต่จะรอฟังคำสั่งขอให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขัง ในวันที่ 6 ต.ค.นี้ ก่อนว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร
จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายไชยวัฒน์ ไปทำประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ ก่อนส่งตัวขึ้นรถเรือนจำไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ท่ามกลางกองเชียร์กลุ่มพันธมิตร ที่มารอให้กำลังใจ ราว 100 คน ซึ่งตะโกนให้กำลังใจ บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อเห็นนายไชยวัฒน์ ในสภาพที่อยู่บนรถของเรือนจำ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติหารพิเศษ ปราบจราจล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน มาดูแลรักษาความปลอดภัย
ที่มา: http://www.siamrath.co.th