ชาวประจวบร่วมฟังไต่สวนพยานนัดสุดท้าย คดีสังหาร "เจริญ วัดอักษร"

วันที่ 3 ต.ค.51  เมื่อเวลา 08.00.ชาวบ้านกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก-กุยบุรี กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด กลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง กลุ่มรักบ้านเกิดอ่าวน้อย กลุ่มรักษ์กุยบุรี-สามร้อยยอด ในนาม 5 พันธมิตรกลุ่มอนุรักษ์" จังหวัดประจวบฯ ราว 300 คน ได้เดินทางมารวมตัวกันหน้าศาลอาญา เพื่อร่วมฟังการสืบพยานจำเลยครั้งสุดท้ายในคดีลอบสังหารนายเจริญ วัดอักษร ประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก-กุยบุรี เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ซึ่งเขามีบทบาทคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2 แห่งในจังหวัดประจวบฯ ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูดตั้งแต่ พ.ศ. 2538

ชาวบ้านทั้งหมดร่วมฟังการสืบพยานของศาลซึ่งเริ่มในเวลาประมาณ 9.30 น.และสิ้นสุดในเวลา 11.00 น. โดยมีการสืบพยานจำเลย 1 คน คือ นายธนู หินแก้ว และทนายจำเลยไม่ติดใจสืบพยานที่เหลืออีก 2 ปาก หลังจากนั้นผู้พิพากษาได้อ่านสำนวนการไต่สวน และนัดให้มีการฟังประเด็นการไต่สวนพยานซึ่งเป็นแพทย์ ที่ศาลจังหวัดประจวบในวันที่ 29 ต.ค.นี้ ก่อนที่จะมีการพิพากษาคดีต่อไป

กรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญและแกนนำกลุ่มอนุรักษ์ฯ ให้สัมภาษณ์ว่า "การมาฟังคำไต่สวนในวันนี้ไม่ได้คาดหวังอะไร เพียงแค่ต้องการให้สังคมได้เรียนรู้กระบวนการยุติธรรมว่าเป็นอย่างไร อยากให้สังคมได้ตระหนักว่าการลุกขึ้นมาต่อสู้ของพวกเราเพื่อต้องการที่จะปกป้องทรัพยากรในชุมชนของพวกเราเอาไว้จากการถูกกระทำและตอกย้ำโดยนโยบายการพัฒนาของรัฐบาลที่สมคบกับกลุ่มทุนเพื่อมาแย่งทรัพยากรของชุมชน และแทนที่เราจะได้รับความยุติธรรม ความยุติธรรมกลับถูกออกแบบให้เรารู้สึกว่าเราถูกกระทำซ้ำจากกระบวนการยุติธรรม และในอนาคตถ้ากระบวนการยุติธรรมยังเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ โครงสร้างทางความรุนแรงก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประชาชนที่ลุกขึ้นมาปกป้องชุมชนในลักษณะแบบนี้ก็จะตายกันอยู่ร่ำไป เพราะคนที่กระทำความผิดเป็นผู้มีอิทธิพลก็จะเหิมเกริมมากขึ้นเนื่องจากการฆ่าคนๆ หนึ่งไม่สามารถเอาผิดกับบรรดาบุคคลเหล่านั้นได้เลย

ในช่วงบ่ายกลุ่มชาวบ้านจากจังหวัดประจวบฯ ได้เดินทางต่อไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้องเรียนหน่วยงานราชาการในพื้นที่ว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบที่ดินของเครือสหวิริยาซึ่งชาวบ้านระบุว่าได้รุกพื้นที่ป่าสงวน ที่ดินสาธารณะกว่า 1,000 ไร่ และอยู่ระหว่างการเพิกถอนสิทธิ์หลายแปลง แต่ข้าราชการในพื้นที่หลายระดับกลับเพิกเฉย ทั้งยังมีบางส่วนที่สนับสนุนโครงการของเอกชนอย่างเปิดเผย จึงเรียกร้องให้ รมว.มหาดไทยตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และทำหนังสือระงับการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบการเพิกถอนสิทธิที่ดินที่ไม่ถูกต้องและเอาผิดกับผู้บุกรุกเสียก่อน

 

0000

 





แถลงการณ์

นัดสืบพยานปากสุดท้าย

สี่ปีผ่านไป  กระบวนการยุติธรรมรู้หรือยังว่า "ใคร" ฆ่า "เจริญ"

๓ ตุลาคม ๒๕๕๑

 

๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๗  นายเจริญ วัดอักษร ถูกระดมยิงเข้าใส่ที่บริเวณเอว ขา และสะโพกรวม ๕ นัด  เราไม่รู้ว่าตอนนั้นเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดขนาดไหน แต่ตอนที่ทรุดลงไปกองกับพื้นนั้น เขายังมีสติพอที่จะยกมือขึ้นป้อง ก่อนที่จะถูกจ่อยิงกระหน่ำเข้าที่ศีรษะอีก ๕ นัด   เลือดที่นองอยู่ตรงสี่แยกบ่อนอกนั้น ฝนที่ตกลงมาอยู่หลายวันก็ยังล้างไม่หมด

 

ถ้าการไต่สวนคดีในศาลเริ่มต้นด้วยการบรรยายแบบนี้ทุกครั้ง ผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมคงจะยังจำได้เหมือนที่เราจำได้ ว่าเจริญถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมเพียงใด

 

และถ้าจะมีการบรรยายซ้ำให้หายข้องใจกันชัดๆ อยู่ทุกครั้งว่า เจริญถูกฆ่าตายหลังลงจากรถทัวร์สายกรุงเทพฯ-ประจวบฯได้เพียงไม่กี่ก้าว ขณะกลับจากไปให้การต่อกรรมาธิการ สภาผู้แทนฯ ในเรื่องปัญหาที่ดินสาธารณะ อันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติภารกิจในฐานะประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก ที่ทำให้เขาต้องขึ้น-ลงรถครั้งแล้วครั้งเล่าตรงสี่แยกแห่งนั้นมาตลอดสิบปีของการคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินของบริษัทกัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่นร่วมกันกับชาวบ้านทั้งชุมชน และคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินหินกรูด ร่วมกับพี่น้องชาวบ้านกรูดนั้น   

 

บางทีมันอาจทำให้ผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายคงจะคิดได้ไม่ต่างจากเราเช่นกัน ว่าเจริญไม่ได้ตายด้วยปัญหาความขัดแย้งส่วนตัว  

 

และถ้าหากว่าผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายในกระบวนการยุติธรรม จะได้มีการศึกษาหรือสืบสาวให้ถ่องแท้ ก็คงจะได้รู้เหมือนที่พวกเราชาวบ้านรู้ว่า โครงการเอกชนที่นำมาซึ่งความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระดับหลายหมื่นล้านบาทนี้ เกิดขึ้นด้วยการผลักดันจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในระดับนโยบายอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูขนาดไหน

 

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของ "พ่อบงการลูกให้ใช้หลานกับลูกน้องในบ้านไปฆ่าคน" อย่างที่สรุปไว้ในสำนวนคดีที่ส่งฟ้อง

 

หลังจากที่เวลาสองปีนับแต่วันแถลงเปิดคดี ถูกใช้หมดไปกับปัญหา "ธุรการของความยุติธรรม" ในการโยกย้ายถ่ายโอนคดี การเริ่มสืบพยานโจทก์นัดแรกจึงเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน ๒๕๔๙  หลังจากที่มือปืนคือนายประจวบ หินแก้ว ตายในเรือนจำ และนายเสน่ห์ เหล็กล้วน มือปืนอีกคนหนึ่งก็ตายปริศนาไปตามกัน การสืบพยานโจทก์ทั้งหมด ๒๔ ปาก, พยานจำเลย ๒ ปาก ดำเนินเรื่อยมาอีกสองปี จนถึงนัดสืบพยานจำเลยครั้งสุดท้ายในวันนี้ ที่มีจำเลยเหลือให้สืบอยู่สามคน คือนายเจือ หินแก้ว, นายธนู หินแก้ว และนายมาโนช หินแก้ว ทั้งสามถูกระบุว่าเป็นจำเลยข้อหาใช้จ้างวาน

 

 "ฆาตกรตัวจริงคือผู้บงการ" เราเรียกร้องข้อนี้มาตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้ว  หากมองในแง่ของข้อเท็จจริงทางคดี การสืบพยานโดยอยู่บนฐานสำนวนที่แคบและตื้นเขิน จะนำไปสู่การค้นพบข้อเท็จจริงที่ลึกและกว้างกว่าเดิมไปได้หรือ  จากจุดเริ่มต้นของการสืบคดีตั้งแต่ชั้นตำรวจ เรามองไม่เห็นเลยว่าจะเปิดช่องไปสู่การขยายผลถึงผู้บงการตัวจริง ผู้สมรู้ร่วมคิดและร่วมลงมือกระทำการ ที่ยังลอยนวลอยู่ได้อย่างไร 

 

นอกจากนี้ หากมองในแง่ของสาเหตุที่แท้จริงที่นำไปสู่การฆ่ากันตายแบบนี้ กระบวนการยุติธรรมจะมองเห็นอย่างที่ตาดำๆ ของชาวบ้านอย่างเรามองเห็นหรือไม่ว่า นโยบายการพัฒนาที่โดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่ใช่อะไรนอกจากการซูเอี๋ยระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองทั้งราษฎร์และหลวง โดยอ้างตัวเลขการเติบโตต่างๆ มาบังหน้า สนับสนุนให้ทุนใหญ่ต่างๆ เข้ามาลงทุนเพื่อปั่นยอดตัวเลขทางการค้า ทำให้แผนผังการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่มากมายเข้ามาวางผังทาบทับบนพื้นที่ทำกินของพวกเราชาวบ้านนั้น คือชนวนของความขัดแย้งที่ยัดเยียดความตายมาให้

 

กว่าจะมาถึงวันนี้ คดีของเจริญถูกเปลี่ยนรูปร่าง ตกแต่งใหม่ หลักฐานทางคดีที่ควรจะใช้ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณโทรศัพท์ หรือเงื่อนงำเส้นทางปืนที่ใช้ในการสังหาร ก็ถูกเก็บเงียบหาย ไม่ต่างอะไรกับกรณีการอุ้มหายทนายสมชาย นีละไพจิตร, การฆาตกรรมพระสุพจน์ สุวโจ และอีกหลายคดีที่คร่าชีวิตชาวบ้านผู้ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิชุมชนในอีกหลายพื้นที่

ทำไมจึงเกิดความร่วมมืออย่างเป็นระบบในการหน่วงเหนี่ยว บิดเบือน กลบเกลื่อนข้อเท็จจริงขนาดนี้ได้ หากคดีทั้งหลายเหล่านี้เป็นแค่ความขัดแย้งระดับครัวเรือน และเป็นฝีมือผู้บงการระดับอันธพาลตกยากกระจอกๆ

         

วันนี้พวกเราชาวประจวบฯ จึงพร้อมใจกันมาเป็นพยานสังเกตการณ์สืบพยานนัดสุดท้ายไว้เป็นขวัญตา ก่อนกระบวนการทั้งหมดจะเข้าสู่ขั้นตอนของการพิพากษา 

 

พี่น้องจากอ.บางสะพานที่กำลังต่อสู้กับโครงการโรงถลุงเหล็กของสหวิริยาก็มาร่วมเป็นพยานกับเราในครั้งนี้ด้วย หลังจากที่สุด นายสุพจน์ ส่งเสียง แกนนำคนหนึ่งของพวกเขา ถูกคนร้ายยิงเข้าใส่บ้านพัก 7 นัด ตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2551 ที่ผ่านมา โดยที่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีการสอบปากคำใดๆ  ซ้ำยังมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ออกมากล่าวว่าไม่สามารถหาหลักฐานได้เพราะฝนตกหนัก ทั้งที่จริงแล้วในวันเกิดเหตุไม่มีฝนตกในพื้นที่เลย

 

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่บางสะพาน ยังคงเป็นผลจากความขัดแย้งที่เริ่มต้นจากการผลักดันร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน ไม่ต่างอะไรกับกรณีของเจริญ วัดอักษร  รออยู่แต่ว่าผู้บงการจะหาผู้รับงานเหมาะๆ ได้อีกทีเมื่อไหร่

 

หากถึงที่สุดแล้ว กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถตอบได้ว่าผู้บงการที่แท้จริงในคดีฆ่าเจริญคือใคร  การฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ก็ย่อมสามารถเกิดขึ้นเป็นวงจรไม่จบสิ้นเรื่อยไป เพราะฝ่ายผู้บงการเท่านั้นแหละที่จะยิ่งมั่นใจขึ้นทุกวันว่ากระบวนการยุติธรรมจะอยู่เคียงข้างกัน  ในขณะที่ฝ่ายพวกเราชาวบ้านมีแต่จะต้องตาสว่างขึ้นทุกวันว่าความยุติธรรมจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ หากกระบวนการนั้นเป็นเหมือนตาชั่งที่ถืออยู่ในมือของคนหลับใน

 

          หลังจากวันนี้ พวกเราจะรอฟังคำตอบสุดท้ายที่จะชี้ขาดว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยใช้เวลาสี่ปีเรียนรู้ในสิ่งที่ควรรู้หรือไม่...

            ใคร - บงการ - ฆ่า - เจริญ !

 

 

กลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก-กุยบุรี

กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด

กลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก

กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง

กลุ่มรักบ้านเกิดอ่าวน้อย

กลุ่มรักษ์ท้องถิ่นกุยบุรี-สามร้อยยอด

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท