Skip to main content
sharethis

ศาลอาญามีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราว นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ต้องหาที่ 13 และ นายนัสเซอร์ ยีหมะ  ผู้ต้องหาที่ 14 เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 9 ก.ย โดยศาลพิเคราะห์แล้ว แม้พฤติการณ์ตามคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวน จะเป็นการกระทำที่ร้ายแรงดังที่ได้วินิจฉัยไว้ในคำร้องขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาที่ 13 และ 14 ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาที่ 13 และ 14 ได้ความว่าขณะนี้ ผู้ต้องหาที่ 13 และ14 เป็นนักศึกษาและมีความจำเป็นต้องกลับไปศึกษาเล่าเรียนต่อโดยสัญญาว่าจะไม่หลบหนีหรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น และจะมาตามกำหนดนัดของศาลทุกนัดแล้ว เห็นว่าเพื่อให้โอกาสผู้ต้องหาที่ 13 และ14 ได้มีโอกาสกลับไปศึกษาเล่าเรียนต่อ ประกอบกับทนายผู้ต้องหาระบุในคำร้องว่าผู้ต้องหาที่ 13 และ 14 จะไม่หลบหนีเชื่อว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาจะไม่หลบหนีหรือก่อเหตุอันตรายประการอื่นจึงเห็นควรอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาที่ 13 และ 14 โดยตีราคาประกัน 200,000 บาท ทำสัญญาประกัน ยึดหลักประกัน แจ้งบริษัทประกันภัยทราบ และเห็นควรมีข้อกำหนดห้ามมิให้ผู้ต้องหาที่ 13 และ 14 ไปก่อเหตุอันตรายประการใดในลักษณะเดียวกับคดีนี้อีก มิฉะนั้นศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนสัญญาประกัน


 


 


อีก 7 น.ศ. ต้องยื่นเอกสารเพิ่ม


ภายหลัง นายนิติธร ทนายความ กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 2 คนที่ได้รับการประกันตัวเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งศาลมีคำสั่งให้ทั้งสองเข้ารายงานตัวศาลในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ ส่วนผู้ต้องหาที่เป็นกลุ่มนักศึกษาอีก 7 คนที่ยังไม่ได้รับการประกันตัวนั้น เนื่องจากยังขาดเอกสารใบรับรองสถานภาพการเป็นนักศึกษาจากสถาบันการศึกษา โดยเอกสารที่ยื่นมีเพียงใบเสร็จชำระค่าลงทะเบียน ศาลจึงมีคำสั่งให้ไปดำเนินการนำใบรับรองที่ออกจากสถาบันการศึกษามายื่นเพื่อพิจารณาคำร้องอีกครั้ง โดยตนและคณะจะดำเนินการขอใบรับรองจากสถาบันการศึกษาให้เสร็จสิ้นเพื่อมายื่นต่อศาลภายในวันพรุ่งนี้


 


 


สภาทนายออกโรงยื่นประกันทั้ง 9 คน


ก่อนหน้านี้ นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความสิทธิมนุษยชน สภาทนายความเดินทางมายังศาลอาญาเมื่อเวลา 16.30 น.  เพื่อเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวนักศึกษา 9 คนที่อยู่ในกลุ่มนักรบศรีวิชัยและการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ต้องหาคดีร่วมกันใช้กำลังบุกรุกเข้าไปยึดอาคารสำนักงานสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) โดยใช้กำลังและมีอาวุธ  ประกอบด้วย นายยุทธนา โอชาพงศ์ ผู้ต้องหาที่  11 , นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ต้องหาที่ 13  , นายนัสเซอร์ ยีหมะ  ผู้ต้องหาที่ 14 , นายสัมพันธ์ อ่อนช่วย ผู้ต้องหาที่ 17 , นายนภดล เอี่ยมอุดม ผู้ต้องหาที่ 27 , นายคฑาวุธ ชูศรี ผู้ต้องหาที่ 30 , นายสุรสิทธิ์ แย้มประชา ผู้ต้องหาที่ 36 ,  นายอัมรินทร์ ยี่เฮง ผู้ต้องหาที่ 48 และนายสุนทร สุวรรณ ผู้ต้องหาที่ 75 โดยยื่นหลักทรัพย์ เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ มูลค่าคนละ 200,000 บาท   สำหรับผู้ต้องหาอีก 73 คน ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาหลักทรัพย์มาเพื่อยื่นขอประกันตัวต่อไป


 


 


คำร้องระบุการจับกุม "ไม่เป็นธรรม"


ทั้งนี้ คำร้องขอประกันตัว สรุป ว่า ผู้ต้องหาทั้ง 82 คน ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม  ซึ่งการดำเนินการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำในยามวิกาลและไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา นอกจากนี้การจับกุมยังใช้เล่ห์เพทุบายหลอกลวง เพราะก่อนเกิดเหตุผู้ต้องหาได้มารอเพื่อใช้สิทธิในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญเพื่อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีการใช้อำนาจไม่ว่าในทางตรงหรือทางอ้อมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขัดขวางหรือแทรกแซงการนำเสนอข่าวของ NBT ซึ่งกำหนดเวลาไว้ 07.00 น. โดยได้แยกย้ายกันมาไม่ได้มีการนัดหมายรวมกลุ่มกันมาก่อนแต่ปรากฏว่าเมื่อมาถึงหน้าประตู เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยกแผงกั้นเหล็กเข้าไปในประตู ผู้ต้องหาจึงตามไปและเปิดประตูโดยไม่มีการพังเข้าไปหรือใช้กำลังแต่อย่างใด ซึ่งตำรวจก็ไม่ได้ขัดขวางโดยขอให้ผู้ต้องหาวางไม้หรือสิ่งของไว้ด้านนอกอาคารซึ่งก็ได้ปฏิบัติตามแล้ว หลังจากนั้นก็มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากมาสมทบทั้งที่ก่อนเข้ามาไม่มีตำรวจเลย


 


 


โวย ตร. ยัดข้อหาหนัก


อีกทั้งในการตั้งข้อกล่าวหาก็ไม่ได้แยกข้อเท็จจริงรายคน จึงก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมเพราะไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะผู้ต้องหาบางรายถูกจับกุมบริเวณนอกกำแพงและจากการค้นตัวก็ไม่พบอาวุธแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับตั้งข้อหาหนัก ส่วนการทำลายทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำลายกระจกเองขณะที่มีการจับกุม สำหรับการพิจารณาถึงพฤติการณ์ว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวแล้วจะหลบหนีหรือไม่นั้น ผู้ต้องหาขอชี้แจงว่า เป็นเพียงการคาดเดา เพราะขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมไม่มีผู้ใดขัดขวางแต่ให้ความร่วมมือโดยตลอดซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่บริสุทธิ์ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาและพร้อมจะสู้คดีในชั้นสอบสวน


 


อีกทั้งพนักงานสอบสวนก็ไม่เคยแสดงหลักฐานต่อศาลให้เห็นถึงพฤติการณ์พิเศษของผู้ต้องหาว่าจะหลบหนี โดยผู้ต้องหาทั้งหมดขอยืนยันว่ามีภูมิลำเนาถิ่นฐานที่อยู่แน่นอนเป็นหลักแหล่ง ไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล โดยไม่เคยมีพฤติการณ์น่าสงสัยว่าจะหลบหนีหรือเข้าไปเกี่ยวข้องพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน อีกทั้งผู้ต้องหายังมีหลักประกันที่น่าเชื่อถือและสามารถบังคับได้โดยง่าย ดังนั้นการปล่อยตัวชั่วคราวจะไม่เป็นอุปสรรคก่อให้ความเสียหายต่อการสอบสวน ซึ่งถ้าได้รับการปล่อยตัวผู้ต้องหาจะปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอย่างเคร่งครัด


 


 


แยกขังนักรบศรีวิชัย-คู่วิวาท


นายนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงกรณีกลุ่มนักรบศรีวิชัย ผู้ต้องหาบุกรุกเข้ายึดอาคารสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้ต้องหาอื่นภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ว่า  เมื่อวันที่ 6 กันยายน ได้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันระหว่างกลุ่มนักรบศรีชัย กับกลุ่มผู้ต้องหายิง พ.ต.ท.ภูษิต วิเศษคามินทร์ รอง ผกก.จร.สน.พญาไท เนื่องจากขณะเกิดเหตุ ผู้ต้องขังต้องมายืนเข้าแถวรอเคารพธงชาติ แต่กลุ่มผู้ต้องหายิงตำรวจ กลับยืนคุยกันเสียงดังไม่สนใจที่จะเคารพธงชาติ กลุ่มนักรบศรีวิชัย จึงตะโกนถามว่าไม่รักชาติหรือ ทำให้เกิดเหตุวิวาทกันขึ้น แต่เจ้าหน้าที่เรือนจำระงับเหตุได้ทันไม่มีใครได้รับบาดเจ็บมากนัก เบื้องต้นได้แยกคู่กรณีไปอยู่คนละแดนเพื่อป้องกันปัญหาทะเลาะวิวาทกันซ้ำเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาอีก


 


"เบื้องต้นที่ยังไม่สามารถแยกกลุ่มนักรบศรีวิชัยออกจากผู้ต้องขังรายอื่นได้เพราะมีสถานที่ไม่เพียงพอ แต่หากกลุ่มนักรบศรีวิชัยยังไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จะสั่งการให้กระจายกลุ่มนักรบศรีวิชัยออกไปควบคุมแดนต่างๆ เพื่อลดปัญหาการรวมกลุ่มกันก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้ต้องหารายอื่นอีก" นายนัทธี กล่าว


 


 


ปชป.ปัด 8 นักรบศรีวิชัยโดนคดีไม่เกี่ยวพรรค


นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์รับผิดชอบกรณีที่มี 8 สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกลุ่มนักรบศรีวิชัยในการบุกเข้าสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ว่า พรรคมีสมาชิกกว่า 4 ล้านคน จึงมีโอกาสมากที่จะมีการกระทำผิดกฎหมาย เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ต้องต่อสู้ไปตามกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น ตนขอตั้งข้อสังเกตว่าการที่นายจตุพรออกมาเปิดประเด็นดังกล่าว เชื่อว่าน่าจะได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะไม่เช่นนั้นนายจตุพรจะไปเอาข้อมูลซึ่งเป็นเลขบัตรประชาชน 13 หลักของทั้ง 8 คนมาจากไหน


 


ที่มา: มติชนออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net