ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 9 กันยายน 2551





การเมือง

 

กทม. ระดมเจ้าหน้าที่เคาะประตูบ้านชวนคนกรุงใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าฯ

เว็บไซต์แนวหน้า - นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นาย อนันต์ ศิริภัสราภรณ์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร แถลงข่าว เปิดตัวสื่อประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งผู้ว่าราขการกรุงเทพมหานคร พร้อมปล่อยขบวนรถรณรงค์ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งฯของ 50 สำนักงานเขต ซึ่งได้จัดเตรียมสื่อประชาสัมพันธ์ ทั้งแผ่นพับ ใบปลิว ป้ายแบนเนอร์ เพื่อนำไปติดตั้งในพื้นที่ และเคาะประตูบ้านให้ความรู้การเลือกตั้ง เป็นการสร้างความตื่นตัว และเชิญชวนประชาชนกรุงเทพฯ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 4.2 ล้านคน ตรวจสอบรายชื่อ และไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2551 เวลา 08.00-15.00 น.

 

นายพงศ์ศักติฐ์ กล่าวว่า ศูนย์ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้วางกลยุทธ์ด้านการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกรูปแบบ  เพื่อให้การรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งเป็นไปอย่างกว้างขวาง ภายใต้ระยะเวลาที่จำกัด โดยทุ่มงบประมาณกว่า 20 ล้านบาท ในการเผยแพร่ความรู้ ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ สิ่งพิมพ์ต่างๆ รวมถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่จะสามารถเข้าถึงชีวิตประจำวันของประชาชนทุกกลุ่มอาชีพให้มากที่สุด โดยขณะนี้ได้เร่งติดป้ายประชาสัมพันธ์รณรงค์เชิญชวนคนกรุงเทพฯ ไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ภายใต้แนวคิด "มหานครชั้นนำ ต้องการผู้บริหารชั้นยอด" 5  ตุลาคม   วันเลือกตั้งครั้งสำคัญของคนเมืองหลวงบนถนนทุกสาย และทุกมุมเมืองทั่วกรุงเทพฯ  ทั้งบริเวณอาคารของศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร อาคารสำนักงานเขต ป้ายรถประจำทาง ป้ายไตรวิชั่น ป้ายแบนเนอร์ ป้ายขนาดใหญ่บนทางด่วน ป้ายอัจฉริยะ เสาตอม่อรถไฟฟ้า สะพานลอยคนข้าม และบนสถานีรถไฟฟ้าทุกแห่ง พร้อมกันนี้กรุงเทพมหานคร ยังได้รับความร่วมมือจากธนาคารกรุงไทย ในการขึ้นข้อความเชิญชวนเลือกตั้งในจอภาพตู้ ATM ตลอดเดือนกันยายนไปจนถึงวันเลือกตั้ง

 

ทั้งนี้ ขอให้คนกรุงเทพฯ ที่มีสิทธิเลือกตั้ง ตรวจสอบคุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามที่กฎหมายกำหนด อาทิ อายุ 18 ปีบริบูรณ์หรือเกิดก่อนวันที่ 3 มกราคม 2533 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านท้องที่กรุงเทพมหานครติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปีหรือก่อนวันที่ 6 ตุลาคม 2550 เป็นต้น และร่วมกันไปใช้สิทธิเพื่อเลือกผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 5 ตุลาคม 2551 โดยพร้อมเพรียงกัน  สำหรับการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีผู้ไปใช้สิทธิคิดเป็น 62.5% แต่ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ กทม.ตั้งเป้าผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเกิน 70% โดยจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้เยาวชนอายุ 18 ปี ไปใช้สิทธิเลือกตั้งให้มากที่สุด ด้วยเป็นพลังเสียงที่มีความสำคัญ  โดยจะมีการจัดกิจกรรมนัด "รวมพลคนอายุ 18" ร่วมทำกิจกรรมภายใต้แนวคิด "สิทธิที่จะเลือกโหวต โหวตให้สมสิทธิ" ในช่วงปลายเดือน กันยายนนี้ โดยเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ขั้นพื้นฐานของประชาชน ขั้นตอนการลงคะแนนที่ถูกต้อง การตอบปัญหาความรู้เรื่องเลือกตั้ง เพื่อให้เยาวชนอายุ 18 ปีได้เข้าใจสิทธิหน้าที่ และร่วมกันแสดงพลังของเยาวชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในการมีส่วนร่วมกำหนดบทบาทและผลักดันอนาคตของกรุงเทพฯ ไปพร้อมกันด้วย

 

แกนนำพธม.ผงะ เจอภาพการ์ด พกมีดหรา !

มติชนออนไลน์ - นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ กล่าววานนี้ (8 ก.ย.) ถึงกรณีที่มีภาพของการ์ดพันธมิตรฯ บางคนนำมีดมาใช้ด้วย ซึ่งขัดแย้งกับหลักการอหิงสาที่ประกาศว่ายึดถืออยู่ตลอดเวลา ว่า ในการ์ดพันธมิตรฯ ไม่มีคนเช่นนั้นอยู่

 

ผู้สื่อข่าวจึงได้นำหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่มีรูปการ์ดของ พธม.คนหนึ่งถือมีดในมือมาให้ดู ทำให้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กับนายสมศักดิ์ถึงกับผงะ พร้อมอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้น พล.ต.จำลองกล่าวว่า เรื่องนี้เราจะเข้าไปตรวจสอบ ที่ผ่านมาแกนนำพร้อมไม่ให้การ์ดพกอาวุธ เช่น มีด ปืน และระเบิด แต่ถ้าเป็นท่อนไม้ ไม้เบสบอล และไม้กอล์ฟ พธม.ไม่ห้าม สามารถถือได้ หากยังไม่นำไปทำร้ายใคร เพราะยังถือว่าไม่เป็นอาวุธ

 

ขณะที่นายสมศักดิ์กล่าวว่า ต้องขอไปตรวจสอบดูก่อนว่าเป็นพวกแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ปลอมตัวมาหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเราก็จับคนแอบแฝงเข้ามาได้หลายคน ต้องขอยกย่องหนังสือพิมพ์ที่สามารถถ่ายภาพคนๆ เดียวจากการ์ดจำนวนหลายร้อยได้ ทั้งนี้ จะขอภาพจากหนังสือพิมพ์ไปตรวจสอบ หากพบเป็นการ์ดอาสาจะปลดออกทันที เพราะทำให้ภาพลักษณ์ พธม.เสียหาย

 

พธม.กลับลำ เปลี่ยนใจไม่ใช่ "ตึกสันติฯ" จัดเสวนา

มติชนออนไลน์ - เมื่อเวลา 10.30 น. วานนี้ (8 ก.ย.) นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เปิดเผยว่า พธม.จะจัดการเสวนาทางวิชาการในวันนี้ โดยมีนายพิภพ ธงไชย และนายสุริยะใส กตะศิลา เป็นผู้ดูแล ซึ่งจะใช้ห้องภายในตึกสันติไมตรีเป็นสถานที่จัดการเสวนา

 

ผู้สื่อข่าวจึงซักว่า ก่อนหน้านี้ พธม.เคยประกาศว่าจะไม่เข้าไปใช้ในสถานที่ราชการ เหตุใดจึงกลับคำ นายสมศักดิ์ ตอบเสียงดังว่า "สถานที่ราชการก็นำมาจากเงินภาษีของประชาชน ข้าราชการใช้ได้ ทำไมประชาชนจะใช้บ้างไม่ได้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังนำกุญแจมาให้แล้ว ผมไม่เห็นว่าทำไม พธม.จะใช้จัดเสวนาทางวิชาการไม่ได้"

 

อย่างไรก็ตาม ในเวลา 13.20 น. แกนนำได้ให้เจ้าหน้าที่มาแจ้งยกเลิกการสัมมนา ขณะที่พิธีกรบนเวทีได้ประกาศว่า แนวคิดดังกล่าวไม่ใช่จะทำในวันนี้ แต่เป็นเรื่องของอนาคต หลังจากที่สามารถขับไล่รัฐบาลนี้ออกไปได้แล้ว จะใช้ตึกสันติไมตรีเป็นที่ให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องการเมืองใหม่

 

 





เศรษฐกิจ

 

สหพันธ์ขนส่งขู่ฟ้อง "ท่าเรือ" เรียก 300 ล้าน

เว็บไซต์ไทยโพสต์ - นายทองอยู่ คงขันธ์ เลขาธิการ สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2551 สหพันธ์ฯ ได้ประชุมตัวแทนสมาคมขนส่งสินค้าทั่วประเทศ โดยที่ประชุมมีมติที่จะดำเนินการฟ้องร้องสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)  กรณีที่พนักงาน  กทท.ที่เป็นสมาชิกสหภาพฯ ได้หยุดงานรวม 3  วัน  ทำให้ได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่าประมาณ  300  ล้านบาท ซึ่งเป็นความเสียหายที่เกิดจากค่าน้ำมันเชื้อเพลิงจากค่าขนส่งที่เรียกเก็บจากผู้นำเข้าและส่งออกสินค้าไม่ได้ และค่าใช้จ่ายเพิ่มในส่วนของเบี้ยเลี้ยงต่างๆ  โดยได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของสหพันธ์ฯ  รวบรวมเอกสารทั้งหมด  เพื่อยื่นฟ้องในสัปดาห์หน้า

 

นอกจากนี้ สมาคมขนส่งทางบกภาคเหนือจะดำเนินการฟ้องร้อง  สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ  การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)  กรณีที่หยุดงาน  ทำให้ไม่มีขบวนรถไฟไปรับน้ำมันที่จังหวัดกำแพงเพชร  ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมมูลค่าความเสียหาย

 

"ยืนยันว่า จะดำเนินการฟ้องร้องตามที่สหพันธ์การขนส่งทางบกมีมติไว้แน่นอน เพื่อเป็นตัวอย่าง เพราะการหยุดงานดังกล่าวได้ส่งผลกระทบและทำความเดือดร้อนอย่างมาก" นายทองอยู่กล่าว

 

นายยุทธนา  ทัพเจริญ  ผู้ว่าการ  ร.ฟ.ท.กล่าวว่า  ขณะนี้ยังมีสมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ  ร.ฟ.ท.ลาหยุดงานต่อเนื่อง และยังมีรถโดยสารหยุดให้บริการรวม 38 ขบวน  จาก  64  ขบวน  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถไฟที่ให้บริการเส้นทางสายใต้ อย่างไรก็ตาม  รถไฟเส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ  ตะวันออก  และภาคเหนือ  ให้บริการเป็นปกติแล้วทั้งหมด

 

ส่วนรถไฟบริการขนส่งสินค้าหยุดให้บริการ 6 ขบวน จาก 30 ขบวน แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบการขนส่งสินค้าของเอกชนเท่าไร และยืนยันว่าจะไม่มีปัญหาการฟ้องร้องของเอกชน เพราะ ร.ฟ.ท.ได้ชี้แจงและเพิ่มขบวนรถไฟให้กับทางเอกชนไปก่อนหน้านี้แล้ว

 

โรงแรมหรูถูกยกเลิก 5 พันรูมไนต์

เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจ - แหล่งข่าวระดับสูงจากผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมระดับ 5 ดาว เปิดเผยว่า ขณะนี้โรงแรมต่างๆ ถูกยกเลิกห้องพักในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้อย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มโรงแรม ย่านราชประสงค์และสุขุมวิท กว่า 5 แห่ง (ไม่รวมโรงแรมระดับ 5 ดาวริมแม่น้ำเจ้าพระยา) อาทิ แกรนด์ไฮแอท เอราวัณ, โฟร์ซีซัน กรุงเทพฯ, เชอราตัน สุขุมวิท, เจดับบลิว แมริออท พบว่ามียอดการจองห้องพักถูกยกเลิกไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5,000 รูมไนต์

 

ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าคอร์ปอเรตมีตติ้ง ยกเลิกโปรแกรมจัดสัมมนาและอินเซนทีฟในตลาดเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่นก็ขอยกเลิกไปเช่นกัน  ทำให้โรงแรมได้รับความเสียหาย ขณะเดียวกันเอเยนต์ก็ได้รับผลกระทบด้วย เพราะได้นำเงินมาวางเป็นค่ามัดจำห้องพักไว้กับโรงแรมไว้แล้ว แต่นักท่องเที่ยวแจ้งขอยกเลิกห้องพัก

 

"การยกเลิกห้องพักที่เกิดขึ้น จะนำไปสู่การยึดเงินมัดจำเหมือนในช่วงสึนามิหรือไม่ ก็คงต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโรงแรม บางโรงแรมก็มีนโยบายว่าเงินที่เอเยนต์มัดจำขอโควตาห้องพักจะไม่สามารถขอคืนได้ บางโรงแรมจะให้คืนได้หากเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติเช่นการจราจล หรือภัยพิบัติ ขณะที่บางโรงแรมยืดเวลาให้ แต่ไม่คืนเงินมัดจำ หากลูกค้าเข้ามาพักภายในอีก 6-8 เดือน และหากเอเยนต์ยังไม่มีลูกค้า โรงแรมก็จะพิจารณาเป็นรายกรณีไป ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ในการส่งลูกค้า หากเอเยนต์รายกลางและเล็กส่งลูกค้ามาน้อยก็อาจจะถูกยึดเงินมัดจำ แต่หากเป็นเอเยนต์ใหญ่ก็อาจจะขยายเวลาให้ออกไปอีก"

 

นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่าการยกเลิกห้องพักในช่วงนี้ ทำให้สทท.เตรียมที่จะทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังโรงแรมต่างๆ เพื่อให้พิจารณาผ่อนปรนและขยายระยะเวลายึดเงินมัดจำกับเอเยนต์ โดยเฉพาะเอเยนต์ในระดับเอสเอ็มอี เนื่องจากภาคส่วนการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบทั้งนั้น นอกจากนี้ในวันที่ 8 กันยายนนี้ สทท.จะประชุมร่วมกับทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อหามาตรการในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ด้วย

 

ด้านนายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า  โดยปกติการวางมัดจำหรือจ่ายเงินล่วงหน้าในช่วงไฮซีซัน ส่วนใหญ่จะทำกันเฉพาะบริษัทที่เปิดใหม่และบริษัทขนาดเล็กเท่านั้น หรือตลาดอินเดีย รัสเซีย ขณะที่บริษัทเอเยนต์รายใหญ่ๆ จะไม่วางมัดจำ โดยจะให้เครดิตกันมากกว่า และการยกเลิกห้องพักนั้นเชื่อว่าโรงแรมคงจะไม่ยึดมัดจำเหมือนในช่วงสึนามิ หากนักท่องเที่ยวยกเลิกการเดินทาง จะเป็นปัญหาภายในประเทศของเราเอง โดยจะใช้วิธีไม่คืนมัดจำแต่เก็บเอาไว้สำหรับกรุ๊ปต่อไป

 

ลงนามเชื่อมเส้นทางไทย-ลาวกระตุ้นท่องเที่ยว

ประชาทรรศน์ - นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ด้านการขนส่งทางถนนไทย-ลาว กับ ท่านเรืองสะหวัด สีพันดอน หัวหน้ากรมขนส่ง สปป.ลาว หลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 ฝ่ายได้ประชุมร่วมกัน อาทิ กรมศุลกากร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อกำหนดแนวทางในความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศได้รับความสะดวกในด้านการเดินทาง

 

โดยจะมีการเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ เช่น การเดินรถระหว่าง หลวงพะบาง-เชียงใหม่-เชียงราย ซึ่งจะมีการสนับสนุนให้เอกชนทั้ง 2 ฝ่ายดำเนินการ ทั้งนี้ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ของไทย จะเปิดเดินรถ ซึ่งจะเสนอขอความเห็นชอบจากกระทรวงคมนาคม เชื่อว่าจะสามารถเริ่มเดินรถได้ในเร็วๆ นี้ โดยนอกจากจะเป็นการเชื่อมการเดินทางระหว่างไทย-ลาวแล้ว จะสามารถเดินรถเชื่อมต่อเข้ามาถึง จ.นครราชสีมา และพัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของไทยที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวลาวอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฝ่ายจะทำการศึกษาเส้นทางการขนส่งเพิ่มขึ้น เพื่อนำไปสู่การท่องเที่ยว โดยเส้นทางที่คาดว่ามีศักยภาพในอนาคตได้แก่ เส้นทางกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี-ปากเซ, เชียงใหม่-เชียงราย-ห้วยทราย-บ่อแก้ว-หลวงน้ำทา-อุดมไชย-หลวงพะบาง/พงสาลี และ เชียงราย-เชียงของ-ห้วยทราย-บ่อเต็น เป็นต้น

 

สำหรับประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับภาคการขนส่ง หลังจากที่ไทยและลาวเปิดเสรีมากขึ้น จากการลงนามเอ็มโอยู เชื่อว่าประมาณการขนส่งไทย-ลาวจะขยายตัวเร็วมาก โดยปัจจุบันมีบริษัทด้านการขนส่ง 452 บริษัท ที่เข้ามาดำเนินการขนส่งข้ามแดน มีปริมาณรถขนส่งมากกว่า 10,711 คันต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ที่เดินรถขนส่งสินค้าวันละไม่กี่ร้อยคันเท่านั้น ส่วนความสะดวกด้านการนำรถข้ามแดนสำหรับนักท่องเที่ยวนั้นถือว่าได้รับความสะดวก เนื่องจากประชาชนของทั้ง 2 ประเทศสามารถขออนุญาตนำรถข้ามแดนได้ในฝั่งประเทศของตน

 

ผลักดันเชียงใหม่เป็นศูนย์ประชุม-ท่องเที่ยว

ประชาทรรศน์ - นายทรงวิทย์ อิทธิพัฒนากุล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงใหม่ และกรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการภาคเหนือตอนบน เปิดเผยว่า ขณะนี้สมาคมและองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงาน ททท.ภาคเหนือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ได้ร่วมบูรณาการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่ เช่น การผลักดันให้เชียงใหม่เป็นเมืองแห่งการจัดการประชุมและเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล หรือ MICE In Green City. Chiang Mai เพื่อรองรับศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ ที่จะเปิดในปี 2554 การจัดงาน Chiang Mai & North Tourism Forum หรือ CTF 2008

 

จากการที่ได้รับเลือกเป็นกรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นสมัยที่ 2 ได้วางนโยบายที่จะผลักดันให้มีการจัดตั้งสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ ที่มีความพร้อมในการรองรับการจัดตั้งสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

 

 





สิ่งแวดล้อม-คุณภาพชีวิต

 

เตือนภาคเหนือ  น้ำป่าพม่าทะลัก  เสี่ยงท่วมรอบ 2

เว็บไซต์กรุงเทพ - นายบุญธรรม ศิริชัย ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาอุทกวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่โดยเฉพาะ ในเขต อ.แม่สาย จ.เชียงราย อ.ท่าวังผา จ.น่าน ซึ่งเกิดจากฝนที่ตกหนักในเขตประเทศพม่า ประกอบกับประเทศไทยมีร่องความกดอากาศพาดผ่านทางภาคเหนือ ทำให้มีฝนตกหนักและมีปริมาณน้ำจากเทือกเขาไหลเข้าท่วมบ้านเรือน และย่านพื้นที่เศรษฐกิจของไทยได้รับความเสียหายอย่างหนัก

 

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้น้ำป่ากำลังไหลลงสู่แม่น้ำแม่สาย ซึ่งเป็นแม่น้ำชายแดนไทย-พม่า ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง รวมทั้งแม่น้ำกก มีปริมาณสูงขึ้นในระยะ 1-2 วันต่อจากนี้ รวมทั้งจะส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงสูงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยขึ้นสูงจนสุดเมื่อช่วงวันที่ 11-12 ส.ค.ที่ผ่านมา และเข้าท่วมพื้นที่ จ.เชียงราย หนองคาย นครพนม มุกดาหารมาแล้วรอบหนึ่ง

 

นายบุญธรรม กล่าวต่อว่า ตามปกติระดับน้ำโขงจะขึ้นสูงสุดจนล้นตลิ่งปีละ 2 รอบ ซึ่งได้ล้นตลิ่งไปแล้วเมื่อเดือน ส.ค. และคาดว่าอีกรอบหนึ่งซึ่งมักจะเกิดในช่วงเดือน ก.ย.นี้ เนื่องจากขณะนี้ยังมีฝนตกในประเทศพม่า บวกกับภาคเหนือของไทยเองก็มีฝนตกหนัก ดังนั้นจึงขอเตือนว่าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมแถวเชียงราย และพื้นที่ริมน้ำโขง รวมทั้ง จ.เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเชียงรายบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำเหนือจากพม่า ควรต้องเฝ้าระวังสถานการณ์และฟังการประกาศเตือนของทางราชการอย่างใกล้ชิดด้วย

 

"กรณีน้ำป่าไหลหลากในคืนวันที่ 5 ก.ย.ในเขตท้องที่บ้านสันติสุข ต.แสนทอง อ.ท่าวังผา จ.น่าน ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำ ได้ติดตั้งสถานีเตือนภัยน้ำหลากและดินถล่ม และได้มีการส่งสัญญาณไฟเตือนภัยสีเหลือง เพื่อให้ประชาชนพร้อมหนีได้ล่วงหน้า 1 ชั่วโมงครึ่ง และในช่วงเช้ามืดเวลา 01.30 น.วันที่ 6 ก.ย. สถานีได้ส่งเสียงเตือนภัยพร้อมสัญญาณภัยสีแดงให้ประชาชนอพยพหนีภัยน้ำหลากดินถล่มทันที ทำให้ไม่มีประชาชนเสียชีวิตและทรัพย์สิน

 

ส่วนที่บ้านห้วยธนู หมู่ 9 ต.ตาลชุม บ้านน้ำป๊าก หมู่ 7 ต.ตาลชุม และบ้านห้วยม่วงหมู่ 8 ต.ศรีภูมิ ที่ฝนตกหนักต่อเนื่องจากแม่น้ำสายได้หลากลงมาท่วมพื้นที่บ้านทรัพย์สิน และมีคนเสียชีวิต 3 ราย ขณะนี้กรมทรัพยากรน้ำ ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือทันที โดยการส่งน้ำดื่มสะอาดจำนวน 12,500 ลิตร และส่งชุดประปาเคลื่อนที่เข้าไปผลิตน้ำดื่มสะอาดที่บ้านห้วยธนู 1 ชุด และเริ่มเข้าพื้นที่ อ.ท่าวังผา เพื่อเป่าล้างบ่อน้ำตื้น ที่ได้รับความเสียหายจำนวน 80 บ่อ" นายบุญธรรม กล่าว

 

วันเดียวกัน นายสมคิด แหวนคำ นายก อบต.บ่อ ได้รับแจ้งจากนายทอง เงินมั่น อายุ 54 ปี ขณะออกไปหาปลาได้พบศพผู้หญิงลอยไปติดกอไม้กลางแม่น้ำน่าน บ้านห้วยยื่น อ.เมือง จ.น่าน จึงแจ้ง ร.ต.อ.ทนงศักดิ์ พิชญ์วิชาธรรม ร้อยเวร สภ.เมืองน่าน ให้รับทราบ ทั้งนี้ เมื่อนำศพขึ้นฝั่งได้มีนายวงศ์ หนองแก้ว อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 21 หมู่ 9 บ้านห้วยธนู ต.ตาลชุม อ.ท่าวังผา จ.น่าน ระบุว่าศพดังกล่าวคือ นางอ่อน มารดาของตน

 

นายวงศ์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุตนกับแม่อยู่บ้านคนละหลัง หลังเกิดเหตุจึงทราบว่า แม่หายไปและบ้านของแม่ก็พังถูกท่อนไม้ เศษไม้ทับจมดิน และยังเข้าใจว่า แม่คงจะถูกบ้านทับ เมื่อทาง อบจ.น่าน นำรถแบ็คโฮมาขุดคุ้ยก็ไม่พบ จนวันนี้ได้รับแจ้งจากตำรวจว่า พบศพแม่ลอยไปติดกอไม้กลางน้ำน่าน บ้านห้วยยื่นห่างจากที่บ้านไปกว่า 30 กม.

 

 





ต่างประเทศ

 

โสมขาวปัดข่าวผู้นำโสมแดงป่วยหนัก

เว็บไซต์คมชัดลึก - หน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้แถลงเมื่อวันอาทิตย์ (7 ก.ย.) ปฏิเสธรายงานของหนังสือพิมพ์เอเชีย อีโคโนมิคที่รายงานว่า นายคิม จอง อิล ผู้นำเกาหลีเหนือกำลังมีปัญหาด้านสุขภาพเพราะไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะมานานกว่า 3 สัปดาห์แล้ว ประกอบกับมีคณะแพทย์จีน 5 คนเดินทางไปเกาหลีเหนือนานกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว เป็นไปได้ว่าอาจไปเพื่อรักษาอาการป่วยของนายคิม ซึ่งมีอายุ 66 ปีแล้ว และเคยมีข่าวว่าเป็นโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ แต่อาการไม่ถึงขั้นรุนแรง

 

จับตา "โอเปค" ประชุมลดการผลิต 9 ก.ย.

เว็บไซต์มติชน - เมื่อวันที่ 7 กันยายน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานบทวิเคราะห์ว่า สิ่งที่กลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (โอเปค) จะพิจารณาในการประชุมที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในวันที่ 9 กันยายนนี้นั้น ไม่ใช่การลดกำลังการผลิตหรือไม่ แต่เป็นเรื่องจะลดกำลังการผลิตเมื่อไหร่ โดยนักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่าโอเปคจะลดกำลังการผลิตอย่างไม่เป็นทางการในการประชุมครั้งนี้ หรือไม่ก็ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนธันวาคม

 

รายงานข่าวระบุว่า แม้ราคาน้ำมันลดลงเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ชาติสมาชิกโอเปคต้องการรักษาไว้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงว่า ราคาน้ำมันที่สูงเกินไปจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปบางส่วนที่ชะลอตัว

 

ปัจจุบันนี้โอเปคมีกำลังการผลิตจริงมากกว่าตัวเลขทางการอยู่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าโอเปคจะไม่ใช้วิธีการประกาศลดกำลังการผลิต แต่จะใช้วิธีตัดกำลังการผลิตส่วนที่เกินมาจากจำนวนกำลังการผลิตทางการ 27.25 ล้านบาร์เรลต่อวันแทน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท