4 กลุ่มอุดมการณ์ที่กำลังเกี่ยวพันสังสรรค์ในสังคมไทย

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

Siam Intelligence Unit

 

ความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองไทยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างความปวดร้าวให้คนไทยจำนวนมาก เพราะเชื่อกันว่า เป็นความตกต่ำล้าหลัง แต่หากวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งจะมองเห็นความก้าวหน้าสร้างสรรค์บางประการ ที่ทำให้สงครามครั้งนี้มีคุณภาพแตกต่างจากวิกฤตทางการเมืองในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

 

สำหรับกลุ่มที่ทำสงครามชิงแผ่นดินอยู่ในขณะนี้ แบ่งได้เป็น  4 กลุ่มอุดมการณ์

1. อุดมการณ์จารีต พัฒนาเติบโตควบคู่กับสังคมไทยมายาวนาน โดยมีการปฏิรูปตนเองหลายต่อหลายครั้ง ในอดีตอาจต่อต้านระบบทุนนิยม แต่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้เริ่มยอมรับและปรับตัวเข้าสู่ระบบใหม่ เพื่อความอยู่รอดของอุดมการณ์ แต่ยังคงยึดถือวิถีทาง "ช้าช้าได้พร้าเล่มงาม" การเปลี่ยนแปลงควรกระทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป

2. อุดมการณ์โลกาภิวัตน์ วิเคราะห์ให้ถึงที่สุด กลุ่มนี้เริ่มต้นสร้างตัวมาจากกลุ่มที่ 1 แต่หลังจากเจริญเติบโตสร้างความมั่งคั่งในระบบทุนนิยมได้ระดับหนึ่ง จึงเริ่มขยายตัวสู่ระดับประเทศและระดับโลก แม้จะมองเห็นภัยลบจากโลกาภิวัตน์เช่นเดียวกับกลุ่มที่ 1 แต่คนกลุ่มนึ้เชื่อมั่นในตนเองมากเกินกว่าจะยอมก้าวเดินอย่างช้าช้าเพื่อไตร่ตรองผลดีผลเสีย โดยกลับมองว่า หากรีรอใคร่ครวญมากเกินไปจะทำให้พลาดโอกาสที่ดี และนำไปสู่ความพ่ายแพ้จากภัยคุกคามของการแข่งขันที่ดุเดือดเฉือนคมบนเวทีโลกที่ไม่เคยปราณีผู้ใด

3. อุดมการณ์ธรรมาภิบาล คือ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เห็นด้วยกับ 2 กลุ่มแรก บางส่วนเติบโตมาจาก 2 กลุ่มแรก โดยมองว่า การเข้าร่วมกับกระแสโลกาภิวัตน์ในด้านหนึ่งเป็นการปรับตัวให้อยู่รอด แต่หากรากฐานภายในไม่แข็งแกร่ง ย่อมได้รับภัยจากโลกาภิวัตน์มากกว่าประโยชน์โดยเฉพาะวิกฤตปี 2540 ที่พึ่งผ่านไป กลุ่มนี้จึงเน้นการเข้าร่วมกับโลกาภิวัตน์พร้อมกับการสร้างระบบที่เข้มแข็งรองรับ ทั้งในด้านธรรมาภิบาลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ และการยกระดับโมเดลธุรกิจให้ไปพ้นยุทธศาสตร์ค่าแรงราคาถูก โดยเน้นที่การสร้าง "มูลค่าเพิ่ม" ให้สินค้าและผลิตภัณฑ์

4. อุดมการณ์ประชาสังคม กลุ่มนี้มีความหลากหลายที่สุด แต่พอสรุปได้ว่า คือ กระแสตรวจสอบถ่วงดุลสังคมให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างมีคุณภาพ มองผิวเผิน กลุ่มนี้คล้ายกับกลุ่ม 1 ที่กำลังวิพากษ์กลุ่ม 2 อย่างรุนแรงในขณะนี้ แต่สิ่งที่ต่างออกไป คือ แม้จะไม่เห็นด้วยกับการผูกติดตนเองกับกระแสโลภากิวัตน์ แต่ด้วยการเปิดกว้างรับความรู้จากทั่วโลก คนส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้จึงมองเห็นว่าการต้านทานกระแสโลกาภิวัตน์อย่างที่กลุ่ม 1 ต้องการนั้นเป็นไปได้ยาก กลุ่มนี้จึงค่อนข้างโน้มเอียงมายังแนวทางของกลุ่มที่ 3 คือ ปรับปรุงระบบโครงสร้างภายในให้มีคุณภาพเข้มข้นเพียงพอต่อการก้าวไปกับโลกาภิวัตน์ แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มนี้เน้นการสร้างสังคมพลเมืองให้เป็นกลไกตรวจสอบถ่วงดุลผู้มีอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้การพัฒนาประเทศมีความหลากหลายแข็งแกร่ง ไม่เน้นแต่เพียงด้านเศรษฐกิจการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่ได้ลงลึกถึงรากฐานทางวัฒนธรรม รวมทั้งเสรีภาพของประชาชนในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารและการดำรงชีวิต และอาจกินความไปถึงการแสวงหาทางจิตวิญญาณล้ำลึกของมนุษยชาติ

จุดขัดแย้งหลักของสงครามครั้งนี้อยู่ที่กลุ่มอุดมการณ์เก่า เพราะเป็น 2 พลังหลักที่สั่งสมกำลังบารมีมาอย่างยาวนาน แต่การละเลยขุมกำลังคนรุ่นใหม่อย่างกลุ่มที่  3 และ 4 ซึ่งกำลังเติบโตขยายตัวอย่างรวดเร็ว อาจทำให้การวิเคราะห์ผลลัพธ์มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ ที่สำคัญ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในสงครามครั้งนี้ จะพลิกโฉมสถานการณ์ให้เกิดผลดีต่อชาติบ้านเมืองมากกว่าผลเสียหายทรุดโทรมอย่างที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะเกิดขึ้น

กระแสตอบรับกลุ่มอุดมการณ์โลกาภิวัตน์ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายของสังคมไทย โดยเฉพาะกระบวนการสะสมทุนเพื่อยกระดับคุณภาพการผลิต ทักษะบริหารจัดการรูปแบบใหม่ รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมที่กำลังผนวกตนเองเข้าสู่วัฒนธรรมโลก แต่ขณะเดียวกัน เมื่อกลุ่มผู้นำอุดมการณ์โลกาภิวัตน์ไม่สามารถแก้ไขและพัฒนาประเทศจนเป็นที่พอใจตามความคาดหวังสูงยิ่งของประชาชน จึงทำให้พลังการวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มอุดมการณ์จารีต เริ่มมีคนเห็นพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุดมการณ์ธรรมาภิบาลและกลุ่มอุดมการณ์ประชาสังคม ได้ร่วมสนับสนุนกลุ่มอุดมการณ์จารีต ในที่สุด กลุ่มอุดมการณ์โลกาภิวัตน์จึงไม่สามารถต้านรับกับพลังต่อต้านที่ถาโถมโหมกระหน่ำเข้ามาได้

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการบริหารประเทศของกลุ่มจารีตในปี 2549 กลุ่มธรรมาภิบาลและประชาสังคมซึ่งเคยไม่เห็นด้วยกับกลุ่มโลกาภิวัตน์ ได้เริ่มตระหนักว่ามีช่องว่างความแตกต่างระหว่างตนเองกับกลุ่มจารีต ทั้งสองกลุ่มจึงเริ่มทะยอยปลีกตัวจากการสนับสนุนกลุ่มจารีตในสงครามต่อต้านกลุ่มโลกาภิวัตน์ กลับมาเป็นการเฝ้าดูสถานการณ์สู้รบอย่างเป็นกลางวางเฉย และแสวงหาจังหวะโอกาสที่จะพัฒนาตนเองให้เติบโตเข้มแข็งต่อไป

ขณะเดียวกัน กลุ่มจารีตซึ่งดูเหมือนจะเสื่อมความนิยมลงหลังจากปีกหนึ่งของตนเองได้เข้าบริหารประเทศและสร้างความผิดหวังให้กับประชาชนชาวไทย แต่กลับได้รับการตอบรับจากสื่อมวลชนและประชาชนอย่างเหนียวแน่นในการประกาศสงครามเดินหน้าต่อต้านกลุ่มโลกาภิวัตน์อย่างไม่ลดละ ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากพลังมวลชนที่ได้สร้างสมไว้ในช่วงหลายปีที่ทำการรณรงค์ ผนวกกับความสามารถด้านการใช้สื่อใหม่ทั้งโทรทัศน์วิทยุและอินเตอร์เนตในการเชื้อเชิญชักจูงผู้ไม่เห็นด้วยมาเข้าร่วมขบวนการ ขณะที่กลุ่มโลกาภิวัตน์ยังมีบาดแผลที่ต้องรักษาจากการโจมตีของกลุ่มจารีตอย่างหนักหน่วงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จึงทำให้ไม่อาจบริหารประเทศสร้างกระแสความนิยมยอมรับจากประชาชนกลับมารุ่งโรจน์เหมือนเมื่อ 8 ปีก่อนหน้านี้ได้

แต่การถอนตัวของกลุ่มธรรมาภิบาลและประชาสังคมจากการสนับสนุนสงครามของกลุ่มจารีตได้ทำให้พลังการโจมตีต้องอ่อนแอลง ขณะเดียวกันกลุ่มโลกาภิวัตน์กลับไม่เคยนิ่งนอนใจที่จะปรับตัวตามสภาพการณ์ทั้งถอยและรุก เพื่อตอบโต้การบุกกระหน่ำของกลุ่มจารีต ทั้งหมดจึงส่งผลให้สงครามครั้งนี้ยืดเยื้อต่อไป

ในสภาพที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีกำลังรบสูสีกัน ทั้งจุดอ่อนจุดแข็ง บาดแผลที่สมน้ำสมเนื้อ บทบาทของกลุ่มพลังรุ่นใหม่จึงอาจกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดให้กับสงครามครั้งนี้ได้

จนถึงตอนนี้ การตรวจสอบเปิดโปงของกลุ่มจารีตได้เริ่มถูกจับตามองว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง ที่สำคัญข้อเสนอบางประการยังไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยที่ได้ผนวกตนเองเข้ากับกระแสโลกจนยากจะกลับไปสงบเงียบเหมือนในคืนวันเก่าก่อนได้อีกต่อไป ข้อเรียกร้องจึงไม่ได้รับการขานรับจากกลุ่มคนที่เป็นกลาง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ แต่หากกลุ่มจารีตยินยอมปรับปรุงในบางประเด็นให้สอดคล้องกับแนวทางของกลุ่มประชาสังคม ย่อมสามารถดึงดูดความช่วยเหลือจากกลุ่มนี้ให้กลับมาอีกครั้ง และเมื่อทั้งสองฝ่ายประสานเสริมกัน อาจสามารถชักจูงประชาชนบางส่วนที่ยังเป็นกลางมาเข้าร่วมได้ ที่สำคัญ ยังผนวกการสร้างแนวร่วมไปถึงกลุ่มธรรมาภิบาล ซึ่งยังมีหลายประเด็นไม่เห็นด้วยกับกลุ่มโลกาภิวัตน์ และเมื่อมีพลังหนุนช่วยโดดเด่นเช่นนี้ ชัยชนะย่อมเป็นของกลุ่มจารีตอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกลุ่มจารีตมีลักษณะอนุรักษ์นิยมสูง จึงยากที่จะปรับตัวเพื่อตอบรับกับบริบทสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นในปัจจุบัน และคงทำใจยอมรับไม่ได้ในหลายประเด็นที่กลุ่มธรรมาภิบาลและประชาสังคมเสนอมา แต่เพื่อชัยชนะแล้ว การปรับตัวของกลุ่มจารีตย่อมสามารถเกิดขึ้นได้

เช่นเดียวกัน กลุ่มโลกาภิวัตน์อาจปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มธรรมาภิบาล ซึ่งได้รับความเชื่อถือจากประชาชนสูงกว่าโดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางที่มีความรู้ซึ่งได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา และในยุคปฏิวัติข้อมูลข่าวสารเช่นนี้ การปกปิดอำพรางข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ การทำตัวเองให้โปร่งใสตรวจสอบได้จึงเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า และหากกลุ่มโลกาภิวัตน์สามารถแก้ไขจุดบกพร่องนี้ย่อมได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธรรมาภิบาลและประชาสังคม ขณะที่กลุ่มจารีตกลับมีข้ออ้างในการโจมตีลดลง และหากสามารถสรรหาเรื่องอื่นมาเปิดโปงได้ก็อาจไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนเท่าที่ควร เพราะไม่ใช่ประเด็นหลักที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของกลุ่มโลกาภิวัตน์ยังคงเป็นภาระที่ยากลำบาก อาจเพราะหลายปีกในกลุ่มนี้ได้เคยชินกับระบบวิธีทำมาหากินแบบเก่าซึ่งบางส่วนยังอิงกับระบบจารีตแบบกลุ่มที่ 1 ด้วยซ้ำ จึงไม่ต้องหวังว่าจะยอมปรับเปลี่ยนไปเป็นแบบธรรมาภิบาล แต่เพื่อชัยชนะทุกสิ่งย่อมปรับเปลี่ยนต่อรองกันได้

สงครามครั้งนี้ดูเหมือนจะสาดโคลนใส่กันอย่างไม่ลดราวาศอก แต่ถ้าสังเกตให้ดี ทั้งสองกลุ่มมีการปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกันตลอดเวลา และเมื่อผ่านการลองผิดลองถูกจนถึงระดับหนึ่ง แต่ละกลุ่มย่อมสัมผัสรู้สึกได้ว่า ด้วยการปรับตัวเองเข้าหารูปแบบของกลุ่มธรรมาภิบาลและประชาสังคมเท่านั้น จึงจะทำให้กลุ่มของตนดำรงความได้เปรียบเหนือคู่แข่งได้อย่างยั่งยืน จนแปรเปลี่ยนไปสู่ชัยชนะในท้ายที่สุด ดังนั้น กลุ่มใดที่สำนึกรู้สึกตัวได้เร็วกว่า ย่อมชิงความได้เปรียบในการแสวงหาพันธมิตร ที่สำคัญ แต่ละปีกในกลุ่มย่อมพร้อมจะแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายอื่น หากทางกลุ่มไม่มีนโยบายที่ก้าวหน้าเพียงพอ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ปีกทหารที่แต่เดิมเคยสังกัดกลุ่มจารีต แต่ในภาวการณ์ปัจจุบันกลับมีเสียงที่แตกมาอยู่กับกลุ่มโลกาภิวัตน์ (อาจเพราะพวกเขาบังเอิญอยู่ในจุดที่เห็นด้านก้าวหน้าของกลุ่มนี้มากกว่าด้านล้าหลัง) ขณะที่บางส่วนกลับวางเฉยดูท่าทีตามอย่างฝ่ายธรรมาภิบาลและประชาสังคม เช่นเดียวกัน นายทุนที่น่าจะสนับสนุนกลุ่มโลกาภิวัตน์บางส่วนก็เริ่มหันเหไปเข้ากับฝ่ายจารีต (ซึ่งพวกเขาอาจได้รับฟังเรื่องราวที่ก้าวหน้าของกลุ่มนี้มากกว่าด้านล้าหลัง) เพราะไม่พอใจพฤติกรรมบางอย่างของแกนนำกลุ่มโลกาภิวัตน์

ดังนั้น คู่ขัดแย้งหลักในสงครามครั้งนี้ จึงต้องปรับตัวเองขนานใหญ่ เพื่อแสวงหาพันธมิตรจากกลุ่มธรรมาภิบาลและประชาสังคม รวมถึงการควบคุมดึงดูดปีกต่างๆในกลุ่มของตนให้เข้าร่วมอย่างเต็มที่เพื่อพิชิตชัยชนะในสงครามที่มีเดิมพันสูงยิ่งครั้งนี้

ถ้าให้เลือกได้ ทุกกลุ่มย่อมไม่มีใครอยากปรับเปลี่ยนตัวเองให้วุ่นวาย แต่แนวโน้มใหญ่ของโลก โดยเฉพาะพลังปฏิวัติคลื่นลูกที่ 3ได้ถาโถมกดดันสร้างปฏิสังสรรค์กับพลังการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยจนทำให้เกิดกลุ่มคนที่แตกต่างหลากหลายทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ใหม่และอุดมการณ์ก้าวหน้า ดังนั้น จึงมีเพียงแต่การปรับตัวเข้าหาความเจริญก้าวหน้าตามแบบกลุ่มธรรมาภิบาลและประชาสังคม จึงประกันความอยู่รอดในระยะยาว ที่สำคัญ ในตอนนี้กำลังของกลุ่มรุ่นใหม่ยังไม่เติบโตเข้มแข็ง ถ้ากลุ่มเก่าทั้งสองชิงเป็นฝ่ายรุกในการปรับตัว ย่อมจะรักษาสถานะความเป็นผู้นำได้ต่อไปอีกหลายสิบปี แต่หากรอให้กลุ่มรุ่นใหม่เติบโตจนสามารถบีบบังคับให้กลุ่มรุ่นเก่าต้องปรับตัวแล้ว ชัยชนะในสงครามครั้งนี้ก็อาจต้องแลกมาด้วยการสูญเสียอำนาจความเป็นผู้นำของแผ่นดินสยามประเทศให้กับผู้คนในกลุ่ม       ธรรมาภิบาลและประชาสังคมที่พึ่งเติบโตมาวัดร้อยเท้าได้ไม่นานนัก

คู่ขัดแย้งหลักที่มั่นใจในพลังรบของตนเอง หรือวางใจว่าจะมีผู้ยิ่งใหญคนใดมาช่วยเหลือ ย่อมเป็นการเพ้อฝันและบั่นทอนการสร้างยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมนุษย์ได้พิสูจน์ให้เห็นเสมอมาว่า ผู้ที่รอคอยโชคชะตาหรือคิดหวังพึ่งพันธมิตรผู้ยิ่งใหญ่คนใดคอยช่วยเหลือ โดยเกียจคร้านที่จะพัฒนาและพึ่งพาตนเอง สร้างคุณสมบัติโดดเด่นเพื่อดึงดูดคนเก่งและพันธมิตรเข้มแข็ง มักจะต้องพบโศกนาฏกรรมพ่ายแพ้ในท้ายที่สุด เพราะนักปรัชญาอังกฤษท่านหนึ่งได้เคยเสนอความคิดเห็นอันลือลั่นว่า "ผู้ปรับตัวได้ดีที่สุดเท่านั้น คือ ผู้ที่อยู่รอด"

สำหรับประชาชนธรรมดาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในสงครามครั้งนี้ คือ การแสวงหาความรู้อย่างรอบด้านลึกซึ้ง ซึ่งในยุคคลื่นลูกที่ 3 เป็นเรื่องง่ายที่จะแสวงหาข้อมูลทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก แต่กลับเป็นเรื่องยากที่ใครจะปิดบังอำพรางข้อมูลได้โดยไม่มีใครสืบรู้เปิดโปง และหากผู้ใดพยายามสกัดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ย่อมหนีไม่พ้นแรงกดดันมหาศาลจากผู้คนในทุกวันนี้ที่ตื่นตัวในเรื่องสิทธิเสรีภาพแห่งการติดต่อสื่อสาร จนไม่อาจยอมรับพฤติกรรมเช่นนี้ได้อีกต่อไป ในที่สุดเมื่อสังคมเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร มีการวิเคราะห์เชิงลึกในมุมมองที่แตกต่างจนยากที่ใครจะครอบงำประชาชนได้อีกต่อไปแล้ว แต่ละปีกในกลุ่มที่ 1-4 รวมถึงประชาชนก็จะปรับตัวให้เข้ากับอุดมการณ์ที่ตนเองคิดว่าก้าวหน้าที่สุด และแน่นอนว่า ผู้ชนะย่อมเป็นฝ่ายที่ได้ปรับปรุงนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด

การเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าย่อมไม่อาจได้มาโดยง่ายดาย แต่เงื่อนไขของสังคมไทยในวันนี้ สุกงอมเพียงพอที่จะเกิดการพัฒนาเช่นนี้ได้ โดยอาจต้องขอบคุณการปฏิวัติข้อมูลข่าวสารคลื่นลูกที่ 3 ของประชาคมโลก การพัฒนาระบบทุนนิยมไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้คนจำนวนมาก แต่ก็ได้วางรากฐานสร้างศักยภาพและพลังการพัฒนาประเทศอย่างที่เห็นในปัจจุบัน โดยเฉพาะการเติบโตของชนชั้นกลางทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ซึ่งมีความรู้และพลังรวมตัวมากเพียงพอในการตรวจสอบถ่วงดุลผู้มีอำนาจในสังคมไทย รวมถึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย จนมีศักยภาพในการก้าวสู่สังคมอุดมปัญญาที่ความโปร่งใสและตรวจสอบได้เป็นเรื่องปกติในสังคม

หากทั้ง 4 กลุ่มยินยอมปรับปรุงตนเองจนมีคุณภาพเพียงพอที่จะตอบสนองความก้าวหน้าของประเทศในอนาคต คนไทยก็จะสามารถดำรงอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในอีกวาระหนึ่ง พลังสร้างสรรค์ก้าวหน้าจะไม่โดนบีบกดเหมือนในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาอีกต่อไป แต่หากโชคร้ายมีกลุ่มใดที่พยายามขัดขวางเส้นทางยิ่งใหญ่นี้ การล่มสลายพ่ายแพ้ของกลุ่มนั้นย่อมบังเกิดขึ้นตามที่ได้วิเคราะห์ไปแล้ว ประเทศชาติกลับได้รับผลกระทบจากการจากไปของกลุ่มนี้แต่เพียงเล็กน้อย โดยได้รับส่วนชดเชยจากการพัฒนาก้าวกระโดดของกลุ่มที่เหลือ ซึ่งถูกสงครามครั้งนี้บีบเค้นเคี่ยวกรำให้ต้องปรับปรุงตัวเองอย่างเร่งด่วน นับเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ซึ่งนับจากปีนั้นมาก็ยังไม่เคยมีก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในเมืองไทยเช่นนี้อีกเลย

คลิ๊กอ่านจดหมายข่าว Practical Utopia ฉบับที่ 3 ประจำเดือนสิงหาคม 2551

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท