เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2551 กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอว็อทช์) ร่วมกับคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ (กป.อพช.เหนือ) สำนักข่าวประชาธรรม และโครงการสื่อสารแนวราบ (Local Talk Project) จัดงานเสวนา "นโยบายเศรษฐกิจทางเลือกภาคใต้กระแสโลภาภิวัตน์ และอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่: บทสำรวจองค์ความรู้ และประสบการณ์" ที่โรงแรมศิรินาถการ์เด้น จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้นำเสนองานศึกษาทางวิชาการ พร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยน ถกเถียงกันในประเด็นที่เกี่ยวพันกับนโยบายเศรษฐกิจ - ทางเลือกทางรอด ในระบบเศรษฐกิจกระแสหลักทุกวันนี้
โดยโลคัลทอล์คได้นำเสนอแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
(1) งานศึกษาของ ปกป้อง จันวิทย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ "กรณีศึกษาว่าด้วย Capital Controls (มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ)" [ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศชิลี และมาเลเซีย]
(2) งานศึกษา "นโยบายเศรษฐกิจทางเลือกในประเทศกำลังพัฒนา - นโยบายพัฒนาที่ตั้งอยู่บนความสุข กรณีภูฏาน, บทบาทของอิสลามในการพัฒนา และนโยบายประชานิยมในละตินอเมริกา " ของนักวิชาการอิสระ สฤณี อาชวานันทกุล และ
(3) บทแลกเปลี่ยนสำหรับเศรษฐศาสตร์ทางเลือก โดย ศ.ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์
"ประชาไท" ขออนุญาตนำมาเผยแพร่ซ้ำ โดยจะทะยอยลงเป็นตอนๆ จนครบ 3 ตอน
0 0 0
หากจะกล่าวบทไป ถึงระบบเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่ต่างก็ยึดโยงและแนบแน่นไปกับระบบเศรษฐกิจโลกทุกวันนี้ ทำให้อำนาจการตัดสินใจของแต่ละประเทศอย่างเป็นอิสระลดน้อยลงไปด้วย นอกจากนี้ นโยบายและแนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลักได้เข้าครอบงำ ทำให้รัฐบาลของประเทศที่กำลังพัฒนา และด้อยพัฒนาต่างก็ต้องวิ่งตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรถไฟสายพัฒนา และเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจสายนี้ ก็มีประเทศมหาอำนาจไม่กี่ประเทศ เป็นหัวจักรใหญ่นำขบวน และตามมาด้วยประเทศอื่นๆ
ทั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ขบวนรถไฟสายนี้จะนำพาโลกไปแห่งหนไหนกันแน่ "สู่สวรรค์ หรือลงนรก?" นั่นยังคงเป็นข้อสงสัย แต่จะว่าไปแล้ว ก็มีปรากฏการณ์พิสูจน์ให้เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่า รถไฟที่กำลังแล่นอยู่นี้ มันวิ่งดิ่งจมสู่เหวแน่แล้ว!!
คำถามจึงอยู่ที่ว่า "มันหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงหรือ อะไรคือเงื่อนไขและปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลต้องปฏิบัติตาม" แล้ว "ระบบทำงานอย่างไร ส่งผลดีจริงหรือ" แล้วปัญหาสิ่งแวดล้อมมากมายที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วทุกมุมโลก - มลพิษทางอากาศ ดินเสื่อม แม่น้ำปนเปื้อนไปด้วยสารพิษ พื้นที่ป่าจำนวนมากลดลงอย่างน่าใจหาย ปัญหาขยะ ปัญหาภาวะโลกร้อน ฯลฯ เราได้เห็นแล้วว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เกิดมาจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก และระบบทุนนิยม ผนวกรวมกับลัทธิเสรีนิยมใหม่ - นโยบายการค้าเสรี ตลาดเงินเสรี ฯลฯ ที่กระตุ้นให้เกิดการบริโภค และใช้ทรัพยากรธรรมชาติบนโลกอย่างไม่บันยะบันยัง ไม่เพียงเท่านั้น ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในด้านต่างๆ ยังคงดำเนินอยู่ในสังคมทั่วโลก และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ตัวละครใดบ้างที่มีบทบาทในระบบนี้ แล้วใครบ้างที่ต้องเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น เข้ามาต่อรองอำนาจในระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ที่เคลือบด้วยโฉมหน้า - หลักการ อุดมการณ์เสรีนิยมที่สวยงาม แต่ไม่ได้เสรีจริงๆ - รัฐ นายทุน บรรษัท สังคม ชุมชน ปัจเจกฯลฯ มีบทบาทในระบบนี้อย่างไร และควรจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นได้อย่างไรเพื่อนำไปสู่เป้าหมายทางการเมือง สังคมที่เราต่างใฝ่ฝันหา "ความเป็นธรรม ความเท่าเทียม ความเคารพในความหลายหลายของสังคม บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความเชื่อความกินดีอยู่ดี มีสุข ฯลฯ..."
วันนี้ "เรามีทางเลือกหรือไม่ ที่นอกเหนือไปจากแนวความคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหรือไม่ ในโลกโลกาภิวัตน์นี้"
เสรีนิยมใหม่ - มือใครยาวสาวได้สาวเอา
"เสรีนิยมใหม่... แนวคิดนี้เชื่อว่ารัฐควรแทรกแซงตลาดน้อยที่สุด เชื่อมั่นว่า สมบัติทุกอย่างควรจะมีความเป็นเจ้าของ
โดยแนวคิดนี้เชื่อว่ารัฐควรแทรกแซงตลาดน้อยที่สุด เชื่อมั่นว่า สมบัติทุกอย่างควรจะมีความเป็นเจ้าของ หรือเชื่อมั่นว่าหากบุคคลมีพฤติกรรมที่ทำให้ตนได้ประโยชน์สูงสุดแล้วสังคมก็จะได้ประโยชน์ด้วย หรือให้ความสำคัญแก่การแข่งขันมากกว่าความร่วมมือ เป็นต้น
ระบบเศรษฐกิจหลักขณะนี้ ที่กำลังขับเคลื่อน และดำเนินมาระยะหนึ่งแล้วด้วย "อุดมการณ์เสรีนิยมใหม่" (Neoliberalism) ขอขยายความ คือ เป็นอุดมการณ์ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์โลกาภิวัตน์ ในฐานะปัจจัยที่ค้ำยันความชอบธรรมของปรากฏการณ์โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ และหนุนส่งการเพิ่มระดับของความเป็นโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ
รวมทั้ง มันได้ส่งผลต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของหน่วยเศรษฐกิจในระดับต่างๆ การผลิตสร้างนักเศรษฐศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจผ่านระบบการศึกษาและระบบสื่อสารมวลชน การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล แนวความคิดและกรอบนโยบายขององค์กรโลกบาลทางเศรษฐกิจ โดยทำหน้าที่เป็น "สถาบัน" หลัก ในการกำหนดวิถีคิดและกรอบความคิด จัดวางโครงสร้างความสัมพันธ์และโครงสร้างสิ่งจูงใจ เพื่อให้พฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจต่างๆ เป็นไปและสอดคล้องต้องตามปรัชญาและแก่นเนื้อหาของ "อุดมการณ์เสรีนิยมใหม่"
กระนั้น "สถาบัน" ที่เราพูดถึง มันได้เกิดขึ้น วิวัฒน์ มีปฏิสัมพันธ์กับสถาบันอื่นๆ ในสังคม มีกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง มีกระบวนการเข้าครอบครองความคิดจิตใจของผู้คนและสังคม (ผลิตซ้ำอุดมการณ์ผ่านกลไกต่างๆ) และแตกดับไปด้วยเหมือนกัน ฉะนั้น สถาบันมีพลวัต เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต่างก็มีความสัมพันธ์ทางอำนาจและทางสังคม ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและทางการเมือง ส่วนอุดมการณ์ ก็ซ่อนอยู่ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆ
อ.ปกป้อง อธิบายต่อว่า รูปธรรม หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากนโยบายเศรษฐกิจภายใต้แนวคิดนี้ ก็ได้แก่ การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุน การลดละเลิกการกำกับควบคุมโดยรัฐ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การรักษาเสถียรภาพของระดับราคาในระบบเศรษฐกิจผ่านนโยบายรักษาเงินเฟ้อให้ต่ำ แล้วพึ่งพาเงินตราจากต่างประเทศ เป็นต้น ที่สำคัญภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบนี้ ได้ทำให้เกิดความเชื่อ หรือมายาคติว่า หากไม่ดำเนินตามนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ เงินทุนต่างชาติจะไม่เข้ามาลงทุน และทำให้กระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจหยุดชะงัก
"รูปธรรม หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ได้ถูกตั้งข้อสังเกต อาทิ ในขณะที่ประเทศหนึ่งๆ มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ แต่กลับทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจย่างเต็มรูปแบบ นโยบายนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศแต่กลับทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและระดับระหว่างประเทศกว้างขึ้น สอง การเปิดเสรีทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน เช่น เมืองไทยในปี 2540 สาม อำนาจการต่อรองของแรงงานลดลงเมื่อเทียบกับนายจ้าง ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจนี้ คือคนที่อยู่ระดับล่างที่สุด สี่ รัฐมีความอิสระในการเลือกดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจลดลง โดยต้องคำนึงปัจจัยภายนอกประเทศทั้งที่ขัดกับความต้องการในประเทศ เป็นต้น
"ประเทศของเราแข่งขันกันบนความถูก ขายของถูกอย่างเดียว โดยไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนอย่างอื่น
อ.ปกป้อง กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้นโยบายการเปิดเสรีทางเงินระหว่างประเทศจึงไม่ใช่นโยบายที่เหมาะสมกับทุกประเทศ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ทางเลือกได้เสนอทางออก เพื่อลดความผันผวนของทุนเคลื่อนย้ายโดยเฉพาะทุนระยะสั้นที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไร้เสถียรภาพ ซึ่งมาตรการที่นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มนี้เสนอได้แก่ มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศในรูปแบบต่างๆ เช่น ประเทศชิลีในช่วงทศวรรษ 1990 ได้ใช้มาตรการกำกับและจัดการเงินทุนไหลเข้าประเทศ โดยเน้นพัฒนาภายในประเทศให้เข้มแข็งก่อน หรือกรณีของประเทศมาเลเซียในช่วงปี 1998 ซึ่งมีลักษณะ "มาตรการแก้ไข" ปัญหาที่เกิดจากเงินทุนไหลออกจำนวนมากในช่วงวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ
ทั้งนี้ อ.ปกป้อง ระบุในเอกสารประกอบการเสวนาขยายความมาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ โดยแบ่งเป็นรูปแบบทางตรง และทางอ้อม ดังนี้ ตัวอย่างของมาตรการโดยตรง ได้แก่ การจำกัดเพดานของปริมาณเงินทุนไหลเขาหรือออก ห้ามเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและเงินลงทุนในสินทรัพย์การเงินจากต่างประเทศไหลออกก่อนระยะเวลาที่กำหนด ห้ามเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนในกิจการบางประเภท เช่น สินทรัพย์การเงิน อสังหาริมทรัพย์ หรือกำหนดให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนต้องได้รับอนุมัติจากทางการ
ตัวอย่างของมาตรการโดยอ้อม ได้แก่ การเก็บภาษีธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศโดยตรง เช่น ทุนต่างชาติอายุ 3 เดือน จะมีอัตราภาษีสูงกว่าทุนอายุ 6 เดือนหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ระยะสั้นมีอัตราภาษีสูงกว่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การเก็บภาษีธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศโดยอ้อม เช่น มาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ
ซึ่งเห็นได้จาก ในช่วงวิกฤตการณ์การเงินเอเชียปี 1997 (ปี 2540) เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตการณ์การเงินเอเชียปี 1997 คือประเทศที่ใช้มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ ดังเช่น ประเทศชิลี ประเทศจีน ประเทศอินเดีย และประเทศมาเลเซีย เป็นต้น
"เราแข่งขันกันบนความถูกอย่างเดียว โดยไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนทางสังคม สิ่งแวดล้อม นี่คือการแข่งขันกันไปสู่ความเสื่อม เพราะในขณะที่รัฐพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศ... ก็ทำให้อำนาจการต่อรองของแรงงานต่ำ สวัสดิการแรงงานก็ต่ำ มันไม่ใช่การแข่งขันแบบ Climb to the top แต่เป็น Race to the bottom มากกว่า"
ชิลี กับมาตรการกำกับ - จัดการเงินทุนไหลเข้า
มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศของประเทศชิลี ซึ่งได้รับความสนใจมากและเป็นต้นแบบของหลายประเทศ ได้แก่ มาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งช่วยลดความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายระยะสั้น ทั้งนี้ ชิลีใช้มาตรการดังกล่าวควบคู่ไปกับมาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศอื่นๆ อีกหลายมาตรการ
ภายหลังวิกฤตการณ์การเงินเอเชียปี 2540 นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากให้ความสนใจศึกษาการทำงานของมาตรการดังกล่าว เพราะประเทศชิลีถูกมองว่าประสบความสำเร็จในการจัดการทุนไหลเข้า แตกต่างจากประเทศในเอเชียตะวันออกหลายประเทศซึ่งเผชิญวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในบั้นปลายจากความไร้สามารถในการจัดการทุนต่างชาติ
ตัวอย่างของชิลีแสดงให้เห็นว่า มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศถือเป็นมาตรการ "ป้องกัน" ประเทศออกจากวิกฤตการณ์การเงินได้ หากมีการบังคับใช้อย่างเหมาะสม โดยที่ต้นทุนในการบังคับใช้ไม่ได้สูงมากอย่างที่เกรงกลัวกัน
"แม้ชิลีจะใช้มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศในช่วงทศวรรษ 1990
แม้ประเทศชิลีจะใช้มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศในช่วงทศวรรษ 1990 แต่ประเทศชิลีไม่ใช่ประเทศที่หันหลังให้กับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่อย่างสิ้นเชิง หากแต่พยายามผสมผสานนโยบายเศรษฐกิจทางเลือกบางประเภทเข้ากับฐานนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่อย่างค่อนข้างลงตัว
โดยพยายามดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ไปพร้อมกับการสร้างเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างยั่งยืน กล่าวคือ พยายามดำเนินนโยบายเศรษฐกิจบนฐานของ "ตลาด" แต่ให้ "รัฐ" กำกับควบคุมส่วนที่ตลาดล้มเหลวในการจัดการ เช่น ความผันผวนในตลาดการเงินระหว่างประเทศ ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงการสร้างสถาบันภายในประเทศให้เข้มแข็ง
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ประเทศชิลีเผชิญวิกฤตการณ์การเงิน เศรษฐกิจมีปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูง ขาดดุลการคลัง ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน หนี้ต่างประเทศสูง และระบบธนาคารพาณิชย์อ่อนแอ รัฐบาลในขณะนั้นพยายามจัดการปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าด้วยการลดอัตราเงินเฟ้อ โดยใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด รักษาดุลการคลัง ดุลบัญชีเดินสะพัด และรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ระหว่างประเทศ อีกทั้งได้จัดทำแผนปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพและยั่งยืน โดยอาศัยประสบการณ์การเรียนรู้จากปัญหาในช่วงสองทศวรรษก่อนหน้า
นอกจากนั้น ยังเน้นนโยบายส่งเสริมการส่งออก (ใช้ Export-led Economic Model) การส่งเสริมการค้าเสรี การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การปฏิรูปภาคการเงินและระบบธนาคาร การส่งเสริมการศึกษา การกระจายรายได้ และนโยบายช่วยเหลือคนยากจนและคนว่างงาน
มาเลเซีย กับมาตรการการกำกับโดยรัฐ
ประเทศมาเลเซียกลับเลือกเส้นทางเดินที่แตกต่างด้วยการประกาศใช้มาตรการกำกับและจัดการเงินทุนไหลออกในปี 1998 เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงิน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักเศรษฐศาสตร์สายเสรีนิยมใหม่
แม้นักเศรษฐศาสตร์สายเสรีนิยมใหม่ที่ยอมรับมาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศในฐานะ "ปีศาจที่จำเป็น" จะพอยอมรับมาตรการกำกับและจัดการเงินทุนไหลเข้าได้บ้างภายใต้บางเงื่อนไขและบางสถานการณ์ แต่สำหรับมาตรการกำกับและจัดการเงินทุนไหลออก
นักเศรษฐศาสตร์มักมองว่าเป็นมาตรการที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการบั่นทอนเสรีภาพในการลงทุนอย่างรุนแรง ทำให้นักลงทุนไม่กล้านำเงินมาลงทุน เพราะไม่สามารถนำเงินลงทุนและผลได้จากการลงทุนกลับประเทศได้ในจังหวะที่ตนต้องการ ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็คือ เศรษฐกิจของประเทศจะถูกทำลายลง ทุนใหม่จะไม่กล้าเข้ามาลงทุน ทุนเก่าจะรีบออกนอกประเทศทันทีที่มาตรการถูกยกเลิกหรือหาช่องโหว่ของมาตรการเพื่อไหลออกนอกประเทศ
"ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายหลังการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวไม่ได้เป็นการทำลายเศรษฐกิจของมาเลเซียลง
กระนั้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายหลังการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวไม่ได้เป็นการทำลายเศรษฐกิจของมาเลเซียลงตามคำทำนายของนักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมใหม่ ตรงกันข้าม ประเทศมาเลเซียสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจได้รวดเร็วและแข็งแกร่งกว่าหลายประเทศในภูมิภาคที่ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ ปัจจุบัน เศรษฐกิจของมาเลเซียยังคงเติบโตอย่างเข้มแข็ง และมีเงินทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนจำนวนมาก
ประเทศมาเลเซียดำเนินนโยบายเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศเช่นเดียวกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆในภูมิภาค โดยดำเนินการเปิดเสรีบัญชีทุนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างปี 1987-1989 ขณะที่เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัว ตั้งแต่ปี 1973 ระหว่างที่ประเทศดำเนินนโยบายเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศได้ใช้มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศในการจัดการปัญหาเศรษฐกิจที่มีลักษณะแตกต่างกัน 2 ครั้งสำคัญ ได้แก่ การใช้มาตรการกำกับและจัดการทุนไหลเข้าในปี 1994 และมาตรการกำกับและจัดการทุนไหลออกในปี 1998
ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เศรษฐกิจมาเลเซียมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเนื่องมาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การส่งออก และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ พร้อมไปกับการเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศ โดยที่ตลาดเงินริงกิตภายนอกประเทศ (Offshore Market) เป็นตลาดที่ได้รับความนิยม ในช่วงปี 1990-1993 ประเทศมาเลเซียมีส่วนเกินดุลบัญชีทุนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อันเป็นผลมาจากการไหลเข้าสุทธิของเงินทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเงินทุนระยะสั้นไหลเข้าสุทธิคิดเป็นร้อยละ 8.9 ของ GDP ในปี 1993 เทียบกับร้อยละ 1.2 ในปี 1990
ภายหลังจากใช้มาตรการจัดการทุนในช่วงสั้นๆ ของปี 1994 ประเทศมาเลเซียก็ดำเนินนโยบายเปิดเสรีบัญชีทุนอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงวิกฤตการณ์การเงินเอเชียปี 1997 ซึ่งเศรษฐกิจมาเลเซียก็มีปัญหาเช่นกันทั้งจากปัญหาภายในประเทศ เช่น การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และผลพวงของวิกฤตการณ์การเงินในภูมิภาค
เช่น แรงเก็งกำไรต่อเงินสกุลริงกิต และผลกระทบอื่นๆ จากการลอยตัวค่าเงินบาทและค่าเงินเปโซ ในช่วงดังกล่าว เงินทุนต่างชาติที่เคยไหลเข้าสุทธิอย่างต่อเนื่องกลับไหลออก ซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนอย่างรุนแรง และสร้างแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยในประเทศ ที่ต้องตรึงไว้ในระดับสูง เพื่อรักษาค่าเงิน
การแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์เศรษฐกิจภายใต้ความตื่นตระหนกและการเก็งกำไรของนักลงทุนทำได้ยากขึ้นภายใต้นโยบายเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1998 ธนาคารกลางของมาเลเซีย จึงประกาศใช้ชุดมาตรการกำกับและจัดการเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ และการกลับไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ โดยผูกค่าเงินไว้ที่ 3.8 ริงกิตต่อหนึ่งเหรียญสหรัฐอเมริกา (ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาวิกฤต แต่อ่อนค่าลงกว่าช่วงปกติ)
หลังจากใช้มาตรการดังกล่าว ธนาคารกลางดำเนินนโยบายการเงินแบบขยายตัวอย่างต่อเนื่องรวม 14 เดือนนับจากนั้น โดยไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมใหม่ และไม่ขอความช่วยเหลือผ่านโครงการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้น มาเลเซียได้หันกลับไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวในเดือนกรกฎาคม 2005 และธนาคารกลางของมาเลเซียได้เริ่มผ่อนคลายความเข้มข้นของมาตรการกำกับและจัดการเงินทุนไหลออกโดยลำดับ แม้ว่าในปัจจุบันจะยังคงไม่อนุญาตให้ซื้อขายเงินสกุลริงกิตในตลาดต่างประเทศก็ตาม
"การเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศ
เสรีทางการเงิน เป็นปัญหาในตัวมันเอง
"มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ (Capital Controls)" เป็นนโยบายเศรษฐกิจทางเลือกเพื่อ "จัดการ" ทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายสุดท้ายของการพัฒนาเศรษฐกิจ นั่นคือ เศรษฐกิจที่เติบโต เป็นธรรม มั่นคง และยั่งยืน มาตรการดังกล่าวมีประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีปัจจัยเชิงสถาบันและพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอและถึงพร้อมในการโต้คลื่นโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศจะมีลักษณะความเป็น "มาตรการชั่วคราว" สำหรับบังคับใช้ในช่วงเปลี่ยนผ่านจนกว่าประเทศนั้นจะมีความเข้มแข็ง และมีความพร้อมในเชิงสถาบันสำหรับการเปิดเสรีบัญชีทุนอย่างเต็มที่ต่อไปแล้ว หรือบังคับใช้ในช่วงที่เผชิญปัญหาวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ มาตรการดังกล่าวยังมีลักษณะความเป็น "มาตรการถาวร" ในฐานะ "ทางออกที่จำเป็น" ในการใช้ชีวิตอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์เสรีนิยมใหม่ด้วย
เพราะการเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศมีธรรมชาติที่เป็นปัญหาโดยตัวของมันเอง และมาตรการกำกับและจัดการเงินทุนเคลื่อนย้ายช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้มากกว่าทางแก้ภายใต้อุดมการณ์เศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ ซึ่งต่อให้ตลาดการเงินทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ปัญหาก็ยังคงดำรงอยู่ มิพักต้องตั้งคำถามว่ามีทางที่จะทำให้ตลาดทำงานได้อย่างสมบูรณ์ในโลกแห่งความจริงหรือไม่
"สถาบัน" หรือ "พื้นฐานเศรษฐกิจ" ที่เข้มแข็งอาจช่วย "ลดโอกาส" ในการเกิดวิกฤตการณ์การเงินหรือ "บรรเทา" ความรุนแรงของวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น แต่มิอาจ "ป้องกัน" ได้ และไม่ได้จัดการปัญหาที่ต้นเหตุ ทั้งนี้เพราะธรรมชาติแห่งความผันผวนไร้เสถียรภาพ - อันเกิดจากธรรมชาติของการลงทุนและพฤติกรรมที่ไม่มีเหตุมีผลทางเศรษฐศาสตร์ของนักลงทุน ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่มีปัญหาข้อมูลข่าวสารที่ไม่สมบูรณ์เป็นปกติธรรมดา - ก็ยังคงดำรงอยู่ รวมถึงปัญหาจากผลลุกลามจากวิกฤตการณ์การเงิน (Contagion effects) ที่รุนแรงขึ้นภายใต้สถาบันแบบเสรีนิยมใหม่
กล่าวโดยสรุป มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายมิได้เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะหน้าช่วงวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ เช่น ทุนไหลออกไม่หยุด หรือเป็นนโยบายขัดตาทัพระหว่างทางเท่านั้น แต่มาตรการนี้ยังสามารถบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจระยะยาวได้ด้วย ดังที่ประเทศชิลีใช้มาตรการจัดการทุนไหลเข้ายาวนานนับทศวรรษ และยังเป็น "ทางเลือก" หนึ่งในการดำเนินนโยบายในปัจจุบัน
ความย่อ : ภายหลังภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ไทยเข้ารับความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟ แล้วค่อยๆ ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างทุลักทุเล ขณะที่มาเลเซียเลือกใช้มาตรการควบคุมการไหลออกเงินลงทุนโดยรัฐ กลับได้รับผลกระทบวิกฤตน้อยที่สุดในภูมิภาค งานศึกษาของอ.ปกป้อง จันวิทย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ "กรณีศึกษาว่าด้วย Capital Controls (มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ)" อธิบายถึงทางออกของเศรษฐศาสตร์ทางเลือก ซึ่งสวนแนวคิดของกระแสเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมใหม่โดยสิ้นเชิง
อ.ปกป้อง จันวิทย์ เกริ่นนำถึงระบบเศรษฐกิจภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์นี้ว่า ระบบได้เปลี่ยนไปทั้งโลกไปอยู่ภายใต้กฎกติกาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม กล่าวคือ หากอยู่ในรูปที่เป็นทางการ ก็เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบ พันธะสัญญา และยังถูกผลิตในรูปของอุดมการณ์หลัก วัฒนธรรม ค่านิยม นั่นคือแบบที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งตัวกฎกติกาจะส่งผลต่อการตัดสินใจและพฤติกรรมของคน สถาบัน และรัฐบาล โดยมีอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่เป็นหัวใจ
หรือเชื่อมั่นว่า
หากบุคคลมีพฤติกรรมที่ทำให้ตนได้ประโยชน์สูงสุดแล้ว
สังคมก็จะได้ประโยชน์ด้วย
หรือให้ความสำคัญแก่การแข่งขันมากกว่าความร่วมมือ"
เนื่องมาจากนโยบายเศรษฐกิจภายใต้แนวคิดนี้
ได้แก่ การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุน
การลดละเลิกการกำกับควบคุมโดยรัฐ
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ... แล้วพึ่งพาเงินตราจากต่างประเทศ..."
ต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
นี่คือการแข่งขันกันไปสู่ความเสื่อม ใช้นโยบายมักง่าย
เพราะในขณะที่รัฐพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
เข้ามาในประเทศ ก็ต้องพยายามทำให้ค่าเงินบาทแข็ง เงินเฟ้อต่ำ แต่อยากให้ค่าจ้างแรงงานถูก ประชาชนก็ลำบาก
อำนาจการต่อรองของแรงงานต่ำ สวัสดิการแรงงานก็ต่ำ
มันไม่ใช่การแข่งขันแบบ Climb to the top
แต่เป็น Race to the bottom มากกว่า"
จากการศึกษาของ อ.ปกป้อง ได้ยกกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศชิลี ซึ่งนำมาตรการกำกับและจัดการเงินทุนไหลเข้ามาใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจมหภาค เนื่องจาก เผชิญปัญหาเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก ภายหลังจากการเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งสร้างความผันผวนต่ออัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เกิดปัญหา Overvaluation (ค่าเงินของประเทศแข็งค่าขึ้นเกินกว่าที่ควรจะเป็น) และส่งผลกระทบต่อการส่งออก และภาคเศรษฐกิจจริง ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นกับประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศภายหลังจากเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศ หากมีการบริหารจัดการเงินทุนไหลเข้าไม่ดี อาจนำมาซึ่งวิกฤตการณ์การเงินและวิกฤตการณ์เศรษฐกิจได้
แต่ชิลีไม่ได้หันหลังให้กับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ
แบบเสรีนิยมใหม่อย่างสิ้นเชิง
แต่พยายามผสมผสานนโยบายเศรษฐกิจทางเลือกบางประเภทเข้ากับฐานนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่อย่างค่อนข้างลงตัว"
ในขณะที่ประเทศเอเชียตะวันออกหลายประเทศ เช่น ประเทศไทย ประเทศเกาหลีใต้ จัดการรับมือกับวิกฤตการณ์การเงินเอเชียตะวันออกปี 1997 ด้วยนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ ภายใต้การกำกับของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ตามคำทำนายของนักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมใหม่
ตรงกันข้าม ประเทศมาเลเซียสามารถฟื้นตัว
จากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจได้รวดเร็ว
และแข็งแกร่งกว่าหลายประเทศในภูมิภาค"
มีธรรมชาติที่เป็นปัญหาโดยตัวของมันเอง
และมาตรการกำกับและจัดการเงินทุนเคลื่อนย้าย
ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
ได้มากกว่าทางแก้ภายใต้อุดมการณ์เศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ ซึ่งต่อให้ตลาดการเงินทำงานได้อย่างสมบูรณ์
ปัญหาก็ยังคงดำรงอยู่"
ในท้ายสุดนี้ อ.ปกป้อง เน้นย้ำว่า นโยบายเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศไม่ใช่นโยบายที่ดีที่สุดสำหรับทุกประเทศในทุกเงื่อนไขและทุกสถานการณ์ เมื่อมีการดำเนินนโยบายเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศในโลกแห่งความจริงภายใต้ปรากฏการณ์โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจและอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ ผลประโยชน์จากการเปิดเสรีระหว่างประเทศตามที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักทำนายไว้อาจไม่เกิดขึ้นจริง ในขณะที่ต้นทุนของการใช้นโยบายดังกล่าวกลับยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
Local Talk: เศรษฐศาสตร์ทางเลือก (1) "ปกป้อง จันวิทย์" มาตรการกำกับ-จัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ
Submitted on Sun, 2008-08-03 03:58
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)
ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
2024-03-28 16:24
2024-03-28 14:49
2024-03-28 13:53
2024-03-28 12:35
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล