ศรายุธ ตั้งประเสริฐ
***บทความนี้เป็นปฏิกริยาต่อบทความ:ผมเห็นด้วยกับการรัฐประหาร!!! โดยผู้ใช้นามปากกาว่า "นกพเนจร" เพื่อความต่อเนื่องของเนื้อหา สามารถติดตามอ่านได้ที่ http://www.prachatai.com/05web/th/home/12704 |
เมื่อผู้เขียนได้อ่าน บทความ: ผมเห็นด้วยกับการรัฐประหาร!!! โดยผู้ใช้นามปากกาว่า นกพเนจร จนจบแม้ว่าผู้เขียนไม่ชอบสารที่แฝงมาในบทความนี้ก็ตาม แต่ผู้เขียนต้องขอยอมรับว่าผู้เขียนชื่นชมวิธีการนำเสนอของเจ้าของบทความที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกที่หลากหลายนี้
ผู้เขียนพบว่าเป็นการยากอย่างมากที่จะวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาระที่ คุณนกพเนจร เจ้าของบทความบทนี้นำเสนอ เนื่องจากการวางโครงเรื่องให้ตัวผู้ถูกกระทำเป็นหญิงสาวอ่อนแอตัวคนเดียว และด้วยความซื่อได้ทำให้เธอถูกมนุษย์ประชาธิปไตย ที่หยาบกระด้างรายล้อมแสดงท่าทีเดียดฉันท์ ต้องตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าความรู้สึกเห็นใจของผู้อ่านย่อมเทลงไปที่หญิงสาวคนนั้น และการที่ คุณนกพเนจร เจ้าของบทความออกตัวไว้ว่า ตนเองไม่มีจิตสำนึกหรือจุดยืนทางการเมือง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าฝ่่ายที่ไม่เห็นด้วยย่อมมีความยากลำบากในการตัดสินใจว่าจะตอบโต้ในจุดไหน
แต่ผู้เขียนอยากชี้ให้เห็นว่าโครงเรื่องที่น่าสะเทือนอารมณ์ดังกล่าว ได้สะท้อนความเป็นจริงทางสังคมอย่างกลับหัวกลับหาง ในบทความกล่าวว่านักประชาธิปไตยที่ได้ล้อมกรอบ"น้องสาวคนนั้น" มีอุดมการณ์อย่างเหลือเฟือ แต่หากมองจากข้อเท็จจริงแล้วอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้นแทบไม่ได้มีที่อยู่ทียืนในสังคมไทยเลย นักประชาธิปไตยได้กลายเป็นเสียงส่วนน้อยในสังคมไทย โดยเฉพาะในสังคมปัญญาชนหลังเหตุการณ์ ๑๙ กันยา ซึ่งหากคุณนกพเนจร ได้มีโอกาสติดตามข่าวสารข้อมูลตามสื่อกระแสหลักก็คงพอรู้
ความจริงที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือ วาทกรรม ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่บรรจุคุณธรรมความดีไว้จนเต็มเปี่ยมต่างหาก ที่เป็นอุดมการณ์หลักและมีที่ยืนอยู่อย่างสง่างามในสังคมไทย คนที่ยึดอุดมการณ์ประชาธิปไตยต่างหากที่ต้องพยายามปกป้องหลัีกการที่พวกเขายึดถือ เพื่อต่อสู้กับการทำรัฐประหารเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือรัฐประหารเพื่อศีลธรรมความดี หลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา เราจะพบกับคำพูดของคนชั้นนำ ที่สนับสนุนวาทกรรมเหล่านี้เกลื่อนกระจายอยู่ตามสื่อต่างๆ
ความจริงแล้วการทำการรัฐประหารสำเร็จถึง ๑๐ครั้ง เมื่อนับจากปี ๒๔๙๐ ต่างต้องยกความดีความชอบให้วาทกรรมข้างต้นว่าเป็นปัจจัยหลักในการชี้ขาดความสำเร็จ
ผู้เขียนเชื่อว่างานเขียนที่หลากความรู้สึกชิ้นนี้ เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริงประกอบกับความอึดอัดคับข้องใจของ คุณนกพเนจร และงานนี้ไม่ได้เป็นการเขียนเพื่อหวังผลทางการเมืองแต่อย่างใด แต่ความเป็นจริงที่น่าเศร้ามากกว่าประสบการณ์นี้ก็คือ การรัฐประหาร ๑๙ กันยา ได้ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมในลักษณะดังกล่าวมากมาย หากว่าน้องสาวผู้น่าสงสารของ คุณนก พเนจร ก้มลงไปดูที่ฝ่าเท้าของตัวเองก็อาจจะพบ ซากร่างของ คนยากคนจนที่ถูกสังคมก่นประณามว่า โง่ ไม่มีความรู้ เห็นแก่ได้ ขายสิทธิ์ขายเสียง เป็นปัญหาในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ติดอยู่ใต้ฝ่าเท้าอันอ่อนบางของเธอก็ได้
และหากน้องสาวผู้ได้รับการใส่ใจจากคุณนกพเนจรและจากผู้อ่านบางท่านในการปกป้องความรู้สึกที่ต่ำต้อยจากการถูกถีบอก ประณาม ชิงชัง เหยียดหยาม หรือแช่งชักหักกระดูกโดยเพื่อนนักประชาธิปไตย ทำไมคนยากคนจนที่ไม่มีที่ยืนทางการเมืองและสังคม จึงไม่ไ้ด้รับการปกป้องจากการถูกหมิ่นแคลนในท่าทีที่รุนแรงกว่าโดยบรรดาผู้ที่สนับสนุนและผู้ที่ยอมรับได้กับการรัฐประหาร
ผู้เขียนเห็นว่างานเขียนของคุณนกพเนจร จะสะท้อนความจริงที่มากกว่านี้ หากเติมคำว่าไม่ ในบางที่ และแทนคำว่าประชาธิปไตย ด้วยคำว่าชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ผู้เขียนขออนุญาตยกตัวอย่างมาหนึ่งย่อหน้า
ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงต่อผู้รักประชาธิปไตยทุกท่านในที่นี้ ผมว่าคนที่เห็นด้วยกับรัฐประหารก็น่าสนใจไม่น้อย ทำไม? เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ประชาธิปไตยก็ถูกยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว มันจึงมีฐานที่งามสง่าให้หยัดยืนโดยไม่ต้องเปลืองแรงมาก แต่กับคนที่เห็นด้วยกับรัฐประหาร มันเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ที่เขาจะต้องสรรหาเหตุผลและออกแรงสร้างที่มั่นอย่างหนักหนาสาหัส เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองไม่ถูก "ประณาม" หรือถูกผลักอกและตีตราว่าเป็น "คนเลว"
ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงต่อผู้รัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกท่านในที่นี้ ผมว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารก็น่าสนใจไม่น้อย ทำไม? เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ก็ถูกยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว มันจึงมีฐานที่งามสง่าให้หยัดยืนโดยไม่ต้องเปลืองแรงมาก แต่กับคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร มันเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ที่เขาจะต้องสรรหาเหตุผลและออกแรงสร้างที่มั่นอย่างหนักหนาสาหัส เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองไม่ถูก "ประณาม" หรือถูกผลักอกและตีตราว่าเป็น "คนเลว"
การที่คุณนกพเนจรกล่าวว่า "เป็นไปได้ว่าการที่ผมเป็นคนไม่มีจุดยืนก็เพราะผมไม่มีความสามารถพอที่จะจัดการจุดยืนของตัวเองโดยไม่ไปทำร้ายใคร" ผู้เขียนกลับเห็นว่า คุณนกพเนจรได้ทำร้ายผู้ที่ปกป้องประชาธิปไตยโดยรวม ไม่ว่าจะมีจุดยืน(ที่ยืน) หรือไม่ ไม่ว่าจะมีพฤติกรรมเช่นที่คุณยกมาหรือไม่ ด้วยการบอกเล่าความจริงที่กลับหัวกลับหางชิ้นนี้ของคุณไปเรียบร้อยแล้ว
และหาก "บางทีการอยู่ร่วมกันก็จำเป็นต้องใช้จุดยืนมากเท่าๆ กับการใช้หัวใจที่เคารพในกันและกัน" ที่สร้างความรู้สึกด้านลบต่อผู้ที่ปกป้องหลักการประชาธิปไตย ผู้เขียนกลับเห็นว่า การมีจุดยืน(หลักการ)ทางประชาธิปไตยต่างหาก ที่ทำให้คนมีความเคารพต่อเพื่อนมนุษย์ และพยายามที่จะทำให้สังคมไปถึงจุดที่ทุกคนมีศักดิ์ศรีอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่การใช้หัวใจต่อคนหรือกลุ่มคนอย่างเลือกปฏิบัติหรือเลือกที่รักมักที่ชัง
สุดท้ายนี้หากว่าผู้เขียนตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับน้องสาวผู้น่าสงสารของคุณนกพเนจร รอบกายของผู้เขียนห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหาร ข้างกายผู้เขียนมีเพื่อนที่ไม่อยากเห็นความรุนแรงอันเกิดมาจากความเห็นต่างทางการเมือง
ผู้เขียนจะบอกเพื่อนผู้หวังดีว่า "จงพูดแต่ในสิ่งที่ตนเองคิดและเชื่อเถิด อย่าหมิ่นเกียรติตนเองโดยการพูดในสิ่งที่ตนเองไม่ได้เคยคิดหรือไม่ได้เคยเชื่อเลย ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะดีกว่านี้"
และผู้เขียนจะหันไปบอกกับกลุ่มผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองกับผู้เขียนว่า"ผมไม่มีวันเห็นด้วยกับการรัฐประหาร"