Skip to main content
sharethis

รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช บริหารประเทศไทยมาได้ 4 เดือนแล้ว แต่ยังไม่เคยแถลงวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศอะไรเลยสักข้อเดียว ทำให้สงสัยว่าไม่เคยได้เตรียมการณ์อะไรเลยสำหรับการบริหารประเทศ ทั้งที่ก็เป็นนักการเมืองมานานหลายสิบปี สิ่งที่ท่านทำเห็นมีแต่ด่าทอกลุ่มประชาชน และนักข่าวอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน อย่างนี้ก็สมควรอยู่หรอกที่อาจารย์ธีรยุทธท่านให้ฉายาว่ารัฐบาลลูกกรอก วาระแห่งการเป็นรัฐบาลของพวกท่านคงมีอยู่วาระเดียวคือฟอกจอมขมังเวทย์ผู้เป็นนายให้พ้นมลทิน เป็นอันเสร็จสินภารกิจทางการเมือง ส่วนประเทศไทยจะเป็นอย่างไรก็สุดแท้แต่จอมขมังเวทย์จะว่าทีหลัง


 


ว่าไปแล้วการไม่มีวิสัยทัศน์เสียเลย ก็ยังดีกว่ามีวิสัยทัศน์ผิดๆ เช่น วิสัยทัศน์ของท่านอดีตนายกฯทักษิณ ที่อะไรๆ ก็จะเอาแต่การลงทุน (จากต่างชาติ) เช่น ดีทรอยด์ออฟเอเชีย และเรื่องฉาบฉวยเช่นจะให้ไทยเป็นเมืองแฟชั่น ส่วนการจะเป็นครัวโลกนั้นโดยหลักการแล้วดี แต่เห็นมีแต่คำพูดแต่ไม่เห็นมียุทธศาสตร์และมาตรการใดมารองรับเลย ก็คงสงสัยว่าจะเป็นเพียงเหยื่อล่อทางการเมืองเท่านั้นเพื่อดึงเสียงเกษตรกร


 


ผมเคยได้ยินเพื่อนนักเรียนไทยในต่างประเทศพูดคุยกันมานมนาน 30 ปีแล้วว่าถ้าเราอยากรวยก็ต้องค้าขาย พอค้าขายก็คิดว่าควรทำอะไรที่มันแพงๆขาย เช่น คอมพิวเตอร์ เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งวิเคราะห์ว่าคอมพิวเตอร์โลละ 20,000 แต่ข้าวโลละ 5 บาท ต้องเอาข้าวตั้ง 4,000 กิโล ไปแลกคอมพิวเตอร์ได้กิโลเดียว อืมม์ มันก็จริงของท่าน ตอนนั้นผมยังหนุ่มน้อย ก็พลอยเห็นตามไปด้วย แต่สิบปีผ่านไปผมเปลี่ยนไปมาก เพราะได้ศึกษาแนวทางสังคมแบบใหม่ แบบเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ จนผมเลื่อมใสศรัทธา


 


ผมมาตะแบงวิเคราะห์เสียใหม่ว่า...คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องราคา 40,000 บาท อยู่ได้เป็นเวลา 5 ปี เครื่องหนึ่งใช้สำหรับครอบครัวหนึ่ง คือ 4 คน พ่อแม่ลูกสอง ในระหว่างนี้คน 4 คนนี้จะกินอาหารคิดเป็นมูลค่าเท่าใด ผมคะเนว่าตกวันละ 200 บาท เพราะฉะนั้นในเวลา 5 ปีจะใช้เป็นค่าอาหาร 365,000 บาท ซึ่งเท่ากับคอมพิวเตอร์ประมาณ 9 เครื่อง


 


จึงเห็นได้ว่าการทำการเกษตรนั้น ไม่ได้มีราคาต่ำอย่างที่คิดกันเลย ยิ่งถ้าเราทำเป็นสินค้าส่งออก เพิ่มมูลค่าให้ดี ราคาจะแพงขึ้นอีก 3 เท่าเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับว่าเขาขายคอมให้เรา 1 เครื่อง เราขาย คอมอาหารให้เขา 27 เครื่อง แถมเรายังมีความมั่นคงทางอาหารอีกด้วย เกิดสภาวะข้าวยากหมากแพงขึ้นมาคราใด เรากินคอมไม่ได้นะครับ


 


แต่การเกษตรที่ว่านี้ ต้องทำควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมการเกษตร ก็จะยิ่งเพิ่มมูลค่ามหาศาลให้กับประเทศไทย แต่นี่..ผู้นำประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่เคยมีใครมีวิสัยทัศน์มองเห็นประเด็นนี้เลย มีแต่ช่วยกันทำลายการเกษตรด้วยการเอาพื้นที่ดีๆ ไปให้นักลงทุนต่างชาติทำนิคมอุตสาหกรรมล้างผลาญและปู้ยี่ปู้ยำประเทศไทยกันหมด


 


เชื่อไหมครับว่าสหรัฐอเมริกานั้น..แม้ในขณะนี้ ก็ยังคงเป็นประเทศเกษตรกรรม ไม่ได้เป็นประเทศอุตสาหกรรมอย่างที่เราพากันคิดแบบผิดๆหรอก จากตัวเลขที่ผมเคยศึกษาไว้ พลเมืองสหรัฐมีอาชีพเกษตกรเพียงร้อยละ 1.8 แต่เหลือเชื่อว่า ร้อยละ 30 มีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร เช่น ทำงานในบริษัทผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร โรงงานปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช นักวิจัย คนขับรถขนส่งสินค้าเกษตร โรงงานแปรรูปผลิตผลการเกษตร ไปจนถึงคนขายอาหาร จึงถือได้ว่าการเกษตรมีสัดส่วนแรงงานในภาคการผลิต มากที่สุดในระบบแรงงาน สรอ. โดยที่ภาคแรงงานใหญ่ที่สุดคือ ภาคบริการ (ซึ่งรวมถึงการบริการทางการเกษตรด้วย) ที่มีประมาณร้อยละ 60 ซึ่งแสดงว่าพวกดีทรอยด์ คอมพิวเตอร์ ซิลิกอนวาลเลย์ทั้งหลายแหล่ที่พวกเราคลั้งไคล้กันนั้นมีแรงงานประมาณ 10% เท่านั้นเอง น้อยกว่าภาคการเกษตรตั้ง 3 เท่า ผมจึงสรุปว่าสรอ. ยังเป็นสังคมการเกษตรอยู่ จึงทำให้เขามั่งคั่งถึงปานนี้


 


และเคยสังเกตไหมว่าถ้าจะมีข้อตกลงนานาชาติที่กระทบต่อผลประโยชน์ทางการเกษตรของเขาทีไร สรอ. จะคัดค้านเกี่ยงงอน ไม่ยอมร่วมมือด้วยเสมอ เช่นมาตรการงดการช่วยเหลือเกษตรกร (subsidization) ที่เป็นความยืดเยื้อกับกลุ่มสหภาพยุโรปมานาน


 


ส่วนของไทยเรามีเกษตรเป็นเสาหลักของชาติอยู่ดีๆ รัฐบาลทั้งหลายกลับโง่เขลาพยายามช่วยกันทำลายแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์มาเสียแทบทุกรัฐบาล แบบทางอ้อม โดยไม่รู้ตัว เช่น เอาที่นาอุดมสมบูรณ์ไปถวายให้ต่างขาติเข้ามาทำนิคมอุตสาหกรรม ด้านรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ แล้วไปหลอกให้ชาวนาอีสานทิ้งไร่นาเข้ามาเป็นกรรมกรแออัดอยู่ตามโรงงานเหล่านี้ด้วยค่าจ้างแสนถูก และ คุณภาพชีวิตแสนต่ำ


 


 แล้วรัฐบาลเราก็คุยด้วยความภาคภูมิใจว่า GDP โตขึ้นรวดเร็วทุกปี รายได้จากการขายสินค้าอีเล็กทรอนิกส์ สูงกว่าข้าว ยางพารา รวมกันเสียอีก ดังนั้นเราควรเลิกทำเกษตรได้แล้ว ต้องเป็นดีทรอยด์ออฟเอเชียไปโน่น โดยหาได้สำเหนียกข้อมูลตื้นๆไม่ว่า 70% ของ GDP อยู่ในกระเป๋าของนายทุนต่างชาติไม่กี่พันคนเท่านั้นเอง และ GDP สูงปานนี้แต่ทำไมหมู่บ้านในอีสานส่วนมากถนนหนทางลูกรังที่ผ่านหมู่บ้านยังเต็มไปด้วยขี้วัวขี้ควาย ขณะที่ลูกจ้างฝรั่งระดับนั่งห้องแอร์ไม่กี่หมื่นขี่เบนซ์กันแน่นกรุง


 


อะไรที่ทำลายการเกษตรไทยได้ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยจะเร่งรีบทำให้เร็วที่สุด เช่น การลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับต่างประเทศ (FTA) ในกรณีของออสเตรเลีย นิวซีแลนดฺ์ และจีน ที่หน้าใหญ่ใจโตขนาดว่าตกลงแลกเปลี่ยนสินค้าอุตสาหกรรมหนักของเรา (เช่นเครื่องอะไหล่รถยนต์) ไปแลกให้สินค้าเกษตรเขาเข้ามาขายเราได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งงานนี้เกษตรกรเราลำบากมาก แม้แต่แครอทแม้วที่เคยขายได้ดียังขายไม่ออก รวมไปถึงกระเทียม นม ผลไม้ ส่วนอะไหล่ไทยขายได้ดีในประเทศเขา ซึ่งเจ้าของโรงงานอะไหล่นั้นเป็นใครก็รู้กันอยู่ แต่ที่แน่ๆ นายทุนต่างชาติที่ลงทุนทำอะไหล่ในไทยรับไปเต็มๆ เท่ากับว่ารัฐบาลทำ FTA เพื่อช่วยนายทุนต่างชาติบนซากเน่าของเกษตรกรไทย


 


หน้ำซ้ำรัฐบาลไทยในยุคนั้น (ยุคทักษิณ) ออกมาแถลงการณ์หน้าตาเฉยว่า ถ้าสู้ราคาสินค้าเกษตรเขาไม่ไหว ก็คงต้องเปลี่ยนอาชีพ...สงสัยว่าจะให้เปลี่ยนไปค้ายาบ้า จี้ปล้น หรือ ถ้าสวยสาวหน่อยก็ขายตัวให้นักท่องเที่ยวฝรั่ง ตามหาดป่าตอง พัทยา และพัฒน์พงษ์กระมัง ดีที่ว่าวิสัยทัศน์เอ็นเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของท่านอดีตนายกฯไม่ทันคลอด ไม่เช่นนั้นลูกสาวชาวนาไทยคงได้มีช่องทางทำอาชีพรายได้สูงอีกมากทีเดียว


 


 


ประเทศมหาอำนาจในโลกทั้งหลาย อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส รัสเซีย อเมริกา ล้วนสร้างชาติมาจากฐานการเกษตรด้วยกันทั้งนั้น คือพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรให้เข้มแข็งเป็นอันดับแรก จากนั้นพัฒนาต่อยอดออกไปเป็นอุตสาหกรรมอื่น ส่วนไทยเรานั้นแปลกมีเกษตรแข็งแรงอยู่ดีๆ กลับจะไปล้มทิ้งด้วยความรังเกียจ


 


 


เมื่อรัฐไม่เหลียว ไม่ให้ความสำคัญ สถานะของอาชีพเกษตรก็ถดถอยลงทุกที จนทุกวันนี้ไม่มีใครอยากเรียนเกษตร วิศวะเกษตรในแต่ละมหาลัยนั้นคะแนนสอบเข้าต่ำสุด กรมวิชาการเกษตรตั้งมานาน นักวิชาการหลายร้อย แต่ผลงานไม่ค่อยมี คงเพราะคนก็ซังกะตาย งบประมาณก็น้อย ดังนั้นการเกษตรไทยก็เลยด้อยลงเรื่อย ผลผลิตข้าวต่อไรยังต่ำกว่าเวียตนาม อินโดนีเซียเสียอีก ทั้งที่เขาจนกว่าเรามาก (GDP ต่อหัว ต่ำกว่ามาก)


 


สินค้าเกษตรเพื่อการกินนั้นมูลค่ามหาศาลอย่างที่ผมเล่าไว้แล้ว แต่การแปรรูปเพื่อการอุปโภคก็มีมูลค่ามหาศาล ผมขอยกตัวอย่างสักสองตัวอย่างคือ มันสำปะหลัง และ ยางพารา ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงความเขลาของรัฐบาลไทยได้อย่างดีที่สุด ที่มีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่รู้จัก แถมดูถูก


 


มันสำปะหลังประเทศไทยเราผลิตได้ปีละประมาณ 30 ล้านตัน ประมาณ 28 ล้านส่งออกขายต่างประเทศแบบดิบๆ ไม่มีการเพิ่มมูลค่าอะไรเลยนอกจากการทำเป็นมันเส้นแห้ง ที่ขายได้กิโล(แห้ง)ละ 3-4 บาท เท่านั้น ขณะนี่นักวิจัยไทยสามารถผลิตพลาสติกชีวภาพจากมันสำปะหลังได้แล้ว และทำได้ดีกว่าเทคโนฯฝรั่งเสียด้วย แต่รัฐบาลก็ไม่สนใจ กลับจะเอาเทคฯไปยกถวายให้บริษัทฝรั่งเสียอีก ถ้าเราเพิ่มผลผลิตมันสักสองเท่า (ซึ่งขณะนี้ก็ทำได้แล้ว แต่รัฐก็ไม่ค่อยสนับสนุนอีกแหละ) และทำเป็นพลาสติกให้หมด จะขายได้กก.ละ 200 บาท ผมลองคำนวณดูแล้ว เป็นมูลค่าเท่ากับรายได้มวลรวมของคนสัญชาติไทยนั่นเทียว (GNP) กล่าวคือคนไทยจะรวยขึ้นสองเท่าทันที แม้เพียงจากมันสำปะหลังอย่างเดียว แถมเกิดการกระจายรายได้ ไม่ไปกระจุกอยู่กับคนไม่กี่ตระกูล แต่นี่รัฐไม่เคยเหลียวแล แถมดูถูกอีกต่างหาก ขณะนี้ฝรั่งเขาเข้ามาตั้งโรงงานผลิตสารตั้งต้นพลาสติกชีวภาพในไทยแล้ว ที่ระยอง กำลังผลิตถึงปีละสามแสนตันโน่น ฝรั่งมันอยู่แสนไกลมันยังรู้ถึงศักยภาพตรงนี้ ส่วนเราก็คงเป็นขี้ข้าปลูกมันราคาถูกสร้างความร่ำรวยมหาศาลให้ฝรั่งกันต่อไป แถมเรายังไปส่งเสริมการลงทุนฝรั่งอีก ลดแลกแจกแถมไปหมดทุกอย่าง


 


ยางพาราก็ส่งขายดิบๆเสีย 80% ไม่เอามาทำเป็นยางสำเร็จรูปเสียก่อน เช่น ยางรถยนต์ ถุงมือ หรือแม้แต่ถุงยางอนามัย ซึ่งจะเพิ่มมูลค่า 20-50 เท่า ทั้งที่ของพวกนี้ไม่ได้ไฮเทคอะไรนัก คนไทยทำเองได้หมด ถ้าไม่มีใครลงทุนจริงๆ รัฐนั่นแหละต้องลงทุนนำร่อง อุตสาหกรรมยางรถยนต์ไทยทำออกมาก็ขายไม่ได้ เพราะคนไทยนิยมแต่ยางนอก เลยต้องส่งออกขายต่างประเทศหมด นอกจากรัฐบาลแล้วคนไทยเราเองก็มีส่วนช่วยทำลายชาติไทยเราเองอยู่มาก ที่ไม่ช่วยกันซื้อสินค้าไทย แถมดูถูก


 


 


ผมเชื่อว่ารัฐบาลไทยหลายชุดที่ผ่านมาในรอบ 15 ปีนี้ รวมทั้งสภาพัฒน์ ไม่เคยมีชุดใดสำเหนียกเลยว่า อาชีพเกษตรไทยกำลังจะล่มสลายและสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว จากการประเมินของผมเอง ถ้ารัฐบาลไม่มีวิสัยทัศน์อะไรเลย ปล่อยไปตามยถากรรมแบบนี้ เกษตรกรรายย่อยไทยจะสูญพันธุ์ภายใน 20 ปี แล้วจะลงเอยด้วยเกษตรนายทุนที่เอาเจ้าของที่ดินเดิมกลับมาเป็นลูกจ้างแรงงานในที่ดินของตนเอง


 


ผมเอาเรื่องนี้ไปคุยกับเกษตรกรหลายคน ต่างให้การตรงกันว่า ไม่ต้องรอ 20 ปีอย่างผมว่าหรอก เพราะเดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้มากแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และทำไมเรื่องนี้จะส่งผลเชิงลบต่อสังคมไทย


 


ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะขณะนี้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมาก จะว่าไปแล้วทุกครอบครัว อายุเฉลี่ยประมาณ 50 มีลูก 2.5 คน (จากสถิติของผมเองที่ได้สัมผัสมามากทุกภาคของประเทศไทย) โดยลูกทุกคนเฉลี่ยแล้วเรียนระดับ ปวส. และทุกคนจะไปทำงานที่มีเกียรติ รายได้สูง ในเมือง และนิคมอุตสาหกรรมด้วยกันทั้งนั้น (หมายความว่าส่วนใหญ่ก็ไปเป็นขี้ข้าเขานั่นเอง) ซึ่งหมายความว่า 20 ปีจากนี้ไปพ่อแม่จะมีอายุเฉลี่ย 70 ปี หมดแรงทำนา และไม่มีลูกเต้ามารับช่วงต่อ ก็จำเป็นต้องขายนาไร่ทิ้งราคาถูกๆ ให้นายทุนในเมือง เช่น อาเสี่ยร้านโชว์ห่วย ที่กำลังล้มละลายเพราะสู้แมโครโลตัสไม่ไหวพอดี หรือ เผลอๆ แมโครโลตัสนั่นแหละจะลงมาซื้อที่ดินเสียเอง เพราะสะสมทุนไว้ได้เยอะมาก


 


ระบบนาขนาดใหญ่ที่ไม่มีคันนาจะเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ทำงานได้ โดยพวกคนขับรถพวกนี้ก็จะเป็นลูกหลานเดิมๆของชาวนาน่ะแหละ (ก็ต้องมีบ้างที่ตกหล่น ไปหางานในเมืองไม่ได้) กลายเป็นขี้ข้าเขา ทั้งที่เมื่อก่อนแม้เป็นเกษตรกรรายย่อยก็ยังถือว่าเป็น "เจ้าของกิจการ" ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี


 


ที่สำคัญคือการเกษตรรูปแบบนี้ (ผลิตเพื่อการค้า 100% ไม่ได้เผื่อไว้กินเลย) เป็นระบบที่อ่อนแอมาก ถ้าเศรษฐกิจการค้าโลกล่ม (และมันจะเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่มากก็น้อย ไม่เร็วก็ช้า) ระบบเกษตรก็จะพังตามไปด้วย คนจะไม่มีข้าวกิน ทั้งที่มีที่นาเหลือเฟือ ดังเช่น usa ตอนช่วงเศรษฐกิจตกต่ำใหญ่ทั่วโลก ประมาณ คศ. 1930 เรื่องนี้ญี่ปุ่นเขาฉลาดที่สุดในโลก เขาพิทักษ์อาชีพเกษตรกรรายย่อยด้วยชีวิตเลยก็ว่าได้ คงเพราะต้องการให้เป็นหลักประกันสังคมชาตินี่เอง


 


เมื่อคราวประเทศเรารับพิษโรคต้มย้ำกุ้ง 2540 แรงงานที่ตกงานยังกลับไปนอนเป่าขลุ่ยเล่นที่บ้านทุ่งเมืองเกิดได้ ไปเก็บกระถินตำลึงริมรั้วจิ้มน้ำพริกคลุกข้าวกินไปพอประทังชีวิต เศรษฐกิจไทยเราวันนี้ GDP เป็นของนักลงทุนต่างชาติเสีย 70% อีก 20 ปีอาจสูงถึง 90% แล้วถ้าต่างชาติถอนทุนหมดเพราะเศรษฐกิจตกต่ำด้วยโรคอภิมหาต้มย้ำกุ้ง ภาคแรงงานมหาศาลจะหาท้องทุ่งนาบ้านเกิดที่ไหนเพื่อกลับไปนอนเป่าขลุ่ยเลียแผล แล้วจินตนาการดูสิว่า มันจะโกลาหลสักเพียงใด อาจเกิดจลาจล ปล้นฆ่า ทั่วแผ่นดิน เพียงเพื่อหาข้าวกินรองท้องก็เป็นได้


 


เกษตรไทย..จะไปทางไหน 20 ปีจากนี้??


 


ผมสรุปว่าเกษตรกรรายย่อยจะสูญหายหมดไปภายใน 20 ปี กลายเป็นเกษตรรายใหญ่ แต่รัฐบาลไทยไม่เคยมียุทธศาสตร์อะไรเลยเพื่อรองรับ ปล่อยไปตามยถากรรม ผมจึงขอเสนอยุทธศาสตร์ด้านการเกษตรสำหรับชาติเราไว้ดังนี้ครับ


 


1)      รัฐควรมีนโยบายไม่ให้เกิดเกษตรกรรมแบบนายทุนขนาดใหญ่เกินกว่า 200 ไร่ เพราะถ้าใหญ่เกินไปจะไม่เป็นหยุ่นรองรับการกระแทกของการล่มสลายของเศรษฐกิจได้ แต่จะเป็นน้ำหนักถ่วงเศรษฐกิจให้ล่มเสียเอง แต่ถ้าเล็กเกินไปเกษตรกรก็จะยากจนเกินไป


2)      ควรส่งเสริมระบบสหกรณ์ (หรือประชาธิปไตยการเกษตร) มาใช้อย่างจริงจัง


3)      ชีวภาพ ชีวภาพ และชีวภาพ ในทุกระดับ โดยตั้งเป้าว่าประเทศไทยต้องเป็นชีวภาพ 100% ภายใน 10 ปี โดยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเลย ที่ว่านี้หมายถึงการปศุสัตว์ การประมง และทุกอย่างที่นำมาใช้เพื่อการบริโภคด้วย


4)      ปฏิรูประบบชลประทานให้สามารถทำนาได้ปีละสามครั้งทั่วประเทศ (เรื่องนี้มีรายละเอียดมาก เช่น ขุดคลองต่อจากแม่น้ำหลักเป็นก้างปลายาวสัก 5 แสนกิโลเมตร ในเวลา 30 ปี แถมกั้นเขื่อนเตี้ยเป็นระยะ เพื่อผลิตไฟฟ้า โดยไม่เสียระบบนิเวศ)


5)      ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาเพื่อการพัฒนาเกษตรในระดับ 50-100 ไร่ซึ่งจะเป็นระดับที่มีมากที่สุดใน 20 ปีจากนี้ไป รวมทั้งจัดให้มีการอบรมสัมมนาถ่ายทอดวิชาความรู้แก่เกษตรกรอย่างเป็นระบบและจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยให้อยู่ในมือเกษตรอำเภอเช่นทุกวันนี้ เช่น ควรมีจุลสารเฉพาะทางส่งฟรีถึงเกษตรกรทุกสาขาอาชีพ เพื่อให้รอบรู้วิทยาการเฉพาะด้าน เช่น ข้าว อ้อย ยางพารา ข้าวโพด มะม่วง ลำไย ทุเรียน


6)      วางปริมาณอาชีพเกษตรกรไว้สักประมาณ 25% ของประเทศ ไม่มาก และไม่น้อยไปกว่านี้ ถ้ามากเกินไปประเทศก็จะยากจน ถ้าน้อยเกินไปก็อันตราย ไม่เป็นหยุ่นกันกระแทก ซึ่งเรื่องนี้จะสอดคล้องกับข้อ 1


7)      ตั้งเป้าว่าเจ้าของไร่นา ต้องจบการศึกษาอย่างน้อยระดับ ปวช. ด้านการเกษตร และทำการเกษตรด้วยความรู้ที่ทันสมัย


8)      เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้เต็มที่ก่อนส่งออกขายต่างประเทศ โดยพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปผลิตผลการเกษตรเป็นแกนนำในการสร้างความมั่งคั่งให้แก่ชาติ


9)      พัฒนาการศึกษาวิจัยของชาติให้สอดคล้องและส่งเสริมต่อการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร


 


ถ้าเรามีนักการเมืองที่เก่ง ดี มีวิสัยทัศน์ สร้างนโยบายเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้เต็มที่ก่อนส่งออกขาย เสริมด้วยการศึกษาวิจัย ประเทศไทยเราจะร่ำรวยมหาศาลมากที่สุดในโลกด้วยทรัพย์ในดินสินในน้ำของเราเอง ไม่ต้องไปพึ่งทุนพึ่งมือต่างชาติให้เข้ามาย่ำยี่เราเหมือนเช่นอดีตจนถึงทุกวันนี้


 


ผมขอเสนอบทความ 4 บทมาเพื่อกู้ชาติในสี่ประเด็นหลักเพียงเท่านี้ ยังมีประเด็นปลีกย่อยอีกหลายเรื่องเหลือเกิน เช่น ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อม ชลประทาน พลังงาน สาธารณสุข คมนาคม สื่อสาร  คอคอดกระ ปัญหาใต้ ศาสนา วัฒนธรรม กีฬา ฯลฯ ที่เราจะต้องมาร่วมกันปฏิรูปให้หมดความเลว มุ่งสู่ความดี ซึ่งนำไปสู่ความบริสุทธิ์ในที่สุด .............ขอให้กู้ชาติได้สำเร็จครับ สวัสดีครับ


 


………………


อ่านตอนเก่า:


 


บทความ ทวิช จิตรสมบูรณ์ : 4 ประเด็นหลักที่ต้องทำเพื่อกู้ชาติ (ตอน3) กู้ชาติด้านการศึกษา


บทความ ทวิช จิตรสมบูรณ์ : 4 ประเด็นหลักที่ต้องทำเพื่อกู้ชาติ เรื่องเศรษฐกิจ (2)


เวทีพันธมิตรออนไลน์ เรื่อง 4 ประเด็นหลักที่ต้องทำเพื่อกู้ชาติ


 


 


* ที่มาภาพประกอบหน้าแรก www.siamscubadiving.com

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net