องอาจ เดชา
เจริญสร้าง เจริญสู้ เจริญอยู่กับชาวบ้าน
คือทรายทุกเม็ดทราย... ที่คลื่นซัดสะอาดใส
|
"เจริญ วัดอักษร" ได้ร่วมกับพี่น้องชาวบ้านบ่อนอก-บ้านกรูด ต่อสู้คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัท กัลฟ์เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ จนสุดท้าย รัฐจำต้องระงับโครงการดังกล่าว หลังจากนั้น เขาได้ร่วมกับชาวบ้านร่วมกันคัดค้านกลุ่มนายทุนที่ได้เข้ามาบุกรุกพื้นที่สาธารณะและการทำนากุ้ง เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของชาวบ้านโดยส่วนรวม
กระทั่ง ในคืนเวลาประมาณ 22.00 น.ของวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ตรงบริเวณทางแยกบ้านบ่อนอก ขณะลงจากรถบัสก่อนจะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เขาถูกมือปืนเดินปรี่เข้าไปยิงอย่างโหดเหี้ยมอุกอาจจนเสียชีวิต
เจริญ วัดอักษร ถูกมือปืนเดินปรี่เข้าไปยิงอย่างโหดเหี้ยม
ในตอนแรกอาจถือได้ว่า คดีดังกล่าวมีความคืบหน้าไปบ้าง นั่นคือ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 5 คน แต่ก็อย่างที่รู้กันว่า คือ 2 คนแรกเป็นมือปืนคือ นาย
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวสองพี่น้องนักการเมืองและทนายความในท้องที่ จนนำไปสู่การร้องขอให้โอนคดีไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และต่อมาได้มีการจับกุมบิดาของสองพี่น้องผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ แต่หลังจากนั้นกลับไม่มีความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนแต่อย่างใด จนทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ มือปืนทั้งสองถูกขังในเรือนจำ และผู้ต้องหาที่เหลือทั้งสามได้รับการประกันตัว
21 มีนาคม 2549 ก่อนที่จะมีการเบิกความพยาน นายประจวบได้เสียชีวิตในเรือนจำ รายงานว่าติดเชื้อแบคทีเรีย ต่อมา ขณะที่การสืบพยานกำลังดำเนินต่อไป วันที่ 3 สิงหาคม 2549 ก็ได้รับรายงานว่า นายเสน่ห์ได้เสียชีวิตไปอีกคน
ซึ่งยิ่งทำให้หลายฝ่ายมองว่าคดีนี้มีความเคลือบแคลงสงสัยเพิ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อมือปืนทั้ง 2 คนได้เสียชีวิตลงในระหว่างการกุมขังในเรือนจำอย่างมีเงื่อนงำ
จนกรรมาธิการเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ได้ออกมาตั้งคำถาม พร้อมกับเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูล ว่า คดีความที่มีต่อมือสังหารและผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารเจริญ วัดอักษร นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ต้องเผชิญกับข้อกังขาอันใหญ่หลวงเมื่อมือปืนทั้งสองได้เสียชีวิตลงในระหว่างการกุมขังในเรือนจำ แต่ไม่ได้มีการชันสูตรการเสียชีวิตแต่อย่างใด ทำให้เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากว่า มือปืนทั้งสองเสียชีวิตด้วยเหตุผลใดกันแน่ และยังส่งผลไปสู่ความหนักแน่นของคดีในกการซัดทอดไปยังผู้จ้างวานอีกด้วย
ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันที่ 9 สิงหาคม 2549 รายงานว่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลของเรือนจำให้สัมภาษณ์ว่า นายเสน่ห์ไม่ได้แสดงอาการของโรคมาลาเรียมาก่อนที่จะเสียชีวิต ผู้คนหลายคนมีข้อกังขาว่า เหตุใดมือสังหารทั้งสองจึงได้เสียชีวิตในเวลาห่างกันไม่กี่เดือน อันเป็นช่วงเวลาที่มีการพิจารณาคดี มีคำกล่าวจากญาติของมือปืนทั้งสองก่อนหน้านี้ว่า พวกเขาไม่คิดว่าทั้งสองจะออกจากคุกอย่างคนมีชีวิต
ผู้ให้การสนับสนุนนายเจริญและกลุ่มคนทำงานด้านสิทธิ์ได้เรียกร้องให้มีการชันสูตรพลิกศพนายเสน่ห์โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หรือหน่วยงานอื่นใดที่นอกเหนือไปจากสำนักงานตำรวจและราชทัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการรายงานถึงการสืบสวนเพิ่มเติมดังกล่าวแต่อย่างใด การเสียชีวิตของทั้งสองได้ก่อให้เกิดคำถามต่อการคุ้มครองพยานในไทย กฎหมายคุ้มครองพยานในขณะนี้ยังไม่ครอบคลุมถึงผู้ต้องหาที่อยู่ในระหว่างการกุมขัง ผู้ต้องขังและอดีตผู้ต้องขังที่ได้เคยพูดคุยกับ AHRC กล่าวว่า การเสียชีวิตโดยการถูกสังหารแล้วให้มีรายงานผลเป็นเสียชีวิตเพราะเจ็บป่วยนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในเรือนจำ
ในขณะที่ อีกสามคนที่ถูกจับกุมทีหลัง ก็ยังไม่ใช่ผู้บงการที่แท้จริง และว่ากันว่า ตัวบงการก็ยังคงลอยนวลอยู่ในพื้นที่ดังเดิม เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
ล่าสุด, ประชาไท มีโอกาสสัมภาษณ์ "กรณ์อุมา พงษ์น้อย" ภรรยาของเจริญ และเป็นประธานกลุ่มรักษ์บ่อนอก ในวาระครบรอบ 4 ปีแห่งการจากไปของ "เจริญ วัดอักษร"
กรณ์อุมา พงษ์น้อย
คดีของคุณ
ในวันที่ 21 มิ.ย. ก็เป็นวันครบรอบ 4 ปี แล้ว จากการที่เจริญเสียชีวิตไป แต่เรียกได้ว่าคดีมีความล่าช้ามาก ผู้ต้องหาที่ถูกจับได้ก็ขึ้นสู่กระบวนการศาล ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนศาลชั้นต้น เป็นขั้นตอนการสืบพยานโจทย์ที่ยังไม่จบสิ้น ในส่วนที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ(กรมสอบสวนคดีพิเศษ)เคยบอกว่าจะสืบสวนขยายผลเรื่องนี้ให้ ตอนนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งสิ้น
อยากให้บอกเล่ารายละเอียดของการจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ผ่านมา?
ผู้ต้องหาโดนจับ 5 ราย เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเริ่มจากมือปืนที่ยิงเจริญ โดยที่มีประจักษ์พยานนั่งดูที่ศาลา แล้วก็มีการจับมือปืนได้จากการสืบสวนจากประจักษ์พยาน พอจับมือปืนได้ 2 คน คนแรกคือ นาย
ในช่วงนี้ รายละเอียดมันมีการสืบสวนสอบสวนเอาไว้โดยเฉพาะในชั้นสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการบันทึกวิดีโอที่มือปืน โดยเฉพาะนาย
หลังจากนั้น เราก็เรียกร้องให้นำคดีนี้นำขึ้นกับดีเอสไอ เพราะว่าในช่วงนั้น เราก็พบความผิดปกติในการทำคดี ก็คือ การที่เรารู้ว่าคดีนี้มีการพยายามที่จะตัดต่อและออกแบบรูปคดีให้เป็นเรื่องส่วนตัว โดยตัดผู้เกี่ยวข้องออกจำนวนมาก ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว โดยเหตุการตายของเจริญนั้น มันเป็นการถูกฆ่าตาย โดยมีการตระเตรียมการแผนร่วมกันหลายคน
ที่จริงในขั้นตอนแรก ในการสืบสวนกันในชั้นตำรวจ เป็นการพยายามที่จะค้นหาผู้ที่จะชี้เป้าว่า เจริญกลับจากกรุงเทพฯ โดยรถทัวร์เที่ยวไหนอย่างไร ก็ไม่เจอ กลับกลายเป็นว่าคดีถูกออกแบบมาว่า เป็นความแค้นส่วนตัว โดยมีมือปืนมานั่งรอเจริญ เพื่อยิงเจริญอยู่ โดยไม่รู้ว่าเจริญจะกลับมาจากกรุงเทพ แล้วอ้างว่าเจริญเคยด่าแม่เขา
แล้วหลังจากนั้น เราพบว่าสัญญาณโทรศัพท์ที่มีการติดต่อกัน จากการที่มีการเช็คสัญญาณจากสายโทรศัพท์ได้ เราก็รู้มาว่าสัญญาณโทรศัพท์ที่บันทึกได้อย่างเป็นทางการนั้น ถูกทำให้หายไปในคดี หรือสัญญาณที่เกี่ยวข้องในสำเนาโทรศัพท์การติดต่อเชื่อมโยงระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้อง
หลังจากมีการโอนคดีไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ มีความคืบหน้าอย่างไรต่อไป
หลังจากที่คดีนี้โอนไปที่ดีเอสไอ ทางดีเอสไอ ก็ทำได้แค่เพียงสืบสวนและขยายผลจากการจับนาย
แต่จริงๆ คดีนี้ เราถือว่าไม่ได้เร่งรีบ หรือเร่งรัดอะไรว่าเจ้าหน้าที่จะต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะเราบอกแต่แรกแล้วว่าเราต้องการให้คุณสืบสวนและขยายผลให้ได้มากที่สุด วันนี้ที่คุณอ้างว่าคุณจำเป็นต้องเชิญตัวผู้ต้องหาทั้งหมด เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลเมื่อครบ 84 วันในการควบคุมตัว ตามที่ดีเอสไออ้าง เราบอกแล้วว่าถ้าคุณรีบเร่งกับการทำงานอย่างนี้ เราคิดว่าเดี๋ยวในชั้นศาลมันก็อาจจะไม่รัดกุม ทั้งโดยหลักฐาน โดยสำนวนการสืบสวนสอบสวนต่างๆ อาจจะเป็นจุดอ่อนในคดี ที่ทำให้ผู้ต้องหาเหล่านี้หลุดได้ ทั้งๆ ที่เป็นผู้ต้องหาที่เป็นผู้กระทำผิดจริง
แต่ปรากฎว่า เขาอ้างแค่ว่าต้องรีบส่งผู้ต้องหาเข้าคุกตามกฎหมาย แต่เราก็คิดว่าคดียังทำได้แค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์แล้วคุณจะรีบไปไหน ถ้าคุณตั้งใจจริงที่จะทำคดี แล้วเขาก็บอกกับเราว่าไม่เป็นไร เขาจะส่งขึ้นก่อนแล้วเขาจะสืบสวนพยานให้
ยังยืนยันว่าการตายของเจริญ เป็นเรื่องปัญหาขัดแย้งกับนายทุน ผู้มีอิทธิพล?
การตายของเจริญ พวกเราเชื่อว่าในข้อเท็จจริงที่ว่าเจริญไม่เคยมีเรื่องราวส่วนตัวกับใคร ไม่เล่นการพนัน เรียกว่าเป็นคนที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใคร แต่สิ่งเดียวที่เจริญทำมาแล้วมีปัญหาขัดแย้งกับทุน ก็ถือว่าเป็นเรื่องการขัดขวางผลประโยชน์ของกลุ่มทุน นักเลงที่มีอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นกรณีของการคัดค้านโรงไฟฟ้าที่ยาวนานจนได้รับชัยชนะจนทำให้กลุ่มทุนเสียผลประโยชน์มหาศาลในการที่ไม่ได้ก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มอิทธิพลที่เป็นผู้ถูกคดีในการว่าจ้างฆ่าเจริญ
จริงๆ ก็คือกลุ่มคนที่มีอิทธิพลในพื้นที่ที่ได้รับใช้นายทุนโรงไฟฟ้าในช่วงเลือกตั้ง และกลุ่มนี้เองก็เป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการรุกที่สาธารณะในส่วนของการทำนาพรุ เป็นพื้นที่จำนวนมหาศาล
พอคดีขึ้นสู่ชั้นอัยการ ชั้นศาล แต่จนถึงวันนี้คดีก็ดูไม่ได้คืบหน้าไปถึงไหน ?
พอมาในช่วงของการขึ้นสู่ชั้นอัยการ และขึ้นสู่ศาล เราก็ได้ติดตามคดีมา ต้องถือว่าจะเกิดขึ้นโดยระบบที่มันทำให้ล่าช้า หรือเกิดจากปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันน่าจะเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ เพราะว่าความล่าช้า 4 ปี ตั้งแต่เราพูดมาตั้งแต่ปีแรกที่เจริญถูกฆ่า คดีก็ยังเดินไปไม่ถึงไหนเลย โดยเฉพาะในขั้นตอนการขึ้นสู่กระบวนการวินิจฉัยของชั้นศาล เราก็บอกว่า "ความยุติธรรมที่มันมาช้า ก็คือความไม่ยุติธรรม"
มาถึง ณ วันนี้ก็จะเห็นได้ชัดว่า 4 ปี ก็ยังเรียกพยายานมาสืบไม่หมด แล้วก็ล่าสุด เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 - 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นการนัดสืบพยานที่เป็นพนักงานสอบสวนในชั้นตำรวจ และชั้นดีเอสไอ แต่ขั้นตอนการทำงานนั้น ถือว่าเป็นอะไรที่ขาดความจริงใจ ไม่ได้ตั้งใจในการทำงาน โดยเฉพาะในส่วนของชั้นอัยการ
คุณเรียกพยานในวันเวลาที่ยาวนาน การที่คุณเรียกพยานมานำสืบในชั้นศาล ถามว่าวันเวลาที่ยาวนาน เราก็เห็นใจพนักงานสอบสวนที่เป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาไม่ได้ทำคดีนี้เพียงคดีเดียว วันเวลาก็ 4 ปีมาแล้ว และพวกเขาเองก็มีคดีความอีกเยอะแยะมากมายที่เป็นหน้าที่ของเขา ทำไมคุณไม่เรียกเขาในขั้นตอนให้มาทบทวนเรื่องราวเตือนความจำ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่อัยการมีอำนาจที่จะทำได้ และสมควรทำเป็นอย่างยิ่ง
แล้วอัยการที่ทำคดีนี้เนี่ย ต้องถือว่าที่ผ่านมาไม่มีการตั้งใจ ไม่มีการทำการบ้านล่วงหน้า เพราะว่าเห็นขั้นตอนในการซักถาม พยานเองก็ให้การเงอะๆ งะๆ ให้การกลับหน้ากลับหลัง จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่แกก็พยายามลืมในคดี พอมาถึงก็เข้าบัลลังก์ในการสืบเลย เพราะว่าอัยการเองก็ไม่ได้ทำการบ้านมาล่วงหน้าด้วย
มองกระบวนการในชั้นอัยการอย่างไรบ้าง?
อัยการคนแรกที่ทำคดีก็ต้องชื่นชม เพราะจากที่เราเห็นปฏิบัติหน้าที่ในการทำคดี ก็มีการตั้งใจจริง มีการเตรียมตัว เห็นถึงความจริงใจได้ว่ามีความตั้งใจทำงานตามวิชาชีพของเขา แต่ว่าช่วงที่มีการเปลี่ยนอัยการ หรือเปลี่ยนองค์คณะของศาลในคดีนี้ เราก็ได้เห็นถึงกระบวนการทำงานขององค์กรนี้ แม้กระทั่งเห็นถึงทัศนะ หรือวิธีคิดของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม
มีความเห็นอย่างไรที่ผู้ต้องหาที่เป็นมือปืนเสียชีวิตในคุกทั้ง 2 ราย ?
วันที่ผู้ต้องหา 2 คน โดยเฉพาะที่มีสถานะตอนนั้นที่ถูกจับก็เป็นผู้ต้องหา เป็นมือปืน เป็นผู้ลงมือฆ่า คือ นายเสน่ห์ เหล็กล้วนและนาย
นายประจวบเป็นคนเสียชีวิตก่อนนายเสน่ห์ ตั้งแต่อยู่เรือนจำที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นขั้นต้นของการทำคดี แต่เราก็เห็นว่าการทำคดีที่ประจวบคีรีขันธ์เป็นระบบที่ไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเรา เพราะว่าเป็นจุดอ่อนในการทำคดี จำเลยไม่ต้องไปในการทำพิจารณาคดีได้ ส่งแค่เพียงทนายไปได้ ถือว่ามันไม่ยุติธรรม และโดยระบบโครงสร้างของที่นั่น หนึ่งในผู้ต้องหาคือนาย
หลังจากย้ายคดี นำนายเสน่ห์ย้ายมาอยู่ที่คุก เรือนจำคลองเปรม กรุงเทพฯ ในนัดแรกๆ ที่เริ่มสืบพยานที่กรุงเทพฯ เราจำได้ว่าเราได้เจอกับนายเสน่ห์ และเขาก็มีความแข็งแรงดีทุกนัด โดยเฉพาะช่วงนั้นต้องถือว่ามันเป็นนัดที่ต่อเนื่อง บางเดือนเจอกัน 3 นัด ประมาณเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2549 เราเจอกับนายเสน่ห์บ่อยมาก จำได้ว่า วันนั้นเป็นวันที่ 21 ก.ค.2549 เป็นนัดสุดท้ายของนายเสน่ห์ ที่มานั่งฟังการพิจารณานำสืบในศาลก่อนที่จะเสียชีวิตในวันที่ 2 สิงหาคม
ตอนนั้น เราพบว่านายเสน่ห์ก็ไม่ได้มีท่าทีอิดโรยอะไรมาก เหมือนกับแค่เป็นไข้ แล้วเหมือนกับทนายของเขาแถลงว่า นายเสน่ห์เป็นไข้ จึงขอตัวให้ลงไปนั่งในห้องขังที่อยู่ชั้นใต้ดินของศาล แต่ชาวบ้านวันนั้นเอง ได้เห็นนายเสน่ห์ แล้วบอกว่าเขาโดนยาพิษ
ทำไมชาวบ้านถึงมองว่านายเสน่ห์ ถูกวางยา ?
เราก็ไม่รู้ว่าชาวบ้านเขาดูกันอย่างไร เพราะเวลาเราไปตามคดีเราก็ไปเป็นนัด เพราะชาวบ้านถือว่าคดีเจริญไม่ได้เป็นคดีส่วนตัวของใคร ไม่ได้โดนเรื่องปัญหาหรือว่าความขัดแย้งส่วนตัว ตอนนั้นตัวเองก็ยังอุตส่าห์บอกว่ามันไม่ใช่อย่างที่ชาวบ้านบอก เพราะนายเสน่ห์อาจถูกเอาไปอยู่ในเรือนจำที่ไม่สะดวกสบายก็เลยทำให้เขาเป็นไข้ แต่ชาวบ้านก็บอกว่า ถ้าไม่เชื่อก็ให้คอยดูอีกไม่กี่วันนายเสน่ห์ต้องตาย
แล้วปรากฏว่าอีก 6 วันต่อมา นายเสน่ห์ก็เสียชีวิต ตอนนั้นก็เป็นข่าว เราเองเราก็ไม่กล้า เราขึ้นศาลเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มาแถลง แล้วศาลเองก็ยังตกใจว่าเสียชีวิตได้อย่างไร ในเมื่อนัดที่แล้วก็ยังแข็งแรก และก็ยังมาอยู่เลย เราเองเราก็กังขากับการที่นายเสน่ห์ตาย ต้องถือว่าเป็นการตายที่ผิดธรรมชาติ
การที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทาแถลงว่าเป็นโรคป่วยตาย ไม่ได้ถือว่ามันเกิดการพิสูจน์อะไรเลย แต่เป็นการกล่าวอ้างไปตามสภาพของเขา แล้วก็ในการซัดทอดของนายเสน่ห์ ที่ซัดทอดไว้ในชั้นสอบสวนและมีการบันทึกวิดีโอ วันนี้หลักฐานทางวิดีโอที่ขึ้นสู่ศาลก็ล่าช้ามาก ต้องตามจิก ตามจี้ ถามว่า 4 ปีแล้ว วิดีโอที่มีการรับสารภาพเพิ่งมาปรากฏในชั้นศาล ทั้งๆ ที่ควรนำขึ้นสู่ศาลตั้งแต่นานแล้ว
แล้วก็กระบวนการนำขึ้นสู่ศาลนั้น ก็เหลือแค่หลักฐานที่มันเป็นชิ้นสุดท้ายนอกเหนือไปจากสำนวน หลักฐานที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์ ที่เป็นผลชันสูตรจากหมอพรทิพย์(โรจนสุนันท์)บ้าง หรือเป็นเรื่องลูกกระสุน เกลียวกระสุน ปลอกกระสุน อะไรทั้งหลาย ลายนิ้วมือ ก็ยากเย็นกับการที่เราต้องไปตามจิกตามตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา
มีความคาดหวังกับกระบวนการยุติธรรมอยู่อีกไหม ?
ถ้าถามว่าวันนี้พวกเราเองมีความคาดหวังไหมกับศาลยุติธรรม วันนี้เราคิดว่า เราติดตามเพื่อค้นหา เรียนรู้กระบวนการยุติธรรมมากกว่า ว่าในรายละเอียดมันคืออะไรกันแน่ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เจริญเขาก็บอกกับพวกเรามาตลอดว่า ท่ามกลางการต่อสู้เนี่ย ถ้าเขาถูกยิงตาย แล้วให้เอาศพไปแห่หน้าทำเนียบรัฐบาลเลย เพราะเขาเชื่อว่าความเป็นธรรมไม่มีทางเกิด แต่ตอนนั้น(หลังนายเจริญ ถูกยิงเสียชีวิต) เราก็รู้สึกว่า จะให้ไปแห่ศพหน้าทำเนียบฯ สังคมก็คงไม่เข้าใจ เพราะว่าโดยกฎกติกาที่เราอยู่ร่วมกันในสังคม มันยังต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ภายใต้ระบบที่จะมาพยุงความยุติธรรม
ฉะนั้น วันนี้พวกเราก็ต้องเรียนรู้และต้องการพิสูจน์ต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว มันเป็นสัจธรรมหรือไม่กับการที่เจริญพูดไว้
จะมีการสรุปบทเรียนเพื่อที่จะขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร?
ในเบื้องต้น จากการที่เราติดตาม ตอนนี้เราก็คงต้องไปคุยกันในงานครบรอบ 4 ปีของการจากไปของเจริญ ว่าเรายังเห็นว่าจะยุติการติดตามในคดี หรือน่าจะสรุปกันได้แล้วหรือไม่ หรือว่าเราต้องติดตามต่อไปเพื่อให้ถึงที่สุด เพื่อว่าสุดท้ายแล้ว เราจะได้มีการบอกกล่าวกับสังคมได้อย่างแท้จริงว่ามันเป็นอย่างไรในกระบวนการยุติธรรม
เพราะว่า จากการที่ย้อนกลับไป เจริญเองก็เคยพูดเอาไว้เช่นนั้นว่าถ้าไม่เอาศพเขาไปเผาหน้าทำเนียบฯ ความยุติธรรมก็คงไม่เกิด ตอนนั้นก็จำได้อยู่ว่าตอนที่เจริญถูกยิงตาย เราก็ประเมินกันว่า เราเชื่อเหมือนตามที่เจริญพูด
เพราะว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่พอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหลายครั้งหลายครา ทั้งเป็นผู้ที่ถูกกระทำและผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำในท่ามกลางการต่อสู้ที่ผ่านมา เราก็ได้ข้อสรุปว่า วันนี้การตายของเจริญ หรือศพของเจริญ เราจะให้การเรียนรู้อะไรกับสังคมบ้าง ? ซึ่งก็คงต้องประเมินและพูดคุยกันว่าเรายังจะมีกระบวนการตรงนี้ต่อไปอย่างไร
|
||
การจากไปของเจริญ วัดอักษร กระตุ้นเตือนถึงการต่อสู้คัดค้านถ่านหินโดยชุมชน
ซึ่งขณะนี้ตระหนักเป็นอย่างดีว่าพวกเขานั่นเอง
ที่จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดจากมลพิษและภาวะโลกร้อน
กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับเครือข่ายนักเขียนแห่งประเทศไทย
ขอเรียนเชิญสื่อมวลชนร่วมระลึกถึงนักต่อสู้เพื่อปกป้องภูมิอากาศโลกในงาน
"4 ปีแห่งการสูญเสีย
เจริญ วัดอักษร"
วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2551
ณ สวนสันติชัยปราการ ถนนพระอาทิตย์
กำหนดการ
16.00 น. เวทีชาวบ้าน "สถานการณ์บ่อนอกหลังสูญเสียเจริญ วัดอักษร" โดย กลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์
17.00 น เวทีสาธารณะ "เจริญ วัดอักษร นักต่อสู้ผู้ปกป้องสภาพภูมิอากาศโลก" โดย
-ธารา บัวคำศรี ผู้ประสานงานรณรงค์ประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
-ทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการนิตยสาร a day
ดำเนินรายการโดย ธนาคม พจนาพิทักษ์
18.00 น. กวีบรรเลง บทเพลงขับขาน โดย ศิลปินเพื่อชีวิต-สิ่งแวดล้อม
-โฮปแฟมมิลี, ฟุตปาธแฟมมิลี, เรียนรู้กู้บ้านเกิด, พจนาถ พจนาพิทักษ์
ร่วมด้วยกวีซีไรต์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์
ศิลปินศิลปาธร วสันต์ สิทธิเขตต์, ศิริวร แก้วกาญจน์ ฯลฯ
และศิลปินเพื่อชีวิต-สิ่งแวดล้อม กวีร่วมสมัย ต่างๆอีกมากมาย |
..
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รายงาน : 3 ปี คดี "เจริญ วัดอักษร ไม่คืบ" บทสะท้อนความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมไทย
นักต่อสู้สามัญชน ความยุติธรรมที่สูญหาย (2) : เจริญ วัดอักษร