เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมา องค์กรด้านสุขภาพไทย - สวิส ทำหนังสือถึง สภามนตรีแห่งสมาพันธรัฐสวิส (รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์) พร้อมทั้งได้ทำสำเนาถึง ประธานคณะกรรมาธิการด้านทรัพย์สินทางปัญญา นวัตกรรม และการสาธารณสุข องค์การอนามัยโลก ผู้อำนวยการองค์การการพัฒนาสวิส รองผู้อำนวยการองค์การสาธารณสุข สมาพันธรัฐสวิส และรักษาการอธิบดีสถาบันทรัพย์สินทางปัญญา สมาพันธรัฐสวิส โดยระบุว่า ได้ทราบมาว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ได้มอบบันทึกช่วยจำ ให้กับรัฐบาลไทย โดยมีเนื้อหาแสดงถึงความวิตกกังวลต่อการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ ของประเทศไทย โดยเฉพาะกับยาติดสิทธิบัตรของบริษัทโนวาร์ติสและโรช พร้อมกับเสนอแนะให้ประเทศไทยทบทวนนโยบายดังกล่าวอีกครั้ง
จดหมายดังกล่าวระบุด้วยว่า น่าวิตกอย่างยิ่งที่เห็นรัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์พยายามโน้มน้าวให้ประเทศไทยยุติการดำเนินการตามมาตรการบังคับใช้สิทธิ ตลอดจนจำกัดขอบเขตและเงื่อนไขในการใช้มาตรการดังกล่าว เรารู้สึกตกใจที่เห็นรัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์เห็นชอบกับการจำกัดสิทธิการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิเฉพาะในสถานการณ์ "ฉุกเฉินหรือกรณีพิเศษ" และกับ "ยาบางประเภท" เท่านั้น
นอกจากนี้ องค์กรด้านสุขภาพไทย - สวิส ระบุว่า ในบันทึกยังส่งเสริมระบบสิทธิบัตรอย่างขาดดุลยพินิจ โดยเห็นว่าเป็นระบบที่เปี่ยมประสิทธิภาพที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการวิจัยและพัฒนาด้านการแพทย์ ซึ่งขัดต่อข้อสรุปในรายงานของคณะกรรมาธิการด้านทรัพย์สินทางปัญญา นวัตกรรม และการสาธารณสุข หรือ CIPIH ขององค์การอนามัยโลกที่ระบุชัดถึงปัญหาร้ายแรงจากระบบสิทธิบัตร
อีกทั้งในบันทึกดังกล่าว รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ยังยืนกรานที่จะให้ประเทศไทยดำเนินการเจรจากับผู้ทรงสิทธิก่อน ซึ่งใช่ว่าประเทศไทยจะไม่ทำเช่นนั้น ดังจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากกรณียาอิมาตินิบ มีไซเลท ที่รัฐบาลไทยสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกับบริษัทโนวาร์ติสได้ แม้ว่า ประเทศไทยสามารถดำเนินการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรได้โดยไม่จำเป็นต้องเจรจากับเจ้าของสิทธิบัตรก่อน ตามความตกลงทริปส์ เพราะเป็นการใช้สิทธิเพื่อการสาธารณประโยชน์โดยไม่มีวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ องค์กรด้านสุขภาพไทย-สวิส ได้เรียกร้องให้รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ยุติการกดดันประเทศไทย โดยมีเจตนาให้ประเทศไทยยุติการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ เพื่อเป็นการเคารพต่อพันธกิจดังได้ที่รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ได้ร่วมลงนามรับรองเมื่อมีการจัดตั้งปฏิญญาโดฮาว่าด้วยความตกลงทริปส์และการสาธารณสุขในเดือนพฤศจิกายน 2544, เพื่อเป็นการยึดมั่นต่อปฏิญญาของตนต่อรัฐสภา, และเพื่อการประพฤติปฎิบัติอย่างสอดคล้องกับคำแนะนำของคณะกรรมาธิการด้านทรัพย์สินทางปัญญา นวัตกรรม และการสาธารณสุข
00000
เรียน สภามนตรีแห่งสมาพันธรัฐสวิส
สำเนาถึง ประธานคณะกรรมาธิการด้านทรัพย์สินทางปัญญา นวัตกรรม และการสาธารณสุข องค์การอนามัยโลก
ผู้อำนวยการองค์การการพัฒนาสวิส
รองผู้อำนวยการองค์การสาธารณสุข สมาพันธรัฐสวิส
รักษาการอธิบดีสถาบันทรัพย์สินทางปัญญา สมาพันธรัฐสวิส
องค์กรด้านสุขภาพไทย - สวิส ได้ร่วมลงนามในหนังสือฉบับนี้เพื่อแสดงถึงความวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อการกระทำของรัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์เพื่อตอบโต้การประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ โดยรัฐบาลไทยกับยาที่ผลิตโดยบริษัทโรชและโนวาร์ติสในเดือนมกราคม 2551 ที่ผ่านมา เราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการกระทำของรัฐบาลสวิสเวอร์แลนด์ ที่พยายามโน้มน้าวให้ประเทศไทยยุติการปฎิบัติตามสิทธิอันชอบด้วยกฎหมาย เพื่อดำเนินมาตรการที่จะช่วยปกป้องการสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งเป็นการกระทำที่สอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศทุกๆ ประการ
ในปี 2544 ประเทศไทยได้จัดตั้งระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าด้วยปณิธานที่จะให้บริการการรักษาพยาบาลแก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และหนึ่งในบริการภายใต้ระบบดังกล่าวนี้ คือการให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงยาจำเป็นโดยถ้วนหน้า เช่น ยาต้านไวรัสเพื่อรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ซึ่งโครงการรักษาและป้องกันโรคดังกล่าวในประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับประเทศอื่นๆ ความสำเร็จสมดังปณิธานที่ตั้งไว้นี้ ทำให้ประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์อย่างหนัก กล่าวคือ มีผู้ติดเชื้อฯ ในประเทศกว่า 600,000 ราย สามารถควบคุมอัตราการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวได้ ตลอดจนให้การรักษาแก่ผู้ติดเชื้อฯ ที่มีแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้นได้ตามความจำเป็น
ทั้งนี้ประเทศไทยได้ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหายาราคาแพง และปัญหายาติดสิทธิบัตรที่ส่งผลกระทบต่องบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยการตรวจสอบและพิจารณาราคายาติดสิทธิบัตร เจรจาต่อรองราคายากับบริษัทผู้ผลิต และเมื่อถึงคราจำเป็น จึงประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ เพื่ออนุญาตให้มีผลิตหรือนำเข้ายาชื่อสามัญราคาถูกได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของสิทธิบัตรก่อน ในเดือนพฤศจิกายน 2549 และมกราคม 2550 ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลไทยได้ประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ กับยาต้านไวรัสเอชไอวี/เอดส์สองรายการ (ยาเอฟาวิเรนซ์ของบริษัท เมิร์ค ชาร์ป แอนด์ โดห์ม และยาโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ของบริษัทแอ๊บบอต) และยารักษาโรคหัวใจ (ยาโคลพิโดเกรลของบริษัทซาโนฟี่-อเวนตีส) จากการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ ข้างต้น ส่งผลให้ยาเหล่านี้มีราคาถูกลงอย่างมาก ช่วยให้ประเทศมีทรัพยากรพอสำหรับจัดการดูแลระบบสาธารณสุขของตน อีกทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเข้าถึงยาเหล่านี้ ต่างจากในอดีตที่ยามีราคาสูงเกินเอื้อมสำหรับผู้ป่วย
จากสถิติจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งถึงปีละกว่า 30,000 คน โรคมะเร็งจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในประเทศไทย ในเดือนมกราคม 2551 ประเทศไทยจึงได้ประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ เพิ่มกับยาต้านมะเร็งอีกสี่รายการ (ยาเลโทรโซล และยาอิมาตินิบ มีไซเลทของบริษัทโนวาร์ติส ยาโดซีแท็กเซลของบริษัทซาโนฟี่-อเวนตีส และยาเออร์โลทินิบของบริษัทโรช) แต่เนื่องจากสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกับบริษัทโนวาร์ติสได้ จึงไม่มีการบังคับใช้สิทธิฯ กับยาอิมาตินิบ มีไซเลท
เราได้ทราบมาว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ที่ผ่านมา รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ได้มอบบันทึกช่วยจำหรือ Aide Mémoire [1] ให้กับรัฐบาลไทย โดยมีเนื้อหาแสดงถึงความวิตกกังวลต่อการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ ของประเทศไทย โดยเฉพาะกับยาติดสิทธิบัตรของบริษัทโนวาร์ติสและโรช พร้อมกับเสนอแนะให้ประเทศไทยทบทวนนโยบายดังกล่าวอีกครั้ง
น่าวิตกอย่างยิ่งที่เห็นรัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์พยายามโน้มน้าวให้ประเทศไทยยุติการดำเนินการตามมาตรการบังคับใช้สิทธิ ตลอดจนจำกัดขอบเขตและเงื่อนไขในการใช้มาตรการดังกล่าว เรารู้สึกตกใจที่เห็นรัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์เห็นชอบกับการจำกัดสิทธิการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิเฉพาะในสถานการณ์ "ฉุกเฉินหรือกรณีพิเศษ" และกับ "ยาบางประเภท" เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ในบันทึกยังส่งเสริมระบบสิทธิบัตรอย่างขาดดุลยพินิจ โดยเห็นว่าเป็นระบบที่เปี่ยมประสิทธิภาพที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการวิจัยและพัฒนาด้านการแพทย์ อันเท่ากับเป็นการไม่นำพาต่อข้อสรุปในรายงานของคณะกรรมาธิการด้านทรัพย์สินทางปัญญา นวัตกรรม และการสาธารณสุข หรือ CIPIH ขององค์การอนามัยโลกที่ระบุชัดถึงปัญหาร้ายแรงอันเกิดจากระบบสิทธิบัตร [2]
มาตรการบังคับใช้สิทธิเป็นมาตรการยืดหยุ่นที่มีบัญญัติไว้ในความตกลงทริปส์ ดังที่ปฏิญญาโดฮาว่าด้วยความตกลงทริปส์และการสาธารณสุขได้ให้การรับรอง [3] ทั้งนี้ไม่มีบทบัญญัติใดในความตกลงทริปส์ที่จำกัดเงื่อนไขการใช้ ความชอบธรรม สถานการณ์ หรือกระทั่งลักษณะปัญหาด้านสาธารณสุขสำหรับการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ ในปฏิญญาโดฮายังระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศ [ขององค์การการค้าโลก] มีสิทธิที่จะใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ และสามารถกำหนดเงื่อนไขหรือสภาวะการณ์ที่จะใช้มาตรการดังกล่าวได้อย่างเสรี" ในรายงานของคณะกรรมาธิการ CIPIH ขององค์การอนามัยโลกยังได้แนะนำให้ "ประเทศกำลังพัฒนาบัญญัติมาตรการบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรไว้ในกฎหมายของตนอย่างสอดคล้องกับความตกลงทริปส์ เพื่อเป็นอีกหนึ่งหนทางที่เอื้ออำนวยให้เกิดการเข้าถึงยาราคาถูก ไม่ว่าจะโดยการนำเข้าหรือผลิตเองภายในประเทศ" (ข้อแนะนำ 4.13) [4]
ในบันทึกดังกล่าว รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ยืนกรานที่จะให้ประเทศไทยดำเนินการเจรจากับผู้ทรงสิทธิก่อน ซึ่งใช่ว่าประเทศไทยจะไม่ทำเช่นนั้น ดังจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากกรณียาอิมาตินิบ มีไซเลท ที่รัฐบาลไทยสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกับบริษัทโนวาร์ติสได้ กระนั้น สมควรทราบว่าตามมาตรา 31(b) ของความตกลงทริปส์ อนุญาตให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรได้โดยไม่จำเป็นต้องเจรจากับเจ้าของสิทธิบัตรก่อน ด้วยเป็นการใช้สิทธิเพื่อการสาธารณประโยชน์โดยไม่มีวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์
เราจึงมีหนังสือฉบับนี้เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์เคารพต่อพันธกิจดังได้ร่วมลงนามรับรองเมื่อมีการจัดตั้งปฏิญญาโดฮาว่าด้วยความตกลงทริปส์และการสาธารณสุขในเดือนพฤศจิกายน 2544 เราเรียกร้องให้รัฐบาลยึดมั่นต่อปฏิญญาของตนต่อรัฐสภา [5] เราเรียกร้องให้รัฐบาลประพฤติปฎิบัติอย่างสอดคล้องกับคำแนะนำของคณะกรรมาธิการด้านทรัพย์สินทางปัญญา นวัตกรรม และการสาธารณสุข ทั้งนี้ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ต้องให้การสนับสนุนแก่ประเทศกำลังพัฒนาในการปฎิบัติตามมาตรการยืดหยุ่นในความตกลงทริปส์อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องให้ความเคารพต่อสิทธิของประเทศไทยในการใช้เครื่องมือกลไกต่างๆ ดังบัญญัติไว้ในความตกลงทริปส์ รวมถึงการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ เพื่อประโยชน์ด้านการสาธารณสุขของประเทศ โดยสรุปแล้ว รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ต้องยุติการกดดันประเทศไทยโดยมีเจตนาให้ประเทศไทยยุติการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ ดังกล่าว
เรารอฟังความเห็นจากท่าน โดยความเคารพอย่างสูง
องค์การต่างๆ ดังปรากฎในรายชื่อข้างล่างนี้ได้ร่วมลงนามในหนังสือฉบับนี้
+++++++++++++++++++
Switzerland
- aidsfocus.ch, the Swiss platform "HIV/AIDS and international cooperation"
- Berne Declaration
- Campaign for Access to Essential Medicines - Médecins Sans Frontières International (MSF) in Geneva
- Centrale Sanitaire Suisse Romande (CSSR)
- MIVA Schweiz
- Pharmaciens Sans Frontières Suisse
- SolidarMed
- Swiss League against Cancer
Thailand
- AIDS ACCESS Foundation
- Alternative Agriculture Network
- Foundation for AIDS Rights (FAR)
- Friends of Cancer Patients
- Friends of Renal Failure Patients
- Rural Pharmacist Foundation
- Thai network of people living with HIV/AIDS (TNP+)
- Thai NGOs Coalition on AIDS
- Thai Rural Doctors society
- Foundation for Consumers
- FTA Watch
- Oxfam Great Britain in Thailand
เชิงอรรถ
[1] การประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ ของประเทศไทยกับยาที่มีสิทธิบัตรคุ้มครอง, บันทึกช่วยจำ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2551
[2] คณะกรรมาธิการด้านทรัพย์สินทางปัญญา นวัตกรรม และการสาธารณสุข หรือ CIPIH ขององค์การอนามัยโลก กรุงเจนีวา เมษายน 2549 หน้า 22 & 85
[3] "ปฏิญญาโดฮาว่าด้วยความตกลงทริปส์และการสาธารณสุข" 14 พฤศจิกายน 2544
[4] คณะกรรมาธิการด้านทรัพย์สินทางปัญญา นวัตกรรม และการสาธารณสุข หรือ CIPIH ขององค์การอนามัยโลก กรุงเจนีวา เมษายน 2549 หน้า 120
[5] "เช่นที่ได้แสดงเจตนารมณ์ในหลายๆ วาระที่ผ่านมา รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ (สภามนตรีแห่งสมาพันธรัฐ - Conseil féderal) ตระหนักถึงความสำคัญในประเด็นการเข้าถึงยาในประเทศกำลังพัฒนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงมีความยินดีที่ได้เห็นการจัดตั้งปฏิญญาโดฮาว่าด้วยความตกลงทริปส์และการสาธารณสุขขึ้น เนื่องจากเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่ประเทศกำลังพัฒนาจะได้ปฎิบัติตามมาตรการยืดหยุ่นต่างๆ ดังบัญญัติไว้ในความตกลงทริปส์เพื่ออำนวยให้เกิดการเข้าถึงยาภายในประเทศตน" รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ตอบคำถามของ Anne-Catherine Menétrey-Savary สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2545
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)