ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 2 เมษายน 2551

การเมือง

 

ชมรม สสร.50 ขู่ถอดถอน สส.

เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์/เว็บไซต์แนวหน้า - ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 1 เม.ย.ชมรมสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 50 กว่า 20 คนได้ประชุมเพื่อกำหนดทิศทางต่อการแก้รัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชน โดยมีผู้เข้าร่วมอาทิ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายคมสัน โพธิ์คง นายวัชรา หงส์ประภัตร เป็นต้น

 

โดยที่ประชุมเห็นตรงกันว่าข้อเสนอของพรรคพลังประชาชนที่มีมติให้แก้รัฐธรรมนูญจำนวน 5 มาตรา ประกอบด้วย ม.163 190 266 237 และ 309 นั้นไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อประเทศชาติ แต่เป็นความพยายามลบล้างความผิดของตัวเองเท่านั้น นอกจากนี้ยังเห็นว่าเป้าหมายที่แท้จริงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้อยู่ที่ม.266 เรื่องการแทรกแซงโยกย้ายข้าราชการ และม.237 ยกเลิกโทษยุบพรรค เท่านั้น ส่วนอีก 3 มาตราเป็นเพียงองค์ประกอบเบี่ยงเบนความสนใจของสังคมเป็นเกม "สับขาหลอก" เท่านั้น

 

นายเสรี สุวรรณภานนท์ รองประธานชมรม ส.ส.ร.50 กล่าวภายหลังการประชุมชมรม ส.ส.ร.50 ว่า ที่ประชุมพิจารณากรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลมีมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีความเห็นว่าไม่ขัดข้อง ไม่ขัดขวาง และไม่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตน ถ้าเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์ส่วนตน ผู้เสนอแก้ไข อาจถือว่ากระทำการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 270 อาจถูกยื่นถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ได้

 

ทั้งนี้ ทางชมรม ส.ส.ร.50 ได้จัดทำเอกสารแสดงความเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า ส.ส.ร. 50 มีความห่วงใย เพราะรัฐธรรมนูญ เพิ่งบังคับใช้เพียง 7 เดือนเท่านั้น แต่กลับจะมีการแก้ไขลบล้างโดยนักการเมือง เพื่อช่วยเหลือพรรคพวกของตนเองให้พ้นจากคดีความ โดยประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม จึงหวังว่า สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ตลอดจนผู้มีอำนาจทุกภาคส่วน จะร่วมกันหาทางป้องกันไม่ให้มีการละเมิดหลักนิติรัฐ ตัดตอนกระบวนการยุติธรรม หรือดำเนินการที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อป้องกันมิให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อของคนในชาติโดยเร่งด่วนที่สุด

 

มัชฌิมาฯ ยันร่วมแก้ รธน. 5 มาตรา

เว็บไซต์คมชัดลึก - เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 1 เม.ย.51 นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย เรียกประชุมสมาชิกพรรค ซึ่งมีวาระการประชุมเกี่ยวกับแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดย พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ รองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาฯ เปิดเผยว่า จากการเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับอนุกรรมการของพรรคร่วมรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้ผลว่าจะมีการแก้ในมาตรา 163 ,190, 237,266,309 เช่นมาตรา 163 เพิ่มเติมสิทธิของประชาชนในการเสนอกฎหมาย มาตรา 190 เรื่องลงนามในสนธิสัญญา มาตรา 237 เรื่องการยุบพรรค ซึ่งทุกพรรคก็เห็นด้วยว่าต้องแก้ไข เพราะจากการใช้รัฐธรรมนูญมาระยะหนึ่งก็พบว่าในมาตราต่างๆ เป็นปัญหาในการทำงาน

 

ครม.ตั้ง "พ.ต.อ.ทวี" นั่ง อ.ดีเอสไอ เต็มตัว

เว็บไซต์เดลินิวส์ - วันนี้ (1 เม.ย.) พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.วันนี้ มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. จำนวน 6 คน ประกอบด้วย นายพิศาล พิริยะสถิต นายไสว พราหมณี นายกุลพัชร์ อิทธิธรรมวินิจ นายบุญปลูก ชายเกตุ นายถวิล อินทรรักษา และนายอุดม มั่งมีศรี โดย ป.ป.ท.มีหน้าที่ทำงานตรวจสอบการทุจริตในข้าราชการระดับ 8 ลงมา นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยังมีมติแต่งตั้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ดำรงตำแหน่งเป็น อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

 

เศรษฐกิจ

 

ทุนนอก 5 แสนล้านลุยอุตฯ เหล็ก

เว็บไซต์สยามธุรกิจ - สภาพัฒน์ แจ้งเกิด Heavy Industry Complex หลังถูกดองมานานกว่าสิบปี เดินหน้าล็อกสามตัวเลือก สุราษฎร์ธานี-ชุมพร-นครศรีธรรมราช หวังลดการนำเข้าเหล็ก ปีละกว่า 3 แสนล้านบาท บีโอไอยอมรับมีนักลงทุนต่างชาติ สนใจหลายรายรวมมูลค่าลงทุนกว่า 5 แสนล้าน ด้านอดีต เจ้าพ่อวงการเหล็ก "สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง" เป็นห่วง SMEs ไทย สูญพันธุ์ ขณะที่ 14 หอการค้าภาคใต้เรียกประชุมด่วน ทำหนังสือถึงนายกฯ ไม่เอาเซาเทิร์น ซีบอร์ด

 

รัฐฉีด 6.6 แสนล.กระตุ้น ศก.

ผู้จัดการรายวัน - นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการเงินทุนเพื่อประชาชนและเศรษฐกิจฐานราก รวม 6 มาตรการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งจะช่วยสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้ลดค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนระดับฐานรากจนถึงระดับกลาง และเป็นมาตรการเสริมร่วมกับมาตรการอื่นที่ออกไปแล้วและกำลังจะออกใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมั่นคง โดยเงินที่นำมาใช้มีทั้งเงินจากงบประมาณและเงินจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ

 

ทั้งนี้ธนาคารของรัฐ 3 แห่งคือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสินและธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีเป้าหมายปล่อยสินเชื่อเพื่อประชาชนและเศรษฐกิจฐานราก ในปี 51 รวม 569,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 14.8% นอกจากนี้ยังมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่นที่ต้องการปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สนับสนุนการส่งออกและอื่นๆ อีก 94,915 ล้านบาท รวมเป็นสินเชื่อของระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 8 แห่ง 664,615 ล้านบาท

 

นายประดิษฐ์ กล่าวว่า มาตรการทั้ง 6 มาตรการได้แก่ 1.การพักหนี้ให้กับเกษตรรายย่อยและยากจนที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) และมีหนี้ไม่เกินรายละ 1 แสนบาท จำนวน 336,633 ราย เป็นเวลา 2 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.51-31 มี.ค. 53 โดยรัฐบาลจะชดเชยภาระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 4,074 ล้านบาท ภายใน 2 ปี

 

2.การเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการลงทุนประกอบธุรกิจมีโอกาส ผ่านโครงการธนาคารประชาชน ของธนาคารออมสิน ที่ได้เตรียมสินเชื่อไว้ 5,000 ล้านบาท โดยลดดอกเบี้ยเงินกู้จาก 1% ต่อเดือนลงแบบขั้นบันไดปีละ 0.25% หากเป็นลูกค้าที่ดี คาดว่าจะมีประชาชนได้รับประโยชน์มากถึง 1 ล้านราย

 

3.มาตรการโครงการบ้านธอส.เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีบ้านเป็นของตนเอง โดย ธอส.จะปล่อยสินเชื่อให้ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7 ปี 4% และดอกเบี้ยคงที่ 10 ปี 4.5% กำหนดให้ผู้ขอสินเชื่อต้องมีรายได้ไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท วงเงินรายละไม่เกิน 6 แสนบาท

 

4.มาตรการเพิ่มเงินทุนและการจัดการเรียนรู้ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โดยจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านฯ สำหรับหมู่บ้านที่ตั้งใหม่ภายในเดือน ธ.ค.50 อีก 1,600 แห่ง โดยใช้วงเงินกู้เดิมจากธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.ที่ยังเหลืออยู่ 7,769.61 ล้านบาท ขณะเดียวกันธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ได้เตรียมสินเชื่อเพิ่มเพื่อนำไปต่อยอดให้แก่กองทุนหมู่บ้านฯอีก 4,000 ล้านบาท และ 16,000 ล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งจะให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือเพื่อยกระดับเป็นสถาบันการเงินชุมชนที่ถาวรต่อไป

 

5.มาตรการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (เอสเอ็มแอล) ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นมาตรการที่ 5 นั้นจะใช้เงินจากงบประมาณ 40,000 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี (51-53) แบ่งเป็นปีแรก 10,000 ล้านบาท ปีที่ 2 จำนวน 20,000 ล้านบาท และปีที่ 3 อีก 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้คนไทยได้รับประโยชน์ 40 ล้านคน โดยครม.ได้กำหนดเงื่อนไขการพิจารณาโครงการที่ขอรับงบประมาณ กำหนดกลไกสำหรับเบิกจ่ายโดยต้องเปิดบัญชีของธนาคารออมสิน, ธ.ก.ส.หรือธนาคารกรุงไทย และให้บันทึกการเบิกจ่ายการติดตามผลในระบบจีเอฟเอ็มไอเอฟ เพื่อให้โปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

6.มาตรการสินเชื่อเพื่อเกษตรกรของธ.ก.ส.ที่มีเป้าหมายปล่อยสินเชื่อในปีบัญชี 51 จำนวน 325,000 ล้านบาท ผ่านโครงการสำคัญอย่างสินเชื่อเพื่อปลูกพืชพลังงานทดแทน, สินเชื่อส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อผลิตไบโอดีเซล การปลูกมันสำปะหลังเพื่อผลิตเอทานอลแก่เกษตร 2 แสนราย และสินเชื่อธุรกิจชุมชน เป็นต้น

 

คุณภาพชีวิต

 

รัฐขายข้าวถุงอุ้มคนรายได้ต่ำ ยุชาวนาเลิกสต็อก

เว็บไซต์คมชัดลึก/เว็บไซต์ไทยโพสต์ - นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ครม.เห็นชอบแผนกระจายข้าวสารคงเหลือในสต็อกของรัฐบาล เพื่อลดภาระให้ประชาชนที่มีรายได้น้อย ด้วยการนำข้าวในสต็อกของรัฐที่เหลืออยู่ 2.1 ล้านตัน จัดสรรบางส่วนเพื่อจำหน่ายราคาต่ำกว่าท้องตลาด โดยจะขายเฉพาะข้าวขาว 5% ในราคาต้นทุนผ่านหน่วยงานของรัฐ ซึ่งผู้ซื้อต้องแสดงทะเบียนบ้าน เพื่อป้องกันการเวียนเทียนซื้อกักตุนไว้จำหน่าย ส่วนราคาและปริมาณที่นำออกจำหน่ายจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในเร็วๆ นี้

 

นายมิ่งขวัญกล่าวด้วยว่า ผลผลิตข้าวที่ออกมาน่าจะเพียงพอกับการบริโภคในประเทศ หากมีแนวโน้มว่าข้าวในประเทศจะไม่เพียงพอ รัฐบาลอาจเข้าไปดูแลการส่งออกข้าว โดยกระทรวงพาณิชย์จะดูแลการส่งออกข้าวทุกเดือน ขณะนี้ยอมรับว่า แนวโน้มยังอยู่ในมาตรฐานการส่งออกที่สูง ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ส่งออกข้าวไปขายยังต่างประเทศเดือนละประมาณ 1 ล้านตัน ทั้งนี้ จากราคาข้าวที่สูงขึ้นมากในขณะนี้ น่าจะเป็นจังหวะที่เกษตรกรขายข้าวได้แล้ว เพราะหากเก็บไว้ราคาข้าวอาจจะตกลงก็ได้ เนื่องจากข้าวฤดูกาลใหม่กำลังจะออกมาอีกกว่า 4 ล้านตัน รวมถึงไม่แน่ใจว่าประเทศคู่แข่งขันทางด้านการส่งออกข้าวจะสามารถส่งออกข้าวได้มากขึ้นกว่าฤดูกาลที่ผ่านมาหรือไม่หลังจากที่มีปัญหา

 

ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาข้าวหอมมะลิข้าวเปลือกอยู่ที่ 1.6-1.7 หมื่นบาทต่อตัน ส่วนข้าวสารส่งออกอยู่ที่ 3 หมื่นบาทต่อตัน และหากเป็นข้าวขาว ถ้าเป็นข้าวเปลือกจะอยู่ที่ 1.2-1.3 หมื่นบาทต่อตัน และมีราคาส่งออก ข้าวสารอยู่ที่ 2.25 หมื่นบาทต่อตัน

 

"นักศึกษา"โวยกฎหมายคนพิการ ปัดบรรจุครูพิเศษ

เว็บไซต์สยามรัฐ - ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิตเมื่อวันที่ 1 เม.ย.51 นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวบรรยายพิเศษเรื่องนโยบายจัดการศึกษาพิเศษตอนหนึ่งกล่าวว่า พ.ร.บ.การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ.2551 ได้กำหนดให้ครูการศึกษาพิเศษในทุกสังกัด มีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษตามที่กฎหมายกำหนด และให้ครูการศึกษาพิเศษ ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ และทักษะในการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ

 

จากข้อกำหนดดังกล่าว ทำให้นักศึกษาที่เรียนหลักสูตร 5 ปี โปรแกรมการศึกษาพิเศษ จะไม่ได้รับค่าตอบแทนพิเศษในจุดนี้ เพราะครูพิเศษ หมายถึงครูที่มีวุฒิทางการศึกษาพิเศษสูงกว่าระดับปริญญาตรี และปฏิบัติหน้าที่ในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ส่วนจะได้รับการบรรจุเป็นครูหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าโรงเรียนต้องการครูหรือไม่

 

เลขาธิการ กกอ.กล่าวต่อว่า คาดว่าในอนาคตนักศึกษาพิการ จะเพิ่มมากขึ้น เพราะสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดโอกาสนักเรียนพิการเข้าเรียนมากขึ้น สกอ.จึงได้เสนอตั้งคำของบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2551 จำนวน100 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการในระดับอุดมศึกษาอย่างเต็มที่

 

ด้าน รศ.สุดารัตน์ ชุณหคล้าย ผอ.ศูนย์การศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม กล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว สร้างความวิตกกังวลให้กับนักศึกษาหลักสูตร 5 ปี โปรแกรมการศึกษาพิเศษ เพราะไม่สามารถบรรจุเป็นครูการศึกษาพิเศษได้ ถ้าเด็กไม่ได้อบรมที่คุรุสภาจัดให้ 13 วัน กับหนังสือ 2 เล่ม ก็สามารถเป็นครูการศึกษาพิเศษได้มีสิทธิเท่าเทียมครูการศึกษาพิเศษที่จบ ป.โท หรือเอก ซึ่งจุดนี้ถือว่าไม่ยุติธรรมอย่างมาก

 

สทศ.นัด7เมษา3ทุ่มตรง ประกาศผลโอเน็ต "50

เว็บไซต์สยามรัฐ - นางอุทุมพร จามรมาน ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ชี้แจงว่า สทศ.จะประกาศผลสอบโอเน็ต สำหรับชั้น ม.6 ในวันที่ 7เม.ย.นี้ เวลา 21.00น.จากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 6เม.ย. เนื่องจากพบว่ามีนักเรียนประมาณ 2-3 คน ที่ ลายเซ็นที่เซ็นในกระดาษที่เตรียมไว้กับในกระดาษคำตอบไม่เหมือนกัน จึงต้องตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ากระดาษคำตอบเป็นของเด็กที่เข้าสอบจริงๆ และในการประกาศผลของนักเรียน ม.6 จะต้องประกาศ 100% ไม่มีใครตกหล่น ทั้งนี้มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาเว็บไซด์ล่ม เพราะ สทศ.ได้ประสานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อร่วมประกาศผลรวม 20 กว่าแห่ง

 

ผอ.สทศ.กล่าวต่อว่า ขณะนี้ สทศ.ได้ร่วมกับสมาคมคอมพิวเตอร์นานาชาติเอซีเอ็ม สาขาประเทศไทย (ACM) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทดสอบมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 2 แก่ครูผู้สอนโดยสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.niets.or.th จนถึงวันที่20 พ.ค.51

 

สธ.สั่งทั่วประเทศระงับ "ตัดไข่"

เว็บไซต์คมชัดลึก/เว็บไซต์แนวหน้า - เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 1 เมษายน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสถานพยาบาล แถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการสถานพยาบาล ครั้งที่ 4/2551 ซึ่งมีการพิจารณาในประเด็นสำคัญ คือ กรณีที่สถานพยาบาลมีการให้บริการตัดลูกอัณฑะกับเยาวชนชายว่า ในที่ประชุมมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างมาก พร้อมมีมติดำเนินการดังนี้ คือ ให้มีหนังสือถึงแพทยสภาเพื่อให้ดำเนินการพิจารณาเรื่องจรรยาบรรณด้านวิชาชีพ และทำหนังสือถึงกฤษฎีการให้ช่วยพิจารณาแง่มุมกฎหมายว่า การตัดอัณฑะนี้มีความผิดทางอาญาหรือไม่ เพราะแม้ว่าผู้รับบริการจะเต็มใจ แต่เป็นการทำให้ผู้อื่นพิการ เพราะเป็นการสูญเสียอัณฑะทำให้ความสามารถสืบพันธ์สิ้นสุดลง และยังเป็นอันตรายผู้รับบริการ

 

และให้ผู้อนุญาตสถานประกอบการ คือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สั่งการให้ผู้ประกอบการสถานพยาบาลทั่วประเทศระงับการให้บริการในลักษณะนี้ จนกว่าแพทยสภาจะมีมติสรุปความเห็นเกี่ยวกับจรรยาบรรณแพทย์ในการให้บริการเช่นนี้ และจนกว่าจะมีมติคณะกรรมการสถานพยาบาลสั่งการออกไป โดยคณะกรรมการฯ จะนำเสนอต่อปลัดกระทรวง เพื่อให้ออกคำสั่งและจะมีมีผลตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.เป็นต้นไป

 

นพ.พิพัฒน์กล่าวอีกว่า หากยังพบสถานบริการให้บริการจะเข้าข่ายความผิดมาตรา 49 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานมีโทษ ตามมาตรา 50 สั่งปิดสถานพยาบาลชั่วคราว หรือมาตรา 51 เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ คำสั่งดังกล่าวจะมีผลจนกว่าแพทยสภาจะมีมติในเรื่องจริยธรรมในการดำเนินการทางการแพทย์ รวมทั้งมติจากคณะกรรมการสถานพยาบาลอีกครั้ง

นพ.ธารา ชินะกาญจน์ ผู้อำนวยการกองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ได้ทำหนังสือไปยัง นพ.เทพ เวชวิสิษฐ์ เจ้าของคลินิกประตูน้ำการแพทย์ ให้ส่งเอกสารหลักฐานเวชระเบียนทั้งหมด เนื่องจากการที่ นพ.เทพ ให้สัมภาษณ์ว่ามีการผ่าตัดอัณฑะไปแล้ว 500 ราย

 

คค.คุมเข้มสงกรานต์ตั้งเป้าลดอุบัติเหตุ 10%

เว็บไซต์สยามธุรกิจ - นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายนนี้ ว่า สงกรานต์ปีนี้คาดว่าจะมีประชาชน เดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน จึงได้สั่งการให้บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เพิ่มเที่ยววิ่งของรถโดยสารวันละ 5,432 เที่ยว เพื่อให้สามารถ รองรับประชาชนเดินทางได้กว่า 900,000 คน ขณะที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้สั่งการให้เพิ่มขบวนรถพิเศษ วันละ 12 ขบวน เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ไม่น้อยกว่าวันละ 110,000 คน ส่วนการให้บริการของสายการบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะมีการเพิ่ม เที่ยวบินพิเศษภายในประเทศ เพื่อรองรับ ผู้โดยสารได้วันละ 170,000 คน โดยเฉพาะ เส้นทางบินไปยังจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต

 

ส่วนองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในระหว่างวันที่ 11-12 เมษายน ให้มีการเพิ่มความถี่ของเที่ยวรถ เฉลี่ยวันละ 8,100 เที่ยววิ่ง และระหว่างวันที่ 16-17 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนเดินทางกลับ จะมีการเพิ่มเที่ยววิ่งเป็นวันละ 8,130 เที่ยววิ่ง นอกจากนี้ ขสมก.จะนำรถยูโรทูมาให้บริการการเดินทางในจังหวัดใกล้เคียง เช่น จากกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยา, กรุงเทพฯ-สระบุรี และกรุงเทพฯ-กำแพงแสน เพื่อเสริมการให้บริการของ บขส.ด้วย นอกจากนี้ให้กรมทางหลวงยกเว้นค่าผ่านทางบนทางหลวง พิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมาย เลข 7 และ 9 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ของวันที่ 10 เมษายน ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 16 เมษายน และให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท หยุดงานก่อสร้างเขตทางและคืนผิวจราจรให้แก่ประ ชาชนผู้ใช้ทางได้รับความสะดวกในการเดินทางช่วงเทศกาลด้วย

 

นายสันติ กล่าวต่อว่า เรื่องการดูแล ด้านความปลอดภัยนั้น ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตรารักษาความปลอดภัยในสถานีขนส่ง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ โดยกระทรวงคมนาคมได้กำหนดเป้าหมายลดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บลง ที่เกิดกับรถสาธารณะลงให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของปีที่ผ่านมา

 

ต่างประเทศ

 

หวั่นข้าวแพงจุดจลาจลทั่วเอเชียคนฮ่องกงแห่ตุนข้าวเกลี้ยงร้าน

เว็บไซต์คมชัดลึก - นักเคลื่อนไหวในฟิลิปปินส์ เตือนเมื่อวันอังคาร (1 เม.ย.) ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดจลาจลจากสถานการณ์ราคาข้าวที่ทะยานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางความวิตกว่าราคาข้าวจะทะยานเพิ่มอีกถึงร้อยละ 40 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

รายงานข่าวเผยว่า ปรากฏการณ์ข้าวแพงทำให้เกิดกระแสประท้วงขึ้นแล้วในฟิลิปปินส์ หลังจากที่ประชาชนต้องซื้อข้าวแพงถึงกิโลกรัมละ 40-50 เปโซ (30-40 บาท) ขณะที่รัฐบาลได้ขอให้ประชาชนบริโภคข้าวที่เหลืออยู่กันอย่างประหยัด ส่วนรองผู้อำนวยการองค์การอาหารแห่งชาติของฟิลิปปินส์ได้บรรเทาความวิตกว่า ยังมีข้าวที่สั่งซื้อมาจากไทยและเวียดนามเก็บสำรองไว้อย่างเพียงพอ แถมประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย ยังสั่งข้าวเพิ่มจากเวียดนามอีก 1.5 ล้านตัน และสั่งดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับพวกที่กักตุนเก็งกำไร

ขณะเดียวกัน สื่อฮ่องกงรายงานว่า ประชาชนพากันแห่ซื้อข้าวสาร และสินค้าต่างๆ ตุนไว้ ท่ามกลางความวิตกเรื่องราคาอาหารสูงขึ้น จนข้าวในซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ หมดเกลี้ยง ขณะที่โฆษกกรมอุตสาหกรรมและการค้าฮ่องกงแถลงยืนยันว่า ทางการมีการจัดสำรองข้าวในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ

 

ส่วนที่กัมพูชา นายกรัฐมนตรีฮุน เซน สั่งห้ามส่งออกข้าวตั้งแต่วันพุธที่แล้ว เพื่อควบคุมราคาข้าวภายในประเทศที่กำลังพุ่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับที่เวียดนามที่ทั้งผู้ส่งออกและเกษตรกรต่างก็กำลังกักตุนข้าว ขณะที่ราคาข้าวในบังกลาเทศพุ่งขึ้นเป็น 2 เท่าในปีนี้ แต่ยังไม่เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินเดียเผยว่า ได้ขยายระยะเวลาห้ามส่งออกธัญพืช และข้าวทุกชนิด ยกเว้นข้าวบาสมาติ พร้อมหั่นภาษีนำเข้าน้ำมันที่สามารถบริโภคได้ทุกประเภท อันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่ทะยานแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน ช่วงกลางเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ขณะที่จีนกับเกาหลีใต้เผยว่ายังมีข้าวบริโภคเพียงพอ

 

ขณะเดียวกัน ธนาคารโลกได้ออกรายงานครึ่งปีว่าด้วยเอเชียตะวันออกระบุว่า สถานการณ์ราคาอาหารและเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น กำลังเป็นปัญหาท้าทายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออก ยิ่งกว่าปัญหาวิกฤติการเงินในสหรัฐที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกในขณะนี้ โดยนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกเตือนว่า ราคาสินค้า เช่น ข้าว อาหาร และน้ำมันจะยังคงสูงขึ้นในระยะยาว รัฐบาลจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินมาตรการอย่างเหมาะสมในการแบ่งเบาภาระของคนยากจน นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกยังเตือนด้วยว่า มาตรการ เช่น การควบคุมราคาสินค้าอาจช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้เพียงระยะสั้น แต่อาจส่งผลเสียในระยะยาว

 

 "บุช"หนุนยูเครนเป็นสมาชิกนาโตสุดตัว

เว็บไซต์สยามรัฐ - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐฯ ประกาศให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อยูเครน ในการเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโค โดยการประกาศครั้งนี้ มีขึ้นในระหว่างที่ประธานาธิบดีบุช เดินทางเยือนกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ในวันอังคารนี้ พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังได้หารือร่วมกับนายวิกเตอร์ ยูชเชนโก ประธานาธิบดีของยูเครนด้วยนอกจากนี้ ประธานาธิบดีบุช ยังระบุด้วยว่า ตนจะหยิบยกเรื่องการสนับสนุนยูเครนเป็นสมาชิกนาโตนี้ ในการหารือกับกลุ่มชาติพันธมิตรที่โรมาเนียช่วงสัปดาห์นี้ต่อไป

 

รายงานข่าวแจ้งว่า ทางการรัสเซียได้คัดค้านอย่างเต็มที่ ต่อกรณีที่กลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออก เข้าเป็นสมาชิกของนาโต โดยนายกริกอรี คาราซิน รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า การที่ยูเครนจะเข้าเป็นสมาชิกนาโต ก็จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เพิ่มความร้าวฉานหนักขึ้น

 

พร้อมกันนี้ นายคาราซิน ยังระบุด้วยว่า ยูเครนสมควรทำหน้าที่เป็นรัฐกันชนระหว่างยุโรปตะวันตกกับรัสเซียมากกว่า

 

น้ำมันโลกดิ่งรูด $4 หลังเหตุปะทะอิรักลดลง

ผู้จัดการรายวัน - ราคาน้ำมันดิบลดลงเมื่อวันจันทร์ (1 เม.ย.) ท่ามกลางกระแสความกังวลระลอกใหม่เกี่ยวกับภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก ตลอดจนผลกระทบต่อดีมานด์พลังงาน และสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เหตุสู้รบในอิรักซึ่งปะทุตั้งแต่วันอังคารที่แล้ว (25 มี.ค.) ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 320 คน อาจจะยุติลงได้ในไม่นานนี้ หลังสมาชิกกลุ่มอิสลามิสต์"กองทัพมะห์ดี" ยอมถอนกำลังตามคำสั่งของม็อกตอดา อัลซาดร์ นักการศาสนาหัวรุนแรงชาวชีอะห์ ผู้นำขบวนการ

 

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบไลท์สวีตครูด สำหรับส่งมอบเดือนเมษายน ที่ตลาดไนเม็กซ์ในนครนิวยอร์กมีราคาลดลง 4.04 ดอลลาร์ มาปิดที่ 101.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนต์ สำหรับส่งมอบเดือนพฤษภาคม ที่ตลาดในลอนดอนมีราคาดิ่งลงมา 3.47 ดอลลาร์ มาปิดที่ 100.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีความผันผวนมาก สืบเนื่องจากหลายปัจจัยต่อสู้กันอยู่ได้แก่ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนการที่เงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลงไปอีกเมื่อเทียบกับเงินยูโร และความหวั่นวิตกที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยระหว่างช่วงซื้อขายราคาน้ำมันดิบไลท์สวีตครูดได้แกว่งตัวอย่างรุนแรงระหว่าง 100.25 ดอลลาร์ ถึง 106.78 ดอลลาร์

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท