Skip to main content
sharethis


31 มี.ค.51-โรงแรมเดอะแกรนด์ ถ.รัชดาภิเษก  สมาพันธ์ประชาธิปไตย และองค์กรภาคประชาชน จัดเสวนาระดมความคิดเห็นเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 โดยมีตัวแทนพรรคการเมือง อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ปี 2540 อดีต ส.ว. - ส.ส. อาทิ นางพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและโฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายคำนวณ ชโลปถัมภ์ อดีตประธานกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนของวุฒิสภาและอดีตนายกสภาทนายความ นายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร.ปี 2540 นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ เป็นตัวแทนพรรคพลังประชาชน และองค์กรภาคประชาชน 30 แห่ง อาทิ นพ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตยและอดีตแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) รุ่น 1 นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ประธานกลุ่มเพื่อนรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และอดีตแกนนำ นปก.รุ่น 1 นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย แกนนำแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการ (นปช.) และนายพงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา เลขาธิการสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ร่วมเสวนา

 



โดยในการเสวนามี นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ที่ปรึกษาสมาพันธ์ประชาธิปไตย เป็นประธานประชุมระดมความเห็น ซึ่งมีขอผู้เข้าร่วมประชุมจากตัวแทน 35 องค์กร จาก 8 กลุ่ม คือ นักวิชาการอิสระ องค์กรประชาธิปไตย องค์กรประชาชน อดีต ส.ส.ร. อดีต ส.ส. - ส.ว. พรรคการเมือง ผู้ใช้แรงงาน และตัวแทนนิสิตนักศึกษา กว่า 100 คน ลงมติว่าเห็นด้วยกับการแก้ไข รธน. ปี 50 หรือไม่ ซึ่งปรากฏว่า ผู้เข้าร่วมประชุม รวมทั้ง นายพงษ์เทพ นายคณิน และสมาชิกพรรคพลังประชาชนต่างยกมือโหวตเสียงเอกฉันท์ให้แก้ รธน.ปี 50 โดยมีเพียงผู้ร่วมประชุมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ยกมือเห็นด้วยกับการแก้ รธน. ปี 50 นอกจากนี้ นพ.สันต์ ประธานที่ประชุม ยังขอเสียงที่ประชุมในคำถามว่า ต้องการให้มีการแก้ไข รธน. ปี 50 บางมาตรา หรือแก้ทั้งฉบับ ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดยกมือลงมติแก้ไขบางมาตรา แต่เมื่อขอเสียงลงมติ แก้ไขทั้งฉบับปรากฏว่าผู้ร่วมประชุมทั้งหมดยกมือเป็นเอกฉันท์ให้แก้ไขทั้งฉบับ และเมื่อถึงคำถามสุดท้ายว่าในการแก้ไข รธน.จะให้ใช้ รธน.ปี 40 เป็นตัวตั้ง และให้แก้ไข รธน.ปี 50 ที่ไม่ถูกต้อง หรือให้ยึด รธน.ปี 50 เป็นตัวตั้งแล้วแก้ในส่วนที่บกพร่อง ซึ่งที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ใช้ รธน.ปี 40 ขณะที่นายพงษ์เทพ ไม่ร่วมออกเสียงยกมือโหวต


 



ส่วนมาตรการเคลื่อนไหวแก้ รธน.นั้น นพ.เหวง เสนอว่า 1.รวบรวมรายชื่อ 50,000 ชื่อ เสนอร่างแก้ไข รธน.เพิ่มเติม ให้มี 3 มาตรา โดยกำหนดให้ยกเลิก รธน.ปี 50 แล้วให้นำ รธน.ปี 40 มาใช้ 2.ผลักดันพรรคพลังประชาชน และรัฐสภาเป็นผู้นำขับเคลื่อนแก้ รธน. นอกจากนี้ยังมีการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อเคลื่อนไหวการแก้ รธน.ของภาคประชาชนด้วย โดยเชิญนักวิชาการ และนายคณิน ร่วมเป็นกรรมการ และเสนอให้นายจรัล ดิษฐาอภิชัย เป็นประธานชั่วคราว ทั้งนี้จะมีการนัดประชุมเพื่อเลือกคณะกรรมการภายในวันพรุ่งนี้ (1 เม.ย.) เวลา 13.00 น. ที่มูลนิธิดวงประทีป นอกจากนี้จะเปิดตัวคณะกรรมการขับเคลื่อนแก้ไข รธน.ในวันที่ 4 เม.ย.นี้ เพื่อวางแผนเคลื่อนไหวในสถานศึกษาทั่วประเทศ และจัดเวทีพบประชาชนทั่วประเทศ


 



3.ผลักดันรัฐสภาให้แก้ รธน. พร้อมจัดให้มีการปราศรัยใหญ่ กทม. และทั่วประเทศ เพื่อให้ความรู้ประชาชน และให้ประชาชนมีส่วนร่วมเสนอประเด็นแก้ รธน. ขณะที่ รัฐบาลไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ควรทำหน้าที่แก้ปัญหาประเทศและเป็นเพียงผู้สนับสนุนว่าจะแก้ไข รธน.เท่านั้น และไม่ขอสนับสนุนวิธีการรวบรวมรายชื่อประชาชน 50,000 ชื่อเพราะเป็นการเสียเวลา


 



นายพงษ์เทพ กล่าวถึงข้อบกพร่องของ รธน.ปี 50 ว่า มีมาก ซึ่งเนื้อหาใน รธน.ปี 50 ไม่เป็นประชาธิปไตย เหมือนฉบับปี 40 เพราะบรรยากาศการยกร่าง รธน.แตกต่างกัน ซึ่งปี 2540 การยกร่าง รธน.บรรยากาศเป็นไปเพื่อปฏิรูปการเมืองและเพื่อประชาธิปไตย ขณะที่ ปี 2550 คณะผู้ร่าง ยกร่าง รธน.เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่ง และคณะที่แต่งตั้งผู้ยกร่างขึ้นมา โดยเนื้อหาที่เห็นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย อาทิ กระบวนการได้มาของ ส.ว. ที่ให้มี ส.ว.เลือกตั้ง 76 จังหวัดๆ ละ 1 คน ทั้งที่พื้นที่ กทม. มีประชากรหลายล้านคนกลับเลือกตัวแทน เป็น ส.ว.ได้เพียงเดียว ขณะที่จังหวัดซึ่งมีประชากรน้อยกว่าสามารถเลือกตัวแทน ส.ว.ได้ 1 คนเหมือนกัน แล้ว ส.ว.ในส่วนของการสรรหา กลับให้คณะบุคคล 7 คน เป็นผู้เลือกเข้ามาโดยไม่มีมาตรฐานในการสรรหา และการสรรหาก็คัดเลือกจากคนที่คณะกรรมการสรรหาเคยเห็นหน้าเห็นตากันอยู่เท่านั้น หรือไม่ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับบุคคลที่เป็นคณะกรรมการสรรหาเอง ซึ่งส่วนตัวแม้เป็น 1 ในคนบ้านเลขที่ 111 ซึ่งไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปร่วมแก้ไข รธน. แต่เห็นว่าเมื่อเราเคยใช้ รธน.ปี 40 มาจนรู้ว่าส่วนใดบกพร่อง ขณะที่ รธน.ปี 50 เมื่อยิ่งถูกนำมาใช้ก็ยิ่งเห็นข้อบกพร่อง ดังนั้นในการแก้ไข รธน. ควรที่จะนำ รธน. ปี 40 เป็นหลักในการพิจารณาแก้


 



ด้านนายคณิน กล่าวว่า เวลานี้ไม่ว่าจะแก้ หรือไม่แก้ รธน.ก็ยุ่ง เพราะมีทั้งกลุ่มที่ต้องการให้แก้ และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่กลุ่มไม่เห็นด้วยที่จะให้รัฐบาลพลังประชาชน แก้ไข รธน.ที่มีการเสนอแก้มาตรา 237 นั้น โดยมีผู้ยกร่าง รธน.ปี 50 ออกมาอ้างว่า มาตรา 237 ใน รธน.ปี50 เป็นการต่อยอดจาก รธน.ปี 40 นั้น ตนในฐานะที่เป็นผู้ยกร่าง รธน. ปี 40 ยืนยันว่า มาตรา 237 วรรคสอง และมาตรา 68 วรรคสี่ ไม่เคยมีปรากฏใน รธน.ปี 40 มาก่อน และไม่ใช่เนื้อหาที่เป็นส่วนต่อยอดมาจาก ปี 40 อย่างแน่นอน แต่มาตรา 237 วรรคสอง เป็นผลพวงมาจากการต่อยอดจาก มาตรา 35 ใน รธน.ฉบับชั่วคราวปี 2549 และประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 ที่คณะรัฐประหารให้อำนาจตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่ศาล พิจารณายุบพรรค และให้ลงโทษด้วยการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี นี่คือเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของคณะรัฐประหารที่แต่งตั้งคณะผู้ยกร่าง รธน.ปี 50 เพื่อต้องการสกัดกั้นทุกวิถีทางไม่ให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่เป็นปรปักษ์เข้ามามีส่วนในประชาธิปไตย แต่พยายามให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มเข้ามาบริหารปกครองเพื่อสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหาร แต่หลังเลือกตั้งเกิดเป็นปรากฏการณ์ผิดฝาผิดตัวคือ พรรคพลังประชาชน ได้รับเลือกกลับเข้ามาและได้จัดตั้งรัฐบาล


 



นายคณิน กล่าวด้วยว่า นอกจากเนื้อหาที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว รธน. ปี 50 ยังได้มีบทเฉพาะกาลที่เป็นข้อเสียอย่างมาก โดยเฉพาะมาตรา 309 และการยกร่างให้ต่ออายุผู้พิพากษา อัยการ ถึง 70 ปี การให้ กกต. และ ป.ป.ช .ซึ่งถูกแต่งตั้งในยุครัฐประหาร ทำงานได้จนครบวาระ จึงถือว่าเป็นการยกร่างเพื่อประโยชน์คนบางกลุ่ม และมีลักษณะ จตุมาตยาธิปไตย ที่ให้อำนาจขุนนาง อำมาตยาธิปไตย กลับเข้ามา โดยดึงอำนาจตุลาการเข้ามาร่วมด้วย ขณะที่ รธน.ปี 40 นั้นถือได้ว่าถูกเขียนด้วยมือ แต่กลับถูกลบด้วยเท้า ถูกฉีก ถูกข่มขืนตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. 49 ทั้งที่ไม่รู้ว่า รธน.ผิดอะไร โดยคณะรัฐประหารแต่งตั้งคณะบุคคลยกร่างขึ้นมาแล้วจะให้มีการลงประชามติถือเป็นเพียงพิธีการเท่านั้น ดังนั้นที่เรียกว่า รธน.ปี 50 ฉบับลงประชามตินั้นคงไม่ใช่ แต่แท้ที่จริงคือฉบับ คถช. หรือฉบับคลุมถุงชนมากกว่า ดังนั้นทางออกของประเทศที่ดีที่สุดคือยกเลิก รธน.ปี 50 และนำ รธน.ปี 40 ที่เขียนด้วยมือ มาต่อยอด


 



ด้านนายสุขุมพงศ์ กล่าวยืนยันว่า พรรคจะผลักดันแก้ รธน.ไม่ว่าจะมีผู้ไม่เห็นด้วย ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุด โดยหลังจากการปฏิรูปการปกครอง ปี 2457 แล้ว เรามี รธน.จนถึงฉบับปี 50 รวม 18 ฉบับ แต่มี รธน.ที่ประชาชนมีส่วนร่วมเพียง 3 ฉบับเท่านั้น คือ ปี 2489 แต่ก็สามารถใช้ได้เพียง 1 ปี 2 เดือน รธน.ฉบับปี 2517 ซึ่งถือว่าดีที่สุดหลังจากเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 แต่ก็ใช้ได้เพียง 1 ปี 3 เดือน และปี 2540 ที่ใช้ได้นานถึง 9 ปีเศษ ขณะที่ รธน. ฉบับอื่นอีก 15 ฉบับนั้นประชาชนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเลย ดังนั้นเวลานี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะต้องแก้ รธน.ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ให้เป็นประชาธิปไตยและเป็นไปเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง


 



ขณะที่นายพงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา เลขาธิการ สนนท. เสนอว่า การแก้ไข รธน.จะต้องเน้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นจริงๆ โดยเฉพาะการจัดให้มีการเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ และนายอำเภอ นอกจากนี้ จะต้องยกเลิกส่วนที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งคำสั่งการแต่งตั้งคณะบุคคลและประกาศต่างๆ ของ คปค. รวมทั้งคำสั่งต่างๆ ของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาที่มาจากการรัฐประหาร โดยสมควรยกเลิก รธน.ปี 50 ทั้งฉบับ


 


 


 


ที่มา: http://www.komchadluek.net


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net