เชฟระดับโลกเมินร่วมโปรเจกต์ 'ขายความจน' กับโรงแรมหรูในไทย (20 มีนาคม 2551)
เชฟ "ฌอง-มิเชล โลแร็ง" กับวัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหาร สำหรับงานกาล่าดินเนอร์ มื้อละ 1 ล้านบาท "Epicurean Masters of the World" ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพ, โรงแรมเลอบัว เมื่อวันที่ 6-11 ก.พ.2550 (ภาพจาก AP) | หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนรายงานว่า เชฟชาวฝรั่งเศส 3 ราย ขอถอนตัวจากงานกาล่าดินเนอร์ซึ่งจะจัดขึ้นที่ "โีรงแรมเลอบัว" สเตททาวเวอร์ กรุงเทพ ในวันที่ 5 เมษายน 2551 โดยให้เหตุผลว่า การจัดงานดังกล่าว "เป็นประเด็นล่อแหลมและไม่เหมาะสม" เพราะแขกที่ได้รับเชิญมาร่วมงานจะต้องเป็น "มหาเศรษฐี" เท่านั้น และทางโรงแรมจะพามหาเศรษฐีไปเยี่ยมชม "ชีวิตความเป็นอยู่" ของผู้คนในชนบท เพื่อเรียนรู้ถึง "ความยากจน" ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคหนึ่งของประเทศไทย (ในที่นี้คือ จังหวัดสุรินทร์) หลังจากนั้นแขกผู้มีเกียรติจะได้กลับมาดื่มด่ำกับอาหารเลิศรส ซึ่งทางโรงแรมจัดให้เป็นของสมนาคุณ นายดีภัค โอหริ ผู้บริหารของโรงแรมเลอบัวให้สัมภาษณ์ว่า การจัดงานกาล่าดินเนอร์ครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือคนยากจน เพราะมหาเศรษฐีที่มาร่วมงานต้องบริจาคเงิน หรือร่วมสมทบทุนเพื่อสร้างสาธารณูปโภคให้กับประชาชนที่ยากจนในประเทศไทยเป็นการตอบแทนสำหรับอาหารชั้นเลิศและที่พัก 1 คืนในโรงแรมระดับ 5 ดาว แต่ นายอแล็ง โซลิแวร์, นายฌอง-มิเชล โลแร็ง และนายมิเชล ทรามา ซึ่งเป็นเชฟที่มีชื่อเสียงระดับโลก และได้รับเชิญให้มาปรุงอาหารสำหรับงานกาล่าดินเนอร์ของโรงแรมเลอบัว ขอถอนตัวจากงานดังกล่าว หลังจากที่สื่อมวลชนในฝรั่งเศสโจมตีว่างานกาล่าครั้งนี้ใช้ "ความยากจน" มาเป็นจุดขาย แต่ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาความยากจนได้จริง และกลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมฝรั่งเศส ด้วยข้อหา "บกพร่องทางศีลธรรม" และ "ไร้รสนิยม" จึงเป็นสาเหตุให้เชฟทั้ง 3 ต้องปฏิเสธที่จะร่วมงานนี้ต่อ นายดีภัคกล่าวว่า กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงทำให้การทาบทามเชฟระดับโลกคนอื่นๆ มาปรุงอาหารแทนเชฟทั้ง 3 คน เป็นไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งสำนักข่าวเอพีรายงานเพิ่มเติมว่า มีเชฟถึง 12 รายที่ปฏิเสธข้อเสนอของทางโรงแรมไป อย่างไรก็ตาม งานกาล่าดินเนอร์ในวันที่ 5 เม.ย.ก็ยังดำเนินต่อไป และแขกที่มาร่วมงานทั้ง 50 คนก็ตอบรับคำเชิญของทางโรงแรมเรียบร้อยแล้ว ส่วนเชฟที่หามาแทนได้ในที่สุด "เป็นชาวยุโรป" แต่มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร ทางโรงแรมขอปิดเป็นความลับ เพราะไม่อยากให้เชฟเหล่านั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์จนต้องถอนตัวไปอีกกลุ่ม ในปี 2550 โรงแรมเลอบัวเคยจัดงาน Epicurean Masters of the World หรือ "กาล่าดินเนอร์ มื้อละ 1 ล้านบาท" มาแล้ว เงินรายได้ส่วนหนึ่งนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิชัยพัฒนาและองค์กรแพทย์ไร้พรมแดน แต่งานครั้งนั้นก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกันว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย" และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ขัดแย้งกับแนวทางพระราชดำรัส ว่าด้วยเรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" |
ครบรอบ 50 ปี เครื่องหมาย "สันติภาพ" (21 มีนาคม 2551)
จากการประท้วงต่อต้านสงครามและการเคลื่อนไหวเื่พื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์ในประเทศอังกฤษเมื่อ 50 ปีก่อน ทำให้สัญลักษณ์วงกลมล้อมรอบตัวอักษร N (uclear) และ D (isarmament) กลายเป็นเครื่องหมายแห่งสันติภาพที่แพร่หลายไปทั่วโลก เจอรัลด์ โฮลทัม ผู้ออกแบบเครื่องหมายดังกล่าว และเป็นหนึ่งในศิลปินที่เคลื่อนไหวต่อต้านสงครามมาโดยตลอด ให้เหตุผลว่า สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์จะถูกจดจำได้ง่ายกว่าข้อความ และวงกลมที่อยู่รอบนอกเป็นตัวแทนของ "โลก" โดยโฮลทัมออกแบบเครื่องหมายดังกล่าวในนามของกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านระเบิดนิวเคลียร์ หรือ Ban the Bomb Movement เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ในการประท้วงต่อต้านการผลิตอาวุธ รวมถึงการครอบครองระเบิดนิวเคลียร์ของประเทศมหาอำนาจต่างๆ กลุ่มต่อต้านระเบิดนิวเคลียร์ก่อตั้งขึ้นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่สัญลักษณ์ต่อต้านนิวเคลียร์ซึ่งโฮลทัมออกแบบขึ้น ถูกนำไปใช้ทั่วโลก นับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นตัวแทน "สันติภาพ" และการเรียกร้องให้ยุติสงครามทั่วโลก วันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา สัญลักษณ์ดังกล่าวมีอายุครบ 50 ปีแล้ว | สัญลักษณ์แห่งสันติภาพและความยุติธรรม ครบรอบ 50 ปี แต่ที่มาของสัญลักษณ์นี้ เกิดจากกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านการใช้ "ระเบิดนิวเคลียร์" หรือ Ban the Bomb Movement ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในประเทศอังกฤษ (ภาพจาก Getty Images) |
เอ็นจีโอต่างประเทศ จัดอันดับ 5 บริษัทยี้ "สร้างภาพ" ธรรมาภิบาล (23 มีนาคม 2551)
โครงการ Hall of Shame จัดโดยองค์กร CAI ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชน ทำหน้าที่เฝ้าระวังผู้ประกอบการธุรกิจ เปิดเผยผลการจัดอันดับบรรษัทข้ามชาติที่ดำเนินธุรกิจอย่างไม่เป็นธรรม, สร้างภาพปกปิดข้อเท็จจริง, ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม | CAI หรือ Corporate Accountability International เป็นองค์กรสากลที่เฝ้าระวังการดำเนินงานของบริษัทมหาชน เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลว่าบริษัทต่างๆ มีความรับผิดชอบต่อสังคม และดำเนินงานอย่างโปร่งใสหรือไม่ เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา องค์กรซีเอไอได้เปิดเผยผลการศึกษาและการวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินงานของบริษัทและบรรษัทข้ามชาติ นอกจากนี้ยังมีการจัดอันดับบริษัทที่บกพร่องด้านการรักษาธรรมาภิบาล เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลและสาธารณชนใส่ใจตรวจสอบบริษัทดังกล่าวต่อไป โดยโครงการดังกล่าวมีชื่อว่า Hall of Shame บริษัทที่ติดอันดับใน Hall of Shame ได้แก่ เอดีเอ็ม, โตโยต้า, แบล็กวอเตอร์, แมทเทล และวอลมาร์ท ซึ่งองค์กรซีเอไอได้ให้เหตุผลว่า บริษัทเหล่านี้ประชาสัมพันธ์ตัวเองว่าดำเนินงานโดยยึดหลักธรรมาภิบาล ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือสร้างผลกระทบให้กับสังคม รวมทั้งรณรงค์เรื่องการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริง บริษัทเหล่านี้กลับมีพฤติกรรมตรงข้ามกับที่พยายามโฆษณาชวนเชื่อ ทั้งนี้ บริษัทเอดีเอ็ม (ADM: Archer Daniel Midland) ผลิตสินค้าทางการเกษตรหลายอย่าง และมีการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อลดต้นทุนการผลิต แต่โครงการลงทุนของเอดีเอ็มในประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลกระทบต่อประชาชนในท้องถิ่น เพราะเอดีเอ็มกว้านซื้อที่ดินมาปลูกปาล์มจำนวนมาก ทำให้พื้นที่ป่าชายเลนในอินโดนีเซียถูกทำลาย และการใช้สารเคมีกับต้นปาล์มส่งผลต่อสภาพแวดล้อมของอินโดนีเซียและภาวะโลกร้อนด้วย ในส่วนของบริษัทโตโยต้า มีการโฆษณาส่งเสริมภาพลักษณ์ของรถยตร์ไฮบริด โดยกล่าวอ้างว่าโตโยต้าคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและต้องการช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน แต่ในความเป็นจริง ผู้บริหารระดับสูงของโตโยต้าในอเมริกากลับไม่ยอมลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการควบคุมและลดปริมาณก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ในกระบวนการผลิตรถยนตร์ สำหรับ "แบล็กวอเตอร์" ถูกประณามจากนักสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ในฐานะที่เป็นบริษัทจัดหาทหารรับจ้างและรับดำเนินกิจการต่างๆ ในประเทศที่มีสงคราม การที่แบล็กวอเตอร์เป็นผู้ได้รับสัมปทานรายใหญ่ในสงครามที่อัฟกานิสถานและอิรัก ถูกโจมตีว่าเป็นการใช้เส้นสายของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ในขณะที่ "แมทแทล" บริษัทผลิตของเล่นรายใหญ่ ส่งออกสินค้าจำนวนมากไปยังเด็กๆ ทั่วโลก โดยที่สินค้าเหล่านั้นมีสารปนเปื้อนของตะกั่ว และ "วอลมาร์ท" ถูกประท้วงและต่อต้านจากชุมชนในหลายประเทศที่วอลมาร์ทวางโครงการว่าจะสร้างห้างสรรพสินค้า โดยให้เหตุผลว่า วอลมาร์ททำลายระบบกลไกตลาดของชุมชน |
ทั่วโลกประท้วงอเมริกา "ยุติสงครามยืดเยื้อ" ในอัฟกานิสถานและอิรัก (15-24 มีนาคม 2551)
เนื่องในวาระครบรอบ 5 ปีที่สหรัฐอเมริกาส่งกองทัพเข้าสู่ประเทศอิรักและอัฟกานิสถาน เพื่อประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้าย กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามในสหรัฐอเมริการวมตัวกันเรียกร้องให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ยุติสงครามและถอนทหารออกมา เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม และเพื่อทบทวนบทบาทที่ผิดพลาด หลังจากส่งทหารเข้าไปบุกรุกประเทศอื่นในนามของผู้สร้าง "ประชาธิปไตย" แต่กลับทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากกว่าเดิม กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยผู้คนต่างสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น นักศึกษา ทนายความ นักสิทธิมนุษยชน รวมถึงทหารผ่านศึก 200 นายที่เคยร่วมรบในอิรักและอัฟกานิสถานมาก่อน ทหารกลุ่มดังกล่าวใช้ชื่อว่า Winter Soldier จัดงานเสวนาเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ในสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน ซึ่งหลายครั้งหลายหน ทหารเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงแก่ประชาชนชาวอิรักเสียเอง นอกจากนี้ ผู้ชุมนุมได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทบทวนนโยบายทางการทหารเสียใหม่ด้วย ขณะเดียวกัน ผู้่ต่อต้านสงครามในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้ออกมาชุมนุมในวาระครบรอบ 5 ปีของการบุกอิรักและอัฟกานิสถานด้วยเช่นกัน โดยประเทศที่มีการประท้วงให้หยุดสงคราม ได้แก่ ญี่ปุ่น, ตุรกี, เกาหลีใต้, จีน, นิคารากัว และอังกฤษ เป็นต้น ผู้ประท้วงในแต่ละประเทศไปชุมนุมกันหน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา หรือไม่ก็เดินขบวนไปตามท้องถนนเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสาธารณชน | |
ผู้ประท้วงต่อต้านสงครามในอเมริกาใส่หน้ากากเพื่อสื่อถึง "ความตาย" (ภาพจาก Getty Images) | ชายชาวนิคารากัวถือธงชาติอิรักร่วมเดินขบวนต่อต้านสงคราม (ภาพจาก AFP) |
ผู้ชุมนุมชาวญี่ปุ่นชูป้ายประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ (ภาพจาก Reuters) | กลุ่มผู้ประท้วงในตุรกี (ภาพจาก Getty Images) |
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)